1 ม.ค. เวลา 02:00 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี

ภัยคุกคามด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์จากภายในกองทัพ อันตรายมากกว่าแฮกเกอร์ภายนอก

โดย Chaiyot@J6
ในยุคดิจิทัลปัจจุบัน ความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์เป็นประเด็นสำคัญที่กองทัพต้องให้ความสำคัญ ไม่เพียงแต่การป้องกันการโจมตีจากแฮกเกอร์ภายนอกเท่านั้น แต่ยังต้องระวังภัยคุกคามที่มาจากภายในกองทัพเอง ซึ่งอาจเกิดจากกำลังพลหรือบุคคลที่มีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลสำคัญ บทความนี้จะวิเคราะห์ประเภทของภัยคุกคามภายใน เหตุผลที่ทำให้ภัยคุกคามเหล่านี้มีความอันตรายมากกว่าแฮกเกอร์ภายนอก กรณีศึกษาจากเหตุการณ์จริง และกลยุทธ์ในการป้องกันและจัดการกับภัยคุกคามภายใน
การนิยามและประเภทของภัยคุกคามภายใน
ภัยคุกคามภายในคืออะไร?
ภัยคุกคามภายใน (Insider Threats) หมายถึง ความเสี่ยงด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ที่เกิดจากบุคคลภายในกองทัพที่มีสิทธิ์เข้าถึงระบบ เครือข่าย หรือข้อมูลของกองทัพ ซึ่งอาจกระทำการโดยมีหรือไม่มีเจตนาร้าย
ประเภทของภัยคุกคามภายใน
1. กำลังพลปัจจุบัน: กำลังพลที่ยังทำงานในกองทัพและมีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลสำคัญ
2. อดีตกำลังพล: กำลังพลที่เคยทำงานในกองทัพและอาจยังคงมีสิทธิ์เข้าถึงระบบหรือข้อมูล
3. คู่สัญญา/คู่ค้า/พันธมิตร : ผู้ขาย ผู้รับเหมา หรือหน่วยงานที่มีสิทธิ์เข้าถึงทรัพยากรของกองทัพ
4. ภัยคุกคามที่ไม่เจตนา: กำลังพลที่ไม่ได้มีเจตนาร้าย แต่กระทำการที่นำไปสู่ความเสี่ยง เช่น การตกเป็นเหยื่อของฟิชชิ่งหรือการละเมิดนโยบายความปลอดภัย
เหตุผลที่ภัยคุกคามภายในมีความอันตรายมากกว่าแฮกเกอร์ภายนอก
1. การเข้าถึงข้อมูลสำคัญ
กำลังพลของกองทัพมีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลและระบบที่สำคัญ ทำให้สามารถดำเนินการที่อาจเป็นอันตรายได้โดยไม่ต้องผ่านการป้องกันที่มีไว้สำหรับบุคคลภายนอก
2. การละเมิดความไว้วางใจ
กองทัพมักให้ความไว้วางใจแก่กำลังพล เช่น ผู้ทำหน้าที่ admin หรือ หน.หน่วย ซึ่งความไว้วางใจนี้อาจถูกนำไปใช้ในทางที่ไม่เหมาะสม ทำให้การตรวจจับการกระทำที่ไม่พึงประสงค์ยากขึ้น
3. การตรวจจับที่ยากลำบาก
การกระทำของกำลังพลมักมีลักษณะคล้ายกับการทำงานปกติ ทำให้ระบบความปลอดภัยยากที่จะตรวจจับพฤติกรรมที่เป็นภัย
insider threats infographic
กรณีศึกษาจากเหตุการณ์จริง
กรณีศึกษา 1: เอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน (2013)
เอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน อดีตพนักงานสัญญาจ้างของหน่วยรักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (NSA) ได้เปิดเผยข้อมูลลับเกี่ยวกับโปรแกรมการสอดแนมของรัฐบาลสหรัฐฯ การเข้าถึงข้อมูลลับในฐานะบุคคลภายในทำให้เขาสามารถเปิดเผยข้อมูลได้อย่างกว้างขวาง
กรณีศึกษา 2: เทสลา (2018)
พนักงานของเทสลาได้ทำการแก้ไขซอร์สโค้ดและส่งออกข้อมูลสำคัญของบริษัท การกระทำนี้แสดงถึงความเสี่ยงที่เกิดจากพนักงานที่ไม่พอใจ
กรณีศึกษา 3: แอนเทม ดาต้า บรีช (2015)
อดีตพนักงานของผู้ขายบุคคลที่สามได้ใช้สิทธิ์เข้าถึงข้อมูลของบริษัทประกันสุขภาพแอนเทม ทำให้ข้อมูลของผู้ใช้เกือบ 80 ล้านคนถูกละเมิด
กลยุทธ์ในการป้องกันและจัดการกับภัยคุกคามภายใน
1. การควบคุมการเข้าถึงอย่างเข้มงวด
  • ​ใช้หลักการสิทธิ์น้อยที่สุด (Least Privilege) เพื่อให้กำลังพลเข้าถึงเฉพาะข้อมูลที่จำเป็นสำหรับงานของตน
  • ​ตรวจสอบและปรับปรุงสิทธิ์การเข้าถึงอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งหรือการลาออก
2. การติดตามพฤติกรรมผู้ใช้
  • ​ใช้เครื่องมือในการตรวจจับพฤติกรรมที่ผิดปกติ เช่น การเข้าถึงข้อมูลจำนวนมากหรือการล็อกอินที่ไม่ปกติ
  • ​ตั้งค่าการแจ้งเตือนแบบเรียลไทม์สำหรับกิจกรรมที่น่าสงสัย
3. การกำหนดนโยบายที่ชัดเจน
  • ​สร้างและบังคับใช้นโยบายเกี่ยวกับการใช้ข้อมูล การแบ่งปัน และการจัดเก็บ
  • ​ให้ความรู้แก่กำลังพลเกี่ยวกับผลกระทบของการละเมิดนโยบาย
4. การตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอ
  • ​ตรวจสอบระบบและบันทึกการใช้งานเพื่อระบุช่องโหว่หรือกิจกรรมที่น่าสงสัย
5. การฝึกอบรมกำลังพล
  • ​ฝึกอบรมกำลังพลให้รู้จักและป้องกันการโจมตีทางวิศวกรรมสังคม เช่น ฟิชชิ่ง
  • ​สร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับความสำคัญของความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์
6. การสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัย
  • ​ส่งเสริมให้กำลังพลรายงานกิจกรรมที่น่าสงสัยโดยไม่ต้องกลัวการถูกลงโทษ
  • ​ส่งเสริมความโปร่งใสและจริยธรรมภายในกองทัพ
บทบาทของวัฒนธรรมองค์กรในการลดภัยคุกคามภายใน
การสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ตระหนักถึงความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์เป็นสิ่งสำคัญในการลดภัยคุกคามภายใน กำลังพลควรมีความรับผิดชอบในการปกป้องทรัพย์สินของกองทัพและตระหนักถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการละเลยความปลอดภัย วัฒนธรรมที่ดีควรประกอบด้วย:
1. การสื่อสารอย่างเปิดเผยเกี่ยวกับความเสี่ยงและนโยบายด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์: กองทัพควรส่งเสริมการสื่อสารที่โปร่งใสเกี่ยวกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นและนโยบายที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้กำลังพลทุกคนมีความเข้าใจและปฏิบัติตามอย่างถูกต้อง
2. การยอมรับและชื่นชมการมีส่วนร่วมของกำลังพลในการรักษาความปลอดภัย: การยกย่องกำลังพลที่มีส่วนร่วมในการรักษาความปลอดภัยจะส่งเสริมให้เกิดพฤติกรรมที่ดีและสร้างแรงจูงใจในการปฏิบัติตามมาตรการความปลอดภัย
3. การอัปเดตข้อมูลเกี่ยวกับภัยคุกคามใหม่ ๆ และวิธีการรับมือ: กองทัพควรจัดให้มีการฝึกอบรมและอัปเดตข้อมูลเกี่ยวกับภัยคุกคามที่เกิดขึ้นใหม่อย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้กำลังพลมีความรู้และสามารถรับมือกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
บทสรุป
ภัยคุกคามภายในเป็นความเสี่ยงที่สำคัญต่อกองทัพ ซึ่งอาจมีความรุนแรงมากกว่าการโจมตีจากแฮกเกอร์ภายนอก การเข้าใจประเภทของภัยคุกคามภายในและเหตุผลที่ทำให้มันอันตราย จะช่วยให้กองทัพสามารถวางกลยุทธ์ในการป้องกันและจัดการกับความเสี่ยงเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การสร้างวัฒนธรรมที่ให้ความสำคัญกับความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์เป็นสิ่งจำเป็นในการลดโอกาสและผลกระทบจากภัยคุกคามภายใน การดำเนินมาตรการเชิงรุกจะช่วยให้กองทัพสามารถปกป้องทรัพย์สินและรักษาความไว้วางใจจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียได้อย่างยั่งยืน
การจัดการภัยคุกคามภายในที่มีประสิทธิภาพไม่ใช่เพียงเรื่องของเทคโนโลยีเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับบุคคล กระบวนการ และความมุ่งมั่นในการสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยสำหรับทุกคนในกองทัพ
ถ้าท่านพอใจกับบทความ กด "หัวใจ" กด "แชร์" กด "ติดตาม" และสนับสนุน "เพชร"
โฆษณา