Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
BeautyInvestor
•
ติดตาม
31 ธ.ค. 2024 เวลา 01:08 • หุ้น & เศรษฐกิจ
⚠️ Warren Buffett's Fading Edge: จากผู้เอาชนะตลาดสู่ผู้แพ้ตลาด
Warren Buffett ซึ่งมักได้รับการยกย่องว่าเป็น Oracle of Omaha ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในนักลงทุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล อย่างไรก็ตาม ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ความสามารถของเขาในการทำผลงานให้เหนือกว่าตลาดอย่างสม่ำเสมอได้ลดน้อยลงอย่างมาก โดยบทความนี้จะอธิบายเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังความได้เปรียบที่ลดลงของ Buffett ค่ะ
🏆 ยุคทอง: ผลงานที่โดดเด่นเหนือชั้นของ Buffett
เป็นเวลาหลายทศวรรษที่ Berkshire Hathaway ของ Warren Buffett สร้างผลตอบแทนที่ไม่ธรรมดาซึ่งเหนือกว่าตลาดโดยรวมอย่างมากค่ะ เรามาดูผลตอบแทนในแต่ละทศวรรษกันว่า Buffet เทียบกับ S&P500 กันค่ะ (รูปที่ 1)
โดยจากรูปเราจะเห็นว่า ผลงานที่เหนือกชั้นว่าของบัฟเฟตต์นั้นน่าประทับใจเป็นอย่างยิ่งในช่วงทศวรรษปี 1960 และ 1980 โดยผลตอบแทนประจำปีต่อปีนั้นสูงกว่าดัชนี S&P500 มากกว่า 20% เลยทีเดียวค่ะ
🔻 จุดเปลี่ยนคือ ตั้งแต่ปี 2002 เป็นต้นไป
อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ช่วงต้นทศวรรษปี 2000 ความสามารถของบัฟเฟตต์ในการเอาชนะตลาดได้ลดลงอย่างมาก โดยตั้งแต่ปี 2002 ถึงปี 2024 ผลงานของ Berkshire Hathaway นั้นใกล้เคียงกับผลงานของ S&P500 เป็นอย่างมากค่ะ
ช่วงเวลานี้ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในผลงานของบัฟเฟตต์ แม้ว่า Berkshire Hathaway จะยังคงให้ผลตอบแทนที่มั่นคง แต่ก็ไม่สามารถแซงหน้าตลาดโดยรวมได้อย่างสม่ำเสมออีกต่อไป
🎯 เหตุผลที่ทำให้ความได้เปรียบของตลาดลดลง
ปัจจัยหลายประการมีส่วนทำให้ความสามารถของบัฟเฟตต์ในการเอาชนะตลาดลดลงค่ะ เช่น
1️⃣ ความท้าทายด้านขนาด: เมื่อ Berkshire Hathaway เติบโตจนกลายเป็นบริษัทขนาดยักษ์ที่มีมูลค่าตลาดเกิน 300,000 ล้านดอลลาร์ การค้นหาการลงทุนที่สามารถส่งผลกระทบต่อผลตอบแทนโดยรวมได้อย่างมีนัยสำคัญจึงทำได้ยากขึ้นเรื่อยๆค่ะ (กองทุนก็เป็นหลักการเดียวกันค่ะ)
2
2️⃣ พลวัตของตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป: การเติบโตของบริษัทเทคโนโลยีและหุ้นเติบโตในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาได้สนับสนุนรูปแบบการลงทุนที่แตกต่างจากแนวทางมูลค่าแบบดั้งเดิมของบัฟเฟตต์
1
3️⃣ การแข่งขันที่เพิ่มมากขึ้น: การเพิ่มจำนวนของนักลงทุนที่มีความซับซ้อนและกลยุทธ์เชิงปริมาณทำให้การค้นหาสินทรัพย์ที่มีราคาผิดพลาดทำได้ยากขึ้น หรือพูดอีกแบบคือ ตลาดมีประสิทธิภาพมากขึ้นนั่นเอง
1
4️⃣ โดนฉุดจากเงินสด: เงินสดจำนวนมหาศาลของ Berkshire ซึ่งมักจะเกิน 100,000 ล้านดอลลาร์ ได้ทำหน้าที่เป็นตัวฉุดรั้งผลตอบแทนโดยรวมในตลาดที่กำลังเติบโต
2
📊ผลตอบแทนในปีหลังๆ: เจาะให้ละเอียดขึ้น
1
เพื่อแสดงให้เห็นผลงานล่าสุดของบัฟเฟตต์เพิ่มเติม เราลองมาดูผลตอบแทน rolling return แบบ 10 ปีกันค่ะ ในรูปที่ 2 (Rolling Return คือ ผลตอบแทนของการลงทุนในช่วงเวลาต่างๆ ที่มีระยะเวลาการถือครองเท่าๆ กัน โดยจะเลื่อนช่วงเวลาไปเรื่อยๆ (เหมือนการกลิ้งลูกบอลไปบนพื้น) เพื่อดูผลตอบแทนในแต่ละช่วงเวลา)
1
โดยจากรูปเราจะเห็นอย่างชัดเจนว่าตั้งแต่ปี 2018 เป็นต้นมา Berkshire Hathaway มีผลงานต่ำกว่าดัชนี S&P 500 อย่างต่อเนื่องเมื่อลงทุนเป็นระยะเวลา 10 ปี
2
🎯 บทสรุป: จุดจบของยุคสมัย?
แม้ว่าผลงานในระยะยาวของ Warren Buffett จะยังคงน่าประทับใจ แต่ความสามารถในการเอาชนะตลาดได้อย่างสม่ำเสมอของเขานั้นลดลงอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี 2003 ถึงปี 2022 Berkshire Hathaway มีผลตอบแทนทบต้นต่อปี 9.75% ซึ่งน้อยกว่าดัชนี S&P500 เพียงเล็กน้อยที่ 9.80%
1
การเปลี่ยนแปลงของผลงานนี้ไม่ได้ลบล้างความสำเร็จอันเหลือเชื่อหรือความเฉียบแหลมในการลงทุนของ Buffett แต่กลับเน้นย้ำถึงความท้าทายในการรักษาผลงานที่เหนือกว่าตลาดในขณะที่ทั้งนักลงทุนและบริษัทเติบโตขึ้นทั้งในด้านขนาดและความโดดเด่น
สำหรับนักลงทุนรายบุคคล สิ่งนี้ถือเป็นการเตือนใจว่าแม้แต่นักลงทุนที่เก่งที่สุดก็ต้องเผชิญกับช่วงเวลาที่ผลงานต่ำกว่ามาตรฐาน และการเอาชนะตลาดได้อย่างสม่ำเสมอเป็นเวลานานนั้นเป็นเรื่องยากอย่างยิ่งค่ะ
และเมื่อเรามองไปข้างหน้า เป็นที่ชัดเจนว่า Berkshire Hathaway ได้กลายเป็นตัวแทนของตลาดโดยรวมมากกว่าที่จะเป็นยานพาหนะสำหรับผลงานที่เหนือกว่าอย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้นนักลงทุนที่มองหาผลตอบแทนที่เหนือกว่าตลาดจากบัฟเฟตต์อาจต้องลดความคาดหวังลง ขณะเดียวกันก็ยังชื่นชมกับเสถียรภาพและการมุ่งเน้นในระยะยาวที่ Berkshire Hathaway ยังคงให้เราได้อยู่ค่ะ
👉🏻 แถมรูปที่ 3 | Buffet เริ่มแพ้ตั้งหลังปี 2000
1
รูปนี้กราฟเยอะ แต่ไม่ต้องงง ดูทีละเส้น
เส้นทึบสีแดงคือ ราคาหุ้น Berkshire Hathaway
เส้นทึบสีฟ้าคือ ดัชนี S&P500 Total Return
2 เส้นนี้ให้ดูเทียบกันได้ว่าใครผลงานดีกว่าใคร ถ้าดูยาวๆ Berkshire ชนะขาด แต่ถ้าอยากรู้ว่าชนะช่วงไหน ให้ดูที่ความชันของกราฟ ถ้าใครมีกราฟที่ชันกว่า แปลว่าช่วงนั้น ราคาวิ่งไวกว่าค่ะ
จากรูปเราก็จะเห็นว่า Berkshire มีกราฟที่ชันกว่าในช่วง 1965 ถึงประมาณปี 2000 ส่วนหลังจากนั้นจะเริ่มชันน้อยกว่า S&P500 แล้ว (แปลว่าชนะช่วงแรกเยอะ แต่หลังๆเริ่มแพ้แล้ว)
กราฟเส้นประสีแดง คือ rolling return 3 ปี เทียบกันระหว่าง Berkshire กับ S&P500 (ถ้าเป็นบวกแปลว่า Berkshire ชนะ)
กราฟสีดำ คือ rolling return 10 ปี เทียบกันระหว่าง Berkshire กับ S&P500 (ถ้าเป็นบวกแปลว่า Berkshire ชนะ)
ส่วนกราฟสีเชียว คือ ส่วนต่างผลตอบแทนรวมต่อปีตั้งแต่ปี 1965
ทั้ง 3 เส้นนี้ให้ดูที่แกนขวามือ และทั้ง 3 อันนี้บอกเราเหมือนกันว่า ตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมา ฝีมือ Buffet เริ่มตกค่ะ
1
👉🏻 แถมรูปที่ 4 | Buffet เริ่มทำผลงานได้พอๆกับตลาด
รูปนี้คือเอาราคาหุ้น Berkshire มาหารด้วย S&P500 ออกมาเป็น สัดส่วนหรือ ratio ค่ะ
ถ้าค่านี้เป็นขาขึ้น แปลว่าช่วงนั้น Berkshire ชนะ S&P500 แต่ถ้าเป็นขาลง ก็จะแปลว่าแพ้ค่ะ
จากรูปเราจะเห็นว่าตั้งแต่หลังปี 2000 จะมีแค่ช่วงวิกฤติปี 2008 ที่ Berkshire ชนะ S&P500 ขาด แต่หลังจากนั้น จะชนะบ้างแพ้บ้างสลับกันไป และสัดส่วนก็ออกแนว sideway มาโดยตลอดค่ะ สะท้อนว่า ผลตอบแทนของทั้งคู่ใกล้เคียงกันมากค่ะ
1
ปล. ขอโทษแฟนคลับปู่ล่วงหน้านะคะ ไม่ได้บอกว่าปู่ไม่เก่ง แต่หลังๆการเอาชนะตลาดอย่างสม่ำเสมอถือเป็นเรื่องยากจริงๆค่ะ ซึ่งหลังๆปู่ก็เป็นคนบอกเองเลยว่าซื้อ S&P500 ไปเลยก็ได้นะ
การลงทุน
หุ้น
การเงิน
76 บันทึก
87
12
58
76
87
12
58
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย