Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
twilight12/2.1
•
ติดตาม
18 ม.ค. เวลา 06:38 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
Anunnuki, Nibiru Planet of the twelve,
ภาคสอง
blockdit.com
[twilights 12 /2 .1] นิบิรุ the planet at 12 (Anunnuki ,Nibiru ,the planet number 12 ) / ผู้มาจากดวงดาวที่สิบสอง (1) ดาวนิบิรุ สูญพันธุ์แล้ว ????
(Anunnuki ,Nibiru ,the planet number 12 ) / ผู้มาจากดวงดาวที่สิบสอง (1) ดาวนิบิรุ สูญพันธุ์แล้ว ????
เยี่ยมชม
นิบิรุ = ภาษาสุเมเรียน แปลเป็นอังกฤษว่า ,Planet of the Crossing
จากการค้นคว้าของนักภาษาศาสตร์และอักขระโบราณท่านนี้ เชชาเรีย ชิตชิน ทำให้ชาวโลกได้เรียนรู้ถึงพัฒนาการที่แท้จริงของศาสนาหนึ่งบนโลกเรา และเปิดโลกทัศน์ของพวกเขาออกมาให้กว้างขวางขึ้นกว่าเดิม ผู้เขียนคิดว่า ชาวโลกควรจะต้องขอบคุณและยกย่องเขาเสมือนดั่งวีรบุรุษเลยทีเดียว เขาย่อมมิใช่ผู้ร้ายอย่างหลายคนกำลังเข้าใจกันอย่างแน่นอน
เขาได้เดินทางไปทั่วโลก เพื่อค้นหาแหล่งอารยธรรม ที่ชาวโลกเค้าโจษกันในยุคสมัยของเขา ว่าเป็นอารยธรรมของพวกเอเลี่ยนจริงรึเปล่า อย่างเช่น สโตนเฮนจ์ โบราณสถานสเทียโมนาโค และอารยธรรมสุเมเรียน เขาเดินทางไปพิสูจน์และค้นคว้าแบบลงพื้นที่ และได้เขียนหนังสือออกมาหลายเล่ม หนังสือที่มีชื่อเสียงโด่งดังของเขาเล่มหนึ่ง ชื่อ The Planet. of. the Twelve ถูกตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 1976 เป็นหนังสือเกี่ยวกับดาวเคราะห์ดวงที่สิบสองของชาวสุเมเรียนโบราณ
นับเป็นหนังสือที่เรียกเสียงฮือฮาในแวดวงวิชาการและวิทยาศาสตร์ในสมัยนั้นได้มากทีเดียว
กับข้อสมมติฐานในหนังสือเล่มนั้นที่ว่า เผ่าพันธุ์มนุษย์เราสืบเชื้อสายมาจากชาวเอเลี่ยน ,ดาวเคราะห์ดวงที่สิบสอง ที่ชื่อว่า นิบิรุ ชิตชินเชื่อว่า ชาวนิบิรุ ไม่ได้สร้างอารยธรรมให้กับดินแดนเมโสโปเตเมียเท่านั้น แต่ยังได้สร้างอารยธรรมให้กับทั่วโลกด้วย
เขาได้ค้นพบหลักฐานที่จารึกยังแทบเล้ตแผ่นดินเหนียวคูนิฟอร์มที่พบมากมายกว่าสองพันชิ้น ที่จารึกหลักฐานที่เกิดขึ้นบนอ่าวเปอร์เซียและละแวกใกล้เคียง บางชิ้นมีอายุมากถึงหกพันปี และบางทีก็มีแตกหัก ไม่สมบูรณ์ ชาวสุเมเรียนจะเรียกพวกนิบิรุนี้ว่า ชาวอนันนูกิ แท็บเล็ตคูนิฟอร์มของชาวสุเมเรียน ได้กระจัดกระจายไปอยู่ตามพิพิธภัณฑ์ต่างๆทั่วโลกในยุคสมัยปัจจุบัน
แต่ที่น่าสนใจนั้น เขาไปพบที่เยอรมนี. ซึ่งมีอายุประมาณถึงสี่พันปีแล้ว จารึกดั่งกล่าว บ่งชัดว่า โลกของเรานั้น คือดาวเคราะห์ลำดับที่เจ็ด หากนับจากดาวพลูโตเข้ามา น่าฉงนงุนงงเสียจริงๆ มันเป็นไปได้อย่างไร กับยุคสมัยนั้น ชาวสุเมเรียนไปรับรู้ได้อย่างไร
ก็ในเมื่อโลกเราเพิ่งจะมีการค้นพบดาวพลูโต และนับมันเข้ามารวมเป็นส่วนหนึ่งของระบบสุริยะเมื่อไม่นานมานี้เอง แต่ชนชาวสุเมเรียนนั้น ไปรู้จักดาวดวงนี้ได้อย่างไร ตั้งแต่สี่พันปีก่อนแล้ว ??!!!!
แถมยังรู้อีกด้วยว่า โลกเรานั้น เป็นดาวเคราะห์ลำดับที่เจ็ด น่าพิศวงและน่าทึ่งจริงๆกีบความสามารถของผู้คนในยุคนั้นๆ!!!!!!!!!
นี่ล่ะ คุณชิตชินเขาไปพบมา และมาชี้แจงให้ชาวโลกได้ทราบในภายหลังในหนังสือของเขา ที่ตีพิมพ์ออกมาในปีค.ศ.1979
Planet X หรือ ดาวเคราะห์นิบิรุ ลำดับที่สิบสอง...
X. เป็นตัวเลขในระบบโรมัน แปลว่า สิบ
ความจริงแล้ว ดาวเคราะห์นิบิรุนั้น คือ ดาวเคราะห์ที่สิบ มิใช่ดาวเคราะห์ที่สิบสองเลย หากมิได้นับเอาดวงพระอาทิตย์และดวงพระจันทร์เข้าไปด้วย อย่างพวกอนันนูกิเขาสั่งสอนชาวสุเมเรียน ดาวดวงนี้ก็จะคือ ดาวลำดับที่สิบ
นักดาราศาสตร์เขาให้ลำดับดาวดวงนี้ว่าดั่งนี้ ก็ไม่รู้ว่า พวกเขาได้รู้อะไรคลับคล้ายคลับมารึเปล่าว่า ว่าดาวเคราะห์ดวงนี้ มันเกี่ยวกับ ศาสนาคริสต์
เพราะศาสนาคริสต์ มีพัฒนาการนับหนึ่งจากประเทศและอาณาจักรนี้ คือ อาณาจักรโรมัน นี่ไงล่ะ
X ในภาษาโรมัน ถื่นต้นกำเนิดนับหนึ่งของศาสนาคริสต์ มันแปลว่า สิบ
ในวิดีโอของคุณลงพุง แชนแนล เรื่อง planet X นี้ ที่ผู้เขียนนำมาอ้างอิงในภาคสองนี้ ได้กล่าวไว้ในนาทีที่ ราวๆ 3.41ว่า "ในบันทึกของชาวสุเมเรียนบอกเอาไว้อย่างชัดแจ้งว่า พวกเขามาจากห้วงท้องฟ้าที่ชื่อว่า นิบิรุ พระเจ้ารึพระผู้สร้างของเขา ได้นำพวกเขาล่องเรือลงมายังโลก และก็ปล่อยให้ชาวสุเมเรียนโบราณเหล่านี้ สร้างอารยธรรมขึ้นเองในดินแดนที่เรียกว่า เมโสโปเตเมีย แต่ชาวสุเมเรียน ก็ได้หามีความสามารถสร้างอากาศยาน เช่นเดียวกับพระผู้สร้างไม่"
ผู้เขียน วิเคราะห์ว่า มันคือการกำลังบอกให้ชาวสุเมเรียนเขียน บอกให้ชาวสุเมเรียนแต่งนิยายตามพวกเขาสั่ง ว่าจะต้องแต่งตามนี้ๆ แสดงว่า แผ่นดินเหนียวคูนิฟอร์มของช่าวสุเมเรียนทั้งหมด มีพวกอนันนูกิอยู่เบื้องหลัง ในเวลานั้นๆ พวกนี้คงจะขึ้นมาอยู่ในระดับชนชั้นปกครองกันแล้ว นั่นเอง
เนฟิลิม เป็นภาษาฮีบรูโบราณ แปลว่า ผู้ลงมาจากท้องฟ้า
มันปรากฏอยู่ในคัมภีร์พันธสัญญาเก่าด้วย ซึ่งชิตชินเป็นผู้ตีความมันออกมาอย่างยากลำบาก เขาได้ค้นพบว่า ในคัมภีร์พันธสัญญาเดิม คำว่า เนฟิลิม มันเป็นพหูพจน์ ซึ่งมันขัดกับหลักความเชื่อของศาสนาคริสต์ที่นับถือพระเจ้า
เพียงองค์เดียว นอกจากนี้ ในช่วงชีวิตของเขา เขายังได้ทันเห็นอเมริกาค้นพบ เฟด ออน มาร์ (face on Mar) หรือใบหน้าปริศนาบนดาวอังคารอีกด้วย ก่อนที่หนังสือของเขาจะเปิดตัวออกสู่สายตาสาธารณชนในปีเดียวกัน อย่างประจวบเหมาะ
เป็นเรื่องบังเอิญรึเปล่า ???ก็มิทราบได้ ที่เขาทันได้เห็นการค้นพบนี้ของสหรัฐอเมริกา
ในวันที่ 25 เดือนกันยายน ปี1976 ยานไวกิ้งของสหรัฐได้ค้นพบสิ่งที่เรียกว่า face on Mars. บนที่ราบไซดอนเนีย ท่ามกลางปิรามิดมากมายรายล้อมใบหน้านี้ มีนักยูโฟวิทยาหลายท่าน วิเคราะห์ว่ามันคล้ายๆคนที่กำลังสวมชุดหมวกอวกาศอยู่บ้างเหมือนกัน แน่นอนว่า รัฐบาลสหรัฐอเมริกา ก็คงออกมาปฏิเสธเรื่องดังกล่าว และคงจะโต้ว่า มันเป็นเพียงปรากฏธรรมชาติอย่างหนึ่งเท่านั้น มิได้มีอะไรในกอไผ่เลย
และทั้งที่ยานไวกิ้ง ก็มีรายงานว่าได้ถ่ายออกมาได้ด้วยความบังเอิญ แต่นาซ่าก็ยังอ้างภายหลังเสียได้ เป็นเช่นนั้นไป
นะ ทั้งองค์การนาซ่าและสหรัฐอเมริกา
ผู้เขียนคิดว่า อาจ จะมีผู้มีอำนาจทรงฤทธิ์ เล่นกลตลก มาร่วมเฉลิมฉลองยินดีที่หนังสือของเขา ที่กำลังจะเปิดตัวออกขายสู่ท้องตลาดแล้วก็เป็นได้ กระมัง ? ???
เหตุผลนี้ น่าจะเป็นไปได้มากที่สุด ก็อะไรเล่า จะบังเอิญได้เช่นนั้น แถมยังมีหมู่ปิรามิดอีกมากมายรายล้อมเขา ผู้เขียนว่า ในโลกนี้ ไม่มีอะไรบังเอิญมากขนาดนั้นหรอก
ผู้เขียน คือ twilight12/2.1. เคยได้ยินมาจากที่ใดสักแห่งว่า ใบหน้าปริศนานี้ มันคือใบหน้าของกษัตริย์อลาลู กษัตริย์นิบิรุพระองค์แรกที่ได้เดินทางลงมายังเทียมมัต และได้ตั้งท่าอากาศยานขึ้น ณ เมโสโปเตเมีย ก่อนจะถูก อานูหักหลัง ริบสัมปทานเหมืองทองไป. มันอยู่ในวิดีโอของคุณผู้ดูแลกาแล้กซี่ นั่นเอง ในเรื่อง ปฐมกาล
อย่างไรก็ตาม นั่นก็อาจแต่เพียงเรื่องเล่าสนุกๆ ยังไม่มีหลักฐานแน่ชัด ผู้เขียนเอง ถ้าหากไปเจอแล้วแน่ใจ ก็จะเอามาลงไว้ ณ ที่นี้ แต่ในที่นี้ จะขออ้างจากหลักฐานดังกล่าวก่อนว่าน่าจะเป็นใบหน้าของคิงอลาลูที่กำลังมองไปยังดาวนิบิรุ บ้านเกิดของเขา ที่ได้จากมา
ในแผ่นจารึกบนคูนิฟอร์มของชนชาติสุเมเรียนได้กล่าวถึงในสมัยหนึ่งว่า ได้เกิดปรากฏการณ์'น้ำท่วมโลก"ขึ้น ในคัมภีร์ไบเบิล ปฐมกาล
ได้กล่าวไว้ ถึงบุคคลที่ชื่อ ชิตสุดา หรือ โนอาห์ ในจารึกแผ่นคูนิฟอร์มนั้น ชาวสุเมเรียนได้เขียนบรรยายว่า ในเวลานั้น ท้องฟ้ามีสีแดงฉานน่ากลัว ดวงดาวดวงใหญ่สีแดงกลมโต ที่เรียกว่า นิบิรุ
ได้ค่อยๆขยับเคลื่อนตัวมาใกล้ๆดาวโลก จนทำให้ะดับน้ำในทะเล มหาสมุทร และแม่น้ำลำคลองต่างๆบนโลกได้ล้นเอ่อท่วมสูงขึ้น ท่วมบ้านเรือนของผู้คนจนเสียหาย สัตว์ต่างๆ ก็ได้สูญพันธุ์
ลงไปเป็นจำนวนมาก แม้กระทั่งน้ำในลำคลอง ก็ไม่สามารถที่จะนำมาใช้ดื่มและใช้อาบอีกต่อไป และเกิดภาวะโรคระบาด ทุกข์ยากไปหมดในเวลานั้น
ทุกอย่าง เป็นการให้เป็นไปของเทพเอนริ ลูกชายคนที่สองของคิงอานู เพื่อที่จะสั่งสอนและควบคุมมนุษย์ แต่พระองค์ ก็ยังทรงรักและเมตตาต่อพวกเขา ด้วยว่า พวกมนุษย์ มีสายเลือดของพระองค์อยู่ จึงทรงสั่งให้ชิตสุดา ได้ก่อสร้างเรืออาร์คขึ้นมา
เรือของชิตสุดา หรือ โนอาห์ ในพระคัมภีร์ ตรงตามที่บรรยายในพระคัมภีร์ทุกประการ อย่างเช่น ความสูง สามร้อยศอก เป็นต้น พบบนภูเขาอาลารัต ในประเทศตุรกี
ตำนานน้ำท่วมโลกนี้ น่าจะมาจากข้อเท็จจริงที่ว่า ในสมัยหนึ่งที่แผ่นดินโลกยังติดต่อกันเป็นผืนแผ่นดินเดียวกัน ที่เรียกว่า Continential drift นั้น ดาวนืบิรุ นั้นได้เคยเข้ามาเฉียดใกล้โลก และได้มีการกระทบไหล่เข้ามาเฉียดใกล้กัน เศษชิ้นส่วนทั้งสองที่แตกหักมากระทบนั้น ได้กลายเป็น ดาวเคราะห์น้อยหลายดวงไปโคจรหลังดวงพระอาทิตย์ และภายหลัง ดาวโลกของเรานั้น ก็กลายสภาพเป็นดวงดาวที่เหลืออยู่เพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้นในปัจจุบัน หากเราสูบน้ำทะเลออกหมด
เกิดมหาสมุทรและทะเลต่างๆขึ้นมาภายหลังถูกพุ่งชนนั้น และแผ่นดินก็ค่อยๆเคลื่อนย้ายกลายเป็นทวีปต่างๆในยุคปัจจุบัน
Continential drift. หรือ ปรากฏการณ์ทวีปเลื่อนนี้ เกิดขึ้นในสมัยของปลายยุคน้ำแข็ง หรือ ราวๆยุคไพลโตซีนตอนกลาง ค่อนมาทางปลายยุค ในช่วงก่อนนั้น ผืนแผ่นดินโลกเรายังคงติดต่อกันเป็นผืนแผ่นเดียวกัน
ยุคไพลโตซีนกลาง จะตรงกับในช่วงระยะเวลาราวประมาณ 774000-129000ปีก่อน
มีการค้นพบโครงกระดูกมนุษย์ ของในยุคไพลโตซีนกลาง ที่ดินแดนเอธิโอเปีย ซึ่งขุดค้นพบได้ในราวทศวรรษ1970 นักโบราณคดีกล่าวว่า ช่วงเวลานี้ นับเป็นช่วงเวลาประวัติศาสตร์ที่สำคัญ เนื่องจากมีการเพิ่มขึ้นของสายพันธุ์ โฮโม ซาเปียนส์ใน แอฟริกา (นั่นคือ ยุคไพลโตซีนกลาง)
"แต่ก็ยังมีปมยุ่งเหยิงบางอย่างแฝงเร้นให้ขบคิดแก้ไขปัญหาอีกนานาประการ" เป็นคำกล่าวของนักโบราณคดีที่ให้ความเห็นกับ ยุคไพลโตซีนกลาง
นักโบราณคดีได้มีการขุดค้นพบโครงกระดูกของมนุษย์ที่เก่าแก่ที่สุด มีอายุนับเกือบสี่แสนปี ที่แถวๆแอฟริกา
และเผ่าพันธุ์โฮโมนีแอนด์ทัลในยุโรป (ก่อนจะมาเป็น นีแอนเดอร์ทัล)
ซึ่งไม่ตรงกับที่ใช้ชื่อว่า history world ในชื่อเรื่องว่า "อะนุนากิ เทพสายพันธุ์แรกที่ได้ลงมาบนโลก" เขากล่าวว่า เมื่อได้มานั้น เป็นยุคน้ำแข็ง ไม่พบมนุษย์ใดๆ เลยนอกจากวานร เสือคาบดาบ และช้างแมมมอธ ก่อนจะได้มาผ่าตัดทำการทดลองสร้างมนุษย์ขึ้นเป็นครั้งแรกในเวลาต่อมา
ความจริงแล้ว พวกเขาควรจะต้องพบเผ่าพันธุ์มนุษย์บ้าง เนื่องจากในช่วงเวลาที่พวกอนันนูกิ ดาวนิบิรุประสบภัยพิบัติขาดแคลนทองที่จะมาอุดรอยโหว่ในชั้นบรรยากาศนั้น ตรงกับช่วงประมาณ 4500000-500000BC นั้นยังมีเผ่าพันธุ์ของมนุษย์อยู่
ในช่วงเวลาดังกล่าว ที่พวกนี้เดินทางมา จะอยู่ในช่วงก่อนยุคสโนว์บอล หรือในช่วงเวลาราวไพลโตซีนกลางค่อนมาทางปลาย ซึ่งนักโบราณคดีมีการค้นพบซากโครงกระดูกของมนุษย์โบราณกันแล้วที่เอธิโอเปีย มีอายุเก่าแก่นับเป็นสามล้านแปดแสนปีถึงสี่ล้านปีสองแสนปี
นั่นก็สันนิษฐานได้ว่า พวกเขาได้ลงมาแล้ว เห็นมนุษย์บนโลกบ้าง แล้วพอดี เกิดแรงงานขุดเหมืองทองที่นำมาใช้ในเวลานั้น คือ ชาวอิกีกีสประท้วง พวกอนันนูกิเมื่อจัดการศึกภายในที่ประท้วงลงมาได้สำเร็จ ก็จัดการผ่าตัดทดลองสร้างมนุษย์สายพันธุ์ใหม่ขึ้นมาเสียเลย เพื่อมาช่วยเป็นแรงงานในการขุดเหมือง โดยเอามาจากมนุษย์ที่พบเห็นแถวๆนั้น นั่นแหละ
ส่วนตำนานน้ำท่วมโลกของโนอาห์หรือชิตสุดาของชาวสุเมเรียนนั้น น่าจะอยู่ในช่วงโลกเข้าสู่ในยุคสโนว์บอล แต่ก็น่าจะใช้เรื่องราวเดียวกันนี่แหละ
เทียมัตมื่อยังสมัยยังติดต่อกัน เป็นมหาทวีปแพนเจีย เมื่อราวสองร้อยล้านปีก่อน ก่อนจะค่อยๆเคลื่อนตัวออก
ครั้งหนึ่ง ดาวนิบิรุได้ขยับเข้ามาใกล้โลก และถูกมังกรเทียมัตพุ่งเข้าชน ดั่งในตำนานของชาวสุเมเรียนโบราณ ที่ชื่อว่า มหากาพย์ เอนูมา เอนลิช Enuma Elish ซึ่งถูกเขียนขึ้น เมื่อราวสองพันปีก่อน จนชิ้นส่วนของดวงดาว
ทั้งสองได้กระจัดกระจายกลายเป็นดาวเคราะห์น้อย แล้วไปโคจรหลังดวงอาทิตย์ในปัจจุบัน ดาวโลกเราได้เหลือเพียงครึ่งเดียว เกิดทะเลและมหาสมุทรขึ้นมาบนโลก และตำนานโนอาห์ก็เดาว่าน่าจะเกิดขึ้นหลังจากนี้
"เทียมัต"ในมหากาพย์ก็คือโลกของเราในปัจจุบันนี้นี่ล่ะ
ในมหากาพย์ Enuma Elish. บ่งชี้ว่าพวกอนันนูกิ ดูหมิ่นโลกและพลโลกของเรามากมาย นอกจากจะเอาไปรวมเป็นมังกรแบบเดียวกันแล้วนั้น ยังระบุว่า เป็นมังกรตัวเมียอีกด้วย
ในมหากาพย์ น่าจะเอาข้อเท็จของการเกิดทะเลและมหาสมุทรบนโลก หลังจากการพุ่งชนของดาวเคราะห์ทั้งสองมาแต่ง ในตำนานเทวของชาวบาบิโลเนียและชาวสุเมเรียน ได้กล่าวว่า มังกรเทียเมียเป็นมังกรเพศเมียขนาดยักษ์ เป็นมังกรเทพแห่งมหาสมุทรเป็นมารดาของสิ่งมีชีวิตทั้งปวงและเหล่าทวยเทพด้วย โดยในยุคโบราณนั้น เทียเมีย หมายถึง
สัญลักษณ์ของความโกลาหล Chaos และ ความยุ่งเหยิงChaos
มันคือ ลักษณะและบุคลิก ของโลกเรานั่นเอง ที่มีทั้งความโกลาหลและความยุ่งเหยิง เป็นการมองของพวกนิบิรุมันต่อเรา และยังยกย่องเธอเป็นเทพีแห่งมหาสมุทร ส่วนคู่ครองของนาง ก็คือ เทพอัปซู ได้รับยกย่องเป็น เทพแห่งน้ำจืด มันเกี่ยวกับน้ำทั้งหมด เพราะภายหลังจากการพุ่งชนกับโลก ได้เกิดทะเลและมหาสมุทร นั่นเอง
นอกจากนี้ ชาวนิบิรุยังทราบว่า นอกจากที่โลกเราจะมีแร่ทองคำมากมายแล้ว ยังมีแหล่งน้ำที่อยู่ซ่อนใต้โลกด้วย เพราะเทพอัปซู สามีของนางเป็น เทพน้ำจืดที่อยู่ใต้โลก
แสดงว่า เมื่อมีการพุ่งชนแล้วจึงเกิด มหาสมุทร ขึ้นมา จึงเปรียบไปเป็นเพศหญิง ที่เกิดหลังจากเพศชาย ที่มีอยู่มาก่อนนานแล้ว
เรื่องราวคร่าวๆของมหากาพย์ เอนูมา เอนริช คือ
เทพีเทียมัตกับเทพอัปซู ได้แต่งงานกันเป็นคู่ครอง และได้ให้กำเนิดเทพรุ่นลูกต่อมาอีกหลายองค์ เทพรุ่นต่อมานั้นได้ก่อความวุ่นวายเป็นการรบกวนการนอนและการทำงานเทพอัปซู ซูได้ตัดสินใจที่จะฆ่าเทพรุ่นลูกที่ก่อเรื่อง เมื่อเทพีเทียแมตได้ยินเรื่องนี้เข้าจึงรีบไปบอกกับเทพเอนคิหรือแอผู้เป็นบุตรคนโตของนาง เทพเอนคิจึงทำให้เทพอัปซูหลับแล้วชิงลงมือฆ่าเขาเสีย จากนั้นจึงสร้างบ้านของตนขึ้น จากร่างของเทพอัปซู เมื่อเทพีเทียแมตทราบว่าสามีของนางได้ถูกลูกๆฆ่า
เสียแล้วก็รู้สึกโกรธแค้น นางจึงทำการปรึกษากับเทพคิงกุที่แนะนำให้นางทำการล้างแค้น เทพีเทียแมตได้มอบจารึกแห่งโชคชะตาให้กับเทพคิงกุเป็นรางวัล ทำให้เทพคิงกุได้รับอำนาจการปกครองแห่งทวยเทพและการกำหนดโชคชะตา คิงกุนำแผ่นจารึกแห่งโชคชะตามาเป็นเครื่องประดับอย่างภูมิใจ หลังจากนั้นเทพีเทียแมตและด้วยการช่วยเหลือของเทพคิงกุ นางได้เรียกกองกำลังที่น่าเกรงกลัวและสร้างปีศาจ
ทั้งสิบเอ็ดมาเพื่อทำลายล้างเทพรุ่นลูก เทพแอ เอนคิ และ เทพองค์อื่นๆต่างรวมพลังกันปราบเทพีเทียแมตแต่ไม่เป็นผล จนในที่สุดเทพมาร์ดุคก็สามารถล้มคิงกุและเทียแมตได้ ลูกศรที่เทพมาร์ดุคได้ยิงออกไปได้ผ่าร่างของเทพีเทียแมตเป็นสองเสี่ยง น้ำที่ไหลจากดวงตาของนางกลายเป็นแม่น้ำไทกริสและยูเฟรติส เทพมาร์ดุคยังได้สร้างสวรรค์และโลกมนุษย์จากร่างของเทพีเทียแมต และทำการแบ่งหน้าที่ให้กับเทพแต่ละองค์
ปีศาจทั้งสิบเอ็ดของเทียแมตได้ถูกเทพมาร์ดุคพันธนาการไว้กับเท้าของพระองค์เพื่อแสดงถึงชัยชนะเหนือเทพีเทียแมต
ส่วนของจารึกแห่งโชคชะตานั้นก็ได้ตกเป็นของเทพมาร์ดุคและเป็นการมอบอำนาจการปกครองต่อพระองค์เอง หลังจากเหล่าเทพจบการสรรเสริญความดีของเทพมาร์ดุคแล้ว เทพมาร์ดุคก็ได้ทำทำการปรึกษาหารือกับเทพแอผู้เป็นเทพแห่งปัญญา แล้วได้ตัดสินใจที่จะสร้างมนุษย์ขึ้นจากสิ่งที่หลงเหลือจากสงคราม เมื่อคิงกุถูกประหาร เทพแอก็ได้นำเลือดของคิงกุมาสร้างมนุษย์คนแรกนามว่า ลัลลู และเขาก็ได้รับตำแหน่งเป็นผู้ช่วยทวยเทพในการปกครองและรักษาความเรียบร้อยต่างๆ
ขอขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก
*
https://www.thairath.co.th/lifestyle/life/2233384
http://www.mitrearth.org/21-3-ice-age/
**
https://m.pantip.com/topic/42027934
?
http://www.mitrearth.org/17-12-geology-noahs-ark/
https://kamparewk45.wixsite.com/mesotalkth/post/02-%E0%B8%A7-%E0%B8%B2%E0%B8%81-%E0%B8%99%E0%B8%94-%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%A3-%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%A2-%E0%B9%81%E0%B8%AB-%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%A3-%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%84-%E0%B9%81%E0%B8%AD%E0%B8%99-%E0%B8%A1-%E0%B8%B2-%E0%B9%81%E0%B8%AD%E0%B8%A5-%E0%B8%8A
https://writer.dek-d.com/fantace/writer/viewlongc.php?id=1861466&chapter=1
เทคโนโลยี
วิทยาศาสตร์
ประวัติศาสตร์
1 บันทึก
2
5
1
2
5
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย