3 ม.ค. เวลา 08:53 • สุขภาพ

ระบบจ่ายแก๊สทางการแพทย์ในโรงพยาบาล🇹🇭: ความรู้และแนวทางการแก้ปัญหาที่มักเกิดขึ้น

ระบบจ่ายแก๊สทางการแพทย์ในโรงพยาบาลมีความสำคัญต่อการช่วยชีวิตผู้ป่วย โดยเฉพาะในห้องฉุกเฉิน ห้องผ่าตัด และหอผู้ป่วยวิกฤต (ICU) แก๊สทางการแพทย์คือ “เครื่องมือ” ที่ใช้ควบคู่กับอุปกรณ์การแพทย์อื่น ๆ เพื่อให้การดูแลผู้ป่วยมีประสิทธิภาพมากที่สุด
แก๊สทางการแพทย์ที่ใช้ในโรงพยาบาล
1. ออกซิเจน (Oxygen - O2):
• หน้าที่: ช่วยเพิ่มระดับออกซิเจนในเลือดของผู้ป่วยที่หายใจลำบาก เช่น ผู้ป่วยโรคหัวใจ โรคปอด
• ลักษณะ: เป็นแก๊สสีใส ไร้กลิ่น และไม่มีรส
• ตัวอย่างการใช้งาน: ใช้ในเครื่องช่วยหายใจ หรือหน้ากากออกซิเจน
2. ไนตรัสออกไซด์ (Nitrous Oxide - N2O):
• หน้าที่: ระงับความรู้สึกหรือความเจ็บปวด เช่น การผ่าตัดหรือการทำฟัน
• ลักษณะ: แก๊สไม่มีสี มีรสหวานเล็กน้อย
• ตัวอย่างการใช้งาน: ใช้ในห้องผ่าตัดโดยวิสัญญีแพทย์
3. อากาศทางการแพทย์ (Medical Air):
• หน้าที่: เป็นอากาศบริสุทธิ์ที่ผ่านการกรอง เพื่อใช้ในเครื่องช่วยหายใจ
• ตัวอย่างการใช้งาน: ใช้ผสมกับออกซิเจนเพื่อควบคุมปริมาณที่เหมาะสม
4. คาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Dioxide - CO2):
• หน้าที่: ใช้ในการตรวจสอบความผิดปกติของระบบหายใจหรือในการผ่าตัดบางประเภท
• ตัวอย่างการใช้งาน: ใช้ในห้องปฏิบัติการหรือการผ่าตัดที่ต้องการขยายช่องในร่างกาย เช่น การผ่าตัดผ่านกล้อง
5. ไนโตรเจน (Nitrogen - N2):
• หน้าที่: ใช้ในการเก็บรักษาเลือด ตัวอย่างชีวภาพ หรือในกระบวนการทางการแพทย์ที่ต้องใช้ความเย็นสูง
• ตัวอย่างการใช้งาน: ใช้ในการเก็บรักษาอสุจิหรือไข่ในธนาคารชีวภาพ
ในประเทศไทย โค้ดสีของท่อแก๊สทางการแพทย์ถูกกำหนดตามมาตรฐาน กระทรวงสาธารณสุข และ ISO 7396-1 โดยมีการใช้งานทั่วไปดังนี้: 🟢🟡🔵
โค้ดสีของแก๊สทางการแพทย์ในประเทศไทย
1. ออกซิเจน (Oxygen - O2):
• สีเขียว (Green) หรือ สีขาว (White)
• ใช้สำหรับช่วยหายใจและบำบัดผู้ป่วย
2. ไนตรัสออกไซด์ (Nitrous Oxide - N2O):
• สีฟ้าอ่อน (Light Blue)
• ใช้ในการระงับความรู้สึก (ยาสลบ)
3. อากาศทางการแพทย์ (Medical Air):
• สีดำ-ขาว (Black and White)
• เป็นอากาศบริสุทธิ์ที่ผ่านการกรอง
4. คาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Dioxide - CO2):
• สีเทา (Grey)
• ใช้ในงานห้องปฏิบัติการหรือการผ่าตัดผ่านกล้อง
5. ไนโตรเจน (Nitrogen - N2):
• สีดำ (Black)
• ใช้ในการเก็บรักษาตัวอย่างทางชีวภาพหรืออุปกรณ์ที่ต้องการความเย็นจัด
6. ฮีเลียม (Helium - He):
• สีน้ำตาล (Brown)
• ใช้ในงานเฉพาะ เช่น เครื่องตรวจ MRI หรือผสมกับออกซิเจนสำหรับผู้ป่วยทางเดินหายใจ
7. แก๊สสูญญากาศ (Vacuum):
• สีเหลือง (Yellow)
• ใช้สำหรับดูดของเสียหรือสารคัดหลั่งในกระบวนการทางการแพทย์
หมายเหตุสำคัญ
• โค้ดสีอาจปรากฏทั้งบน ตัวถังแก๊ส และ ท่อส่งแก๊ส เพื่อป้องกันความสับสนระหว่างการใช้งาน
• การระบุชื่อแก๊สและโค้ดสีต้องทำควบคู่กันเพื่อความชัดเจนและลดความเสี่ยงจากความผิดพลาด
ตัวอย่างการใช้งานในโรงพยาบาล:
• ท่อออกซิเจนที่ติดตั้งข้างเตียงผู้ป่วยจะถูกระบุด้วยสีเขียวหรือขาว พร้อมสัญลักษณ์ “O2”
• ท่อสูญญากาศในห้องผ่าตัดจะมีแถบสีเหลืองเพื่อแสดงถึงการใช้งานเฉพาะ
โค้ดสีเหล่านี้ช่วยเพิ่มความปลอดภัยและความสะดวกในการใช้งานแก๊สทางการแพทย์อย่างมีประสิทธิภาพ.
🛠การออกแบบและวิศวกรรมของระบบจ่ายแก๊สทางการแพทย์ในโรงพยาบาล🛠💡
ระบบจ่ายแก๊สทางการแพทย์ในโรงพยาบาลจำเป็นต้องออกแบบอย่างรอบคอบเพื่อตอบสนองความต้องการทางการแพทย์ที่หลากหลาย และต้องมีความปลอดภัยสูงสุดเพื่อป้องกันอุบัติเหตุ (เช่น แรงดันแก๊สผิดปกติหรือการรั่วไหลของแก๊ส)
องค์ประกอบในการออกแบบระบบ
1. การเลือกแหล่งจ่ายแก๊ส (Gas Supply Source):
• ถังแก๊สแรงดันสูง (High-Pressure Gas Cylinders):
• ความดันทั่วไป: 150-200 บาร์ (Bar)
• ใช้สำหรับโรงพยาบาลขนาดเล็ก หรือเป็นแหล่งสำรองในกรณีฉุกเฉิน
• ถังแก๊สเหลว (Liquid Oxygen Tank):
• ถังขนาดใหญ่สำหรับโรงพยาบาลขนาดกลางถึงใหญ่
• มีระบบเปลี่ยนสถานะของเหลวเป็นแก๊สด้วยอุปกรณ์ Vaporizer
• ระบบผลิตแก๊สในสถานที่ (On-site Gas Generation):
• เช่น ระบบผลิตออกซิเจนแบบ PSA (Pressure Swing Adsorption) หรือ VPSA (Vacuum Pressure Swing Adsorption)
• ลดการพึ่งพาการจัดส่งถังแก๊สจากภายนอก
2. การออกแบบระบบท่อ (Pipeline System Design):
• วัสดุของท่อ:
• ทองแดง (Copper): นิยมใช้เพราะทนต่อการกัดกร่อนและสามารถป้องกันการปนเปื้อนได้ดี
• สแตนเลส (Stainless Steel): ใช้ในบางกรณีที่ต้องการความทนทานสูงพิเศษ
• แรงดันภายในท่อ:
• ต้องมีการคำนวณแรงดันที่เหมาะสม (ปกติอยู่ในช่วง 3-5 บาร์สำหรับออกซิเจน)
• การเดินท่อ:
• ต้องวางแผนเส้นทางท่อเพื่อหลีกเลี่ยงมุมหักงอ และติดตั้งวาล์วควบคุมที่จุดสำคัญ
• ท่อควรถูกแยกเป็นโซน (Zone Valve Box) เพื่อควบคุมการจ่ายแก๊สในแต่ละพื้นที่
ท่อแก๊สทางการแพทย์ในโรงพยาบาลควรจะต้องงอโค้งขึ้นเนื่องจากเหตุผลหลักดังนี้:
1. ป้องกันการสะสมของของเหลว
การออกแบบให้ท่อแก๊สงอโค้งขึ้นช่วยป้องกันไม่ให้ของเหลว เช่น ความชื้นหรือสารปนเปื้อนที่อาจอยู่ในระบบไหลย้อนกลับเข้าไปในถังแก๊สหรือแหล่งจ่ายแก๊ส ซึ่งอาจทำให้เกิดการปนเปื้อนและลดประสิทธิภาพของระบบแก๊สทางการแพทย์ได้
2. ลดการสะสมของสิ่งสกปรก
การงอโค้งขึ้นช่วยลดโอกาสที่เศษฝุ่นหรือสิ่งสกปรกจะสะสมอยู่ในบริเวณท่อ ทำให้ระบบมีความสะอาดและปลอดภัยมากขึ้น
3. ความดันและการไหลเวียนของแก๊ส
การงอโค้งของท่อช่วยให้แรงดันแก๊สในระบบมีการควบคุมที่เหมาะสม และลดการเกิดแรงต้านในท่อ ซึ่งส่งผลให้การจ่ายแก๊สมีความสม่ำเสมอและต่อเนื่อง
4. ลดการไหลย้อนกลับ (Backflow)
ท่อที่งอโค้งขึ้นช่วยป้องกันไม่ให้แก๊สหรือของเหลวในระบบไหลย้อนกลับ ซึ่งเป็นการออกแบบที่สำคัญในระบบแก๊สที่เกี่ยวข้องกับการแพทย์ เพื่อรักษาความปลอดภัยของผู้ป่วยและบุคลากร
5. การปฏิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัย
การออกแบบให้ท่อแก๊สงอโค้งขึ้นมักเป็นไปตามมาตรฐานทางวิศวกรรมและข้อกำหนดด้านความปลอดภัย เช่น NFPA 99 (Health Care Facilities Code) เพื่อป้องกันอุบัติเหตุและลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้งานระบบแก๊ส
ดังนั้น การงอโค้งของท่อแก๊สจึงไม่เพียงแค่เพื่อความสะดวก แต่ยังเป็นการเพิ่มความปลอดภัยและรักษามาตรฐานของระบบแก๊สทางการแพทย์ในโรงพยาบาลอีกด้วย.
3. การออกแบบจุดปล่อยแก๊ส (Outlet Design):
• ประเภทของ Outlets:
• Quick Connect: ใช้งานง่าย และเปลี่ยนอุปกรณ์ได้รวดเร็ว
• Threaded Connection: ให้ความแน่นหนาสูงกว่า แต่ใช้งานยากกว่า
• ตำแหน่งการติดตั้ง:
• ต้องติดตั้งในระดับที่เข้าถึงง่าย เช่น บนผนังข้างเตียงผู้ป่วย หรือในห้องผ่าตัดใกล้พื้นที่ใช้งาน
• มาตรฐานหัวต่อแก๊ส (Color Coding & Type):
• มีรหัสสีสำหรับแก๊สแต่ละชนิด เช่น สีเขียวสำหรับออกซิเจนในประเทศไทย
การควบคุมและความปลอดภัย
1. ระบบควบคุมแรงดัน (Pressure Control System):
• ติดตั้งตัวควบคุมแรงดัน (Pressure Regulators) เพื่อให้แก๊สที่จ่ายออกมามีแรงดันเหมาะสมสำหรับอุปกรณ์ทางการแพทย์
• ใช้ Double Stage Regulators เพื่อลดแรงดันแก๊สใน 2 ขั้นตอน (ลดความเสี่ยงจากแรงดันสูงเกินไป)
2. ระบบสำรองแก๊ส (Backup System):
• มีแหล่งสำรองแก๊สในกรณีฉุกเฉิน เช่น ถังแก๊สสำรอง หรือถังออกซิเจนแบบพกพา
• ใช้ระบบเปลี่ยนแหล่งแก๊สอัตโนมัติ (Automatic Changeover System) เพื่อไม่ให้การจ่ายแก๊สสะดุด
3. การป้องกันการรั่วไหล (Leak Detection):
• ติดตั้ง Leak Detectors เพื่อแจ้งเตือนเมื่อพบการรั่วไหลของแก๊ส
• ทดสอบความดันในระบบท่ออย่างสม่ำเสมอด้วย Hydrostatic Testing หรือ Pressure Decay Testing
4. ระบบแจ้งเตือนและตรวจสอบ (Alarm & Monitoring):
• ระบบแจ้งเตือนเมื่อแรงดันผิดปกติ เช่น แรงดันต่ำหรือสูงเกิน
• เชื่อมต่อกับ Building Management System (BMS) เพื่อให้สามารถตรวจสอบได้แบบเรียลไทม์
แนวคิดด้านการออกแบบที่ยั่งยืน
1. ลดการสูญเสียพลังงาน:
• ใช้ระบบผลิตแก๊สแบบ Energy Efficient เช่น PSA ที่ใช้พลังงานต่ำ
2. วัสดุที่ทนต่อการกัดกร่อน:
• ใช้วัสดุที่มีอายุการใช้งานยาวนาน เช่น ทองแดงเคลือบ
3. รองรับการขยายตัวในอนาคต:
• ออกแบบระบบให้รองรับการเพิ่มจำนวนเตียงผู้ป่วยหรือการติดตั้งอุปกรณ์ใหม
การออกแบบระบบจ่ายแก๊สทางการแพทย์จึงเป็นงานที่ต้องผสานความรู้ด้านวิศวกรรม ความปลอดภัย และความเข้าใจในความต้องการทางการแพทย์ เพื่อให้ระบบมีประสิทธิภาพสูงสุดและปลอดภัยสำหรับผู้ป่วยและบุคลากรในโรงพยาบาล
❤️‍🩹การเดินท่อในระบบจ่ายแก๊สทางการแพทย์: หลักการและผลกระทบจากความผิดพลาด❤️‍🩹
การเดินท่อในระบบจ่ายแก๊สทางการแพทย์ (Medical Gas Pipeline System, MGPS) เป็นหนึ่งในองค์ประกอบที่สำคัญที่สุด เพราะเป็นเส้นทางที่แก๊สเดินทางจากแหล่งจ่ายไปยังจุดใช้งาน หากการเดินท่อไม่ถูกต้อง อาจส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพของระบบโดยรวม
หลักการที่สำคัญในการเดินท่อ
1. การเลือกวัสดุของท่อ:
• วัสดุท่อที่นิยมใช้:
• ทองแดง (Copper): ทนต่อการกัดกร่อนและป้องกันการปนเปื้อน
• สแตนเลส (Stainless Steel): ใช้ในบางกรณีที่ต้องการความทนทานสูง
• ต้องเลือกวัสดุที่ผ่านมาตรฐาน ISO 7396-1 หรือเทียบเท่า เพื่อความปลอดภัยและความเหมาะสมในการใช้งานทางการแพทย์
2. การเดินท่อให้ถูกวิธี:
• เดินท่อตามแนวเส้นตรงเท่าที่เป็นไปได้ เพื่อลดการสูญเสียแรงดัน
• หลีกเลี่ยง มุมหักงอ หรือการบิดของท่อที่อาจทำให้อัตราการไหลของแก๊สลดลง
• ต้องติดตั้ง อุปกรณ์ยึดท่อ (Pipe Clamps) อย่างเหมาะสม เพื่อป้องกันการสั่นสะเทือนและความเสียหายจากแรงดันภายใน
3. การแบ่งโซน (Zoning):
• การเดินท่อต้องแยกเป็นโซนตามพื้นที่ใช้งาน เช่น หอผู้ป่วย ห้องผ่าตัด และห้อง ICU
• ติดตั้ง Zone Valve Box ในแต่ละโซน เพื่อควบคุมและปิดระบบในกรณีฉุกเฉิน
4. การป้องกันการปนเปื้อน:
• ท่อจะต้องผ่านกระบวนการ Degreasing (กำจัดน้ำมันและไขมัน) ก่อนการติดตั้ง เพื่อลดความเสี่ยงจากการปนเปื้อนที่อาจก่อให้เกิดการอุดตันหรือปฏิกิริยาอันตราย
• ต้องแยกท่อสำหรับแก๊สต่างชนิด (เช่น ออกซิเจน และไนตรัสออกไซด์) อย่างชัดเจน
5. การติดตั้งวาล์วและอุปกรณ์:
• ติดตั้งวาล์วควบคุมแรงดันที่จุดสำคัญ เช่น ที่แหล่งจ่ายและใกล้จุดใช้งาน
• มีตัวกรอง (Filter) เพื่อป้องกันอนุภาคที่อาจเข้าสู่ระบบ
6. การป้องกันการรั่วไหล:
• ใช้ Brazing หรือ Silver Soldering สำหรับการเชื่อมต่อท่อ เพื่อให้ท่อแน่นหนาและลดโอกาสการรั่วไหล
• ต้องทดสอบแรงดันหลังการติดตั้ง (Pressure Testing) เพื่อยืนยันว่าไม่มีการรั่วไหล
ผลกระทบจากการเดินท่อที่ไม่ถูกต้อง
1. การสูญเสียแรงดัน (Pressure Loss):
• หากมีการหักงอหรือรอยต่อที่ไม่สมบูรณ์ อาจทำให้แรงดันแก๊สลดลง ส่งผลต่อประสิทธิภาพของอุปกรณ์ เช่น เครื่องช่วยหายใจ
2. การรั่วไหลของแก๊ส:
• การรั่วไหลอาจทำให้แก๊สหมดเร็วกว่าที่คาดการณ์ และสร้างความเสี่ยงต่อความปลอดภัย เช่น การสะสมของออกซิเจนในพื้นที่จำกัดที่อาจทำให้เกิดไฟไหม้
3. การปนเปื้อนในระบบ (Contamination):
• หากไม่มีการทำความสะอาดท่อก่อนการติดตั้ง อาจมีสิ่งปนเปื้อนในระบบ เช่น น้ำมัน ไขมัน หรืออนุภาคเล็ก ๆ ที่ส่งผลต่อคุณภาพของแก๊สและการใช้งานของอุปกรณ์
4. ความล้มเหลวของระบบในกรณีฉุกเฉิน:
• หากไม่มีการแบ่งโซนหรือการติดตั้ง Zone Valve Box อย่างเหมาะสม การปิดระบบแก๊สในพื้นที่หนึ่งอาจส่งผลต่อทั้งโรงพยาบาล
5. การสั่นสะเทือนและความเสียหาย:
• หากท่อไม่ได้รับการยึดอย่างเหมาะสม อาจเกิดการสั่นสะเทือนจากแรงดันภายใน ทำให้เกิดความเสียหายหรือการแตกร้าวของท่อ
6. ผลกระทบต่อผู้ป่วย:
• หากอัตราการไหลของแก๊สไม่เพียงพอ เช่น ออกซิเจนที่ส่งไปยังเครื่องช่วยหายใจ อาจทำให้การรักษาผู้ป่วยไม่ได้ผล และในกรณีร้ายแรงอาจเป็นอันตรายต่อชีวิต
ข้อควรระวังเพิ่มเติมในการเดินท่อ
1. การระบุแก๊สที่ท่อ (Labeling):
• ท่อทุกเส้นต้องมีการระบุชนิดของแก๊สและทิศทางการไหลอย่างชัดเจน
• ใช้รหัสสีที่กำหนดมาตรฐาน เช่น สีเขียวสำหรับออกซิเจน สีฟ้าสำหรับไนตรัสออกไซด์
2. การติดตั้งในพื้นที่ปลอดภัย:
• หลีกเลี่ยงการเดินท่อใกล้พื้นที่ที่มีความร้อนสูง หรือบริเวณที่อาจถูกกระแทก
3. การออกแบบสำหรับการขยายตัวในอนาคต:
• ต้องเผื่อความสามารถของระบบเพื่อรองรับการเพิ่มเตียงผู้ป่วยหรืออุปกรณ์ในอนาคต
ตัวอย่างการแก้ปัญหา
• หากพบการสูญเสียแรงดันในระบบ:
ให้ตรวจสอบจุดหักงอของท่อและวาล์วว่ามีการติดตั้งไม่สมบูรณ์หรือไม่
• หากพบการรั่วไหล:
ให้ทดสอบแรงดันในระบบและใช้เครื่องตรวจจับแก๊สเพื่อระบุจุดรั่ว
การเดินท่อในระบบจ่ายแก๊สทางการแพทย์จึงเป็นงานที่ต้องอาศัยความรู้ทางวิศวกรรมและการปฏิบัติตามมาตรฐานอย่างเคร่งครัด เพื่อให้มั่นใจในความปลอดภัยและความต่อเนื่องในการให้บริการทางการแพทย์
🚰ระบบจ่ายแก๊ส: การทำงาน🚰
ระบบจ่ายแก๊สทางการแพทย์เป็นโครงสร้างที่ซับซ้อน แต่สามารถสรุปขั้นตอนสำคัญได้ดังนี้:
1. แหล่งจ่ายแก๊ส:
• ถังแก๊สแรงดันสูง:
ถังแก๊สที่บรรจุแก๊สในรูปแบบอัดแรงดัน เช่น ถังออกซิเจน
• ถังแก๊สเหลว:
แก๊สที่ถูกเก็บในสถานะของเหลวเพื่อประหยัดพื้นที่ เช่น ออกซิเจนเหลว
• ระบบผลิตแก๊สในสถานที่:
เช่น ระบบ PSA (Pressure Swing Adsorption) สำหรับผลิตออกซิเจน
2. การลำเลียงผ่านระบบท่อ (Pipeline):
แก๊สจากแหล่งจ่ายจะถูกส่งผ่านท่อไปยังห้องต่าง ๆ ของโรงพยาบาล โดยระบบท่อจะมีการควบคุมแรงดันเพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งาน
3. จุดใช้งาน (Outlet Points):
จุดปล่อยแก๊สที่ติดตั้งอยู่ในแต่ละห้อง เช่น ห้องผ่าตัด ห้อง ICU มีลักษณะเป็นเต้ารับแก๊สที่สามารถต่อเข้ากับอุปกรณ์ได้ง่าย
4. ระบบแจ้งเตือน (Alarm System):
ระบบนี้จะตรวจสอบแรงดันของแก๊สและแจ้งเตือนในกรณีที่แรงดันผิดปกติ หรือแก๊สหมด
ปัญหาแรงดันแก๊สที่หัวจ่ายในโรงพยาบาลประเทศไทยลดลง
📍ในระบบจ่ายแก๊สทางการแพทย์ในโรงพยาบาล แรงดันแก๊สที่หัวจ่าย (Outlet) ในห้องผู้ป่วยหรือห้องผ่าตัดมีความสำคัญต่อการทำงานของอุปกรณ์และการช่วยชีวิตผู้ป่วย หากแรงดันแก๊สลดลง อาจส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงทั้งในด้านการรักษาและความปลอดภัย📍
สาเหตุของแรงดันที่หัวจ่ายลดลง
1. ปัญหาในแหล่งจ่ายแก๊ส:
• ถังแก๊สหมด: หากไม่มีการเปลี่ยนถังแก๊สสำรองทันเวลา จะทำให้แรงดันแก๊สในระบบลดลงทันที
• ระบบผลิตแก๊สล้มเหลว: เช่น เครื่องผลิตออกซิเจนแบบ PSA เกิดการชำรุด
2. การรั่วไหลของแก๊ส (Gas Leakage):
• เกิดจากรอยรั่วที่จุดเชื่อมต่อ หรือท่อส่งแก๊สมีความเสียหาย
• การรั่วไหลนี้มักตรวจพบยากหากไม่มีการติดตั้งระบบตรวจจับการรั่ว
3. การอุดตันในท่อ (Pipeline Blockage):
• ท่อส่งแก๊สอาจมีสิ่งสกปรกหรืออนุภาคที่อุดตัน
• ในบางกรณี หยดน้ำหรือความชื้นในท่ออาจก่อตัวเป็นอุปสรรคต่อการไหลของแก๊ส
4. การใช้งานที่เกินขีดจำกัด:
• มีการใช้งานแก๊สพร้อมกันในหลายจุดมากเกินไป เช่น การใช้งานในห้อง ICU และห้องผ่าตัดในเวลาเดียวกัน ทำให้แรงดันในระบบลดลง
5. วาล์วควบคุมแรงดันผิดปกติ:
• วาล์วแรงดันเสียหาย หรือมีการตั้งค่าที่ไม่เหมาะสม
6. การออกแบบระบบที่ไม่เหมาะสม:
• ท่อส่งแก๊สอาจมีระยะทางไกลเกินไป ทำให้แรงดันลดลงตามระยะทาง
• ไม่มีการติดตั้ง Booster Pump หรืออุปกรณ์ช่วยเพิ่มแรงดันในโซนที่ต้องการ
ผลกระทบจากแรงดันแก๊สลดลง
1. การทำงานของอุปกรณ์ทางการแพทย์ล้มเหลว:
• เช่น เครื่องช่วยหายใจอาจไม่สามารถจ่ายออกซิเจนในปริมาณที่เหมาะสม
• เครื่องดมยาสลบ (Anesthesia Machine) อาจไม่สามารถจ่ายแก๊สได้อย่างปลอดภัย
2. ความเสี่ยงต่อชีวิตผู้ป่วย:
• ผู้ป่วยในห้อง ICU หรือระหว่างการผ่าตัดอาจได้รับปริมาณออกซิเจนไม่เพียงพอ
• เพิ่มความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตในกรณีฉุกเฉิน
3. ความเสียหายของระบบ:
• แรงดันที่ไม่เสถียรอาจทำให้อุปกรณ์เสื่อมสภาพเร็วขึ้น
4. เพิ่มภาระงานบุคลากร:
• เจ้าหน้าที่ต้องเร่งแก้ไขปัญหา เช่น การเปลี่ยนถังแก๊สสำรองหรือตรวจสอบระบบ
✅แนวทางการตรวจสอบและป้องกันปัญหา✅
1. ติดตั้งระบบตรวจจับแรงดัน (Pressure Monitoring System):
• ใช้เซนเซอร์ตรวจจับแรงดันในแต่ละโซน เพื่อแจ้งเตือนเมื่อแรงดันลดลงต่ำกว่าค่ามาตรฐาน
2. การบำรุงรักษาระบบอย่างสม่ำเสมอ:
• ตรวจสอบวาล์ว ตัวกรอง และท่อส่งแก๊สเพื่อตรวจหาความผิดปกติ
• ทำความสะอาดระบบเพื่อป้องกันการอุดตัน
3. การตรวจสอบการรั่วไหล:
• ใช้เครื่องตรวจจับการรั่วไหล (Leak Detector) เพื่อตรวจสอบรอยรั่วในระบบ
• ตรวจสอบการเชื่อมต่อของหัวจ่ายและวาล์วอย่างละเอียด
4. การออกแบบระบบให้เหมาะสม:
• ติดตั้ง Booster Pump ในโซนที่มีการใช้งานหนัก หรือพื้นที่ที่อยู่ห่างจากแหล่งจ่าย
• เลือกท่อส่งแก๊สที่มีขนาดเหมาะสมเพื่อลดการสูญเสียแรงดัน
5. สำรองแหล่งจ่ายแก๊ส:
• มีถังแก๊สสำรองในทุกโซน และระบบเปลี่ยนถังอัตโนมัติ (Automatic Changeover)
6. การควบคุมการใช้งานพร้อมกัน:
• จำกัดการใช้งานแก๊สในแต่ละโซน และจัดลำดับความสำคัญในการใช้งาน
ค่ามาตรฐานแรงดันที่หัวจ่ายในห้องผู้ป่วย
• ออกซิเจน (O2): 3-4 บาร์
• ไนตรัสออกไซด์ (N2O): 3-4 บาร์
• อากาศทางการแพทย์ (Medical Air): 4-6 บาร์
• สูญญากาศ (Vacuum): -0.4 ถึง -0.6 บาร์
การแก้ไขปัญหาแรงดันแก๊สที่หัวจ่ายในโรงพยาบาลต้องดำเนินการอย่างรวดเร็วและแม่นยำ เพื่อให้ระบบสามารถรองรับการใช้งานได้อย่างต่อเนื่องและปลอดภัยสำหรับผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์.
การบำรุงรักษาระบบจ่ายแก๊ส
การดูแลระบบจ่ายแก๊สมีความสำคัญต่อความปลอดภัยของผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์ โดยมีขั้นตอนสำคัญดังนี้:
1. การตรวจสอบแรงดัน:
ตรวจสอบว่าแรงดันแก๊สในระบบอยู่ในเกณฑ์ปกติ
2. การเปลี่ยนถังแก๊ส:
ถังแก๊สที่หมดจะถูกเปลี่ยนใหม่โดยทีมช่างเฉพาะทาง
3. การสอบเทียบระบบแจ้งเตือน:
เพื่อให้มั่นใจว่าระบบแจ้งเตือนทำงานได้อย่างแม่นยำ
📱เครื่องมือตรวจวัดในระบบจ่ายแก๊สทางการแพทย์📲
การตรวจวัดและควบคุมแรงดัน, การไหล, และคุณภาพของแก๊สในระบบจ่ายแก๊สทางการแพทย์จำเป็นต้องใช้เครื่องมือที่มีความแม่นยำสูงและสอดคล้องกับมาตรฐานทางการแพทย์ (เช่น ISO 7396-1) เครื่องมือตรวจวัดที่สำคัญมีดังนี้:
1. เครื่องมือวัดแรงดัน (Pressure Measurement)
1. Manometer (Pressure Gauge):
• ใช้ตรวจสอบแรงดันแก๊สในระบบ เช่น ที่ท่อส่งแก๊สหรือจุดหัวจ่าย
• แรงดันที่วัดได้ควรอยู่ในค่ามาตรฐาน เช่น 3–4 บาร์สำหรับออกซิเจน
• ชนิดที่นิยม:
• Analog Manometer: หน้าปัดแบบเข็ม
• Digital Manometer: แสดงผลแบบดิจิทัลพร้อมความแม่นยำสูง
2. Pressure Transmitter:
• อุปกรณ์แปลงสัญญาณแรงดันเป็นข้อมูลดิจิทัลเพื่อส่งไปยังระบบควบคุม
• ใช้สำหรับการตรวจวัดแรงดันแบบเรียลไทม์ในโซนต่าง ๆ
3. Vacuum Gauge:
• ใช้วัดแรงดันสูญญากาศในระบบ Vacuum
• ช่วงแรงดันที่วัด: -0.4 ถึง -0.6 บาร์
2. เครื่องมือวัดการไหล (Flow Measurement)
1. Flow Meter (Rotameter):
• ใช้ตรวจวัดอัตราการไหลของแก๊ส เช่น ออกซิเจนหรือไนตรัสออกไซด์
• หน้าปัดมีลูกลอยที่เคลื่อนที่ตามการไหลของแก๊ส
• นิยมใช้ในจุดจ่ายแก๊สเพื่อการควบคุมปริมาณ
2. Mass Flow Meter:
• วัดการไหลของแก๊สโดยคำนึงถึงมวล (Mass) ของแก๊ส
• ใช้ในระบบที่ต้องการความแม่นยำสูง เช่น ในห้องผ่าตัด
3. Differential Pressure Flow Meter:
• วัดการไหลโดยอาศัยความแตกต่างของแรงดันในจุดต่าง ๆ ของระบบ
3. เครื่องมือวัดความบริสุทธิ์ของแก๊ส (Gas Purity Measurement)
1. Gas Analyzer:
• ใช้วิเคราะห์ความบริสุทธิ์ของแก๊ส เช่น ตรวจสอบเปอร์เซ็นต์ออกซิเจน (O2) หรือไนตรัสออกไซด์ (N2O)
• ตัวอย่างเครื่องมือ:
• Oxygen Analyzer: ตรวจความบริสุทธิ์ของออกซิเจน (ควรมากกว่า 99.5%)
• CO2 Analyzer: ใช้ตรวจปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์
2. Multi-Gas Detector:
• ตรวจสอบส่วนผสมของแก๊สหลายชนิดในระบบ เช่น ออกซิเจน, CO2, และไนตรัสออกไซด์
• มีเซนเซอร์หลายชนิดในเครื่องเดียว
4. เครื่องมือตรวจจับการรั่วไหลของแก๊ส (Gas Leak Detection)
1. Electronic Gas Leak Detector:
• ตรวจจับการรั่วไหลของแก๊สโดยใช้เซนเซอร์ที่ตอบสนองต่อแก๊สเฉพาะ
• นิยมใช้สำหรับตรวจรอยรั่วในจุดเชื่อมต่อ
2. Ultrasonic Leak Detector:
• ตรวจจับเสียงความถี่สูงที่เกิดจากแก๊สรั่ว
• ใช้ได้ในสภาพแวดล้อมที่มีเสียงรบกวน
3. Soap Bubble Test:
• ใช้สารละลายฟองสบู่ทาตามจุดเชื่อมต่อ หากมีรอยรั่วจะเกิดฟอง
5. เครื่องมือวัดความชื้น (Humidity Measurement)
1. Dew Point Meter:
• ตรวจวัดจุดน้ำค้างในระบบแก๊ส เพื่อป้องกันการควบแน่นของน้ำในท่อ
• ใช้สำหรับตรวจสอบความชื้นในระบบที่ต้องการแก๊สแห้ง
2. Hygrometer:
• ใช้วัดปริมาณความชื้นในแก๊ส
• ช่วยป้องกันความเสียหายจากการสะสมของหยดน้ำ
6. เครื่องมือวัดคุณภาพระบบโดยรวม (System Monitoring Tools)
1. Medical Gas Alarm System:
• ระบบแจ้งเตือนอัตโนมัติเมื่อแรงดันในโซนใดโซนหนึ่งลดลงต่ำกว่าค่ามาตรฐาน
• ใช้เซนเซอร์ตรวจจับแรงดัน, การไหล, และการรั่วไหล
2. SCADA System (Supervisory Control and Data Acquisition):
• ระบบควบคุมและตรวจสอบระบบแก๊สแบบเรียลไทม์
• เก็บข้อมูลและแจ้งเตือนในกรณีที่ระบบผิดปกติ
มาตรฐานที่เกี่ยวข้องกับเครื่องมือตรวจวัด
1. ISO 7396-1: Medical Gas Pipeline Systems:
• กำหนดข้อกำหนดในการออกแบบ ติดตั้ง และบำรุงรักษาระบบแก๊ส
• รวมถึงข้อกำหนดสำหรับการตรวจสอบแรงดันและคุณภาพของแก๊ส
2. ISO 8573-1: Compressed Air Quality:
• มาตรฐานการควบคุมความชื้น ฝุ่น และน้ำมันในระบบอากาศอัด
3. NFPA 99: Health Care Facilities Code:
• ระบุข้อกำหนดการติดตั้งและใช้งานเครื่องมือตรวจวัดในระบบแก๊สทางการแพทย์
การเลือกใช้เครื่องมือตรวจวัดที่เหมาะสมในระบบจ่ายแก๊สทางการแพทย์มีความสำคัญต่อการรักษาความปลอดภัยและประสิทธิภาพของระบบในโรงพยาบาล เครื่องมือเหล่านี้ควรได้รับการสอบเทียบและบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้มั่นใจในความแม่นยำและการทำงานที่ต่อเนื่อง.
สรุป
ระบบจ่ายแก๊สทางการแพทย์ในโรงพยาบาลประเทศไทยเป็นโครงสร้างสำคัญที่ส่งแก๊ส เช่น ออกซิเจน, ไนตรัสออกไซด์, และอากาศทางการแพทย์ ไปยังจุดใช้งานต่าง ๆ ผ่านระบบท่อ วาล์ว และหัวจ่ายที่ออกแบบตามมาตรฐาน เช่น ISO 7396-1 และ NFPA 99 ปัญหาแรงดันแก๊สลดลงอาจเกิดจากการรั่วไหล, การอุดตัน หรือการใช้งานเกินขีดจำกัด ส่งผลต่อความปลอดภัยและการทำงานของอุปกรณ์ทางการแพทย์
การป้องกันและแก้ไขปัญหาคือการตรวจสอบและบำรุงรักษาระบบอย่างสม่ำเสมอ พร้อมใช้เครื่องมือตรวจวัด เช่น Manometer, Flow Meter และ Gas Analyzer เพื่อรักษาแรงดันและคุณภาพแก๊สให้เป็นไปตามมาตรฐาน ช่วยเพิ่มความปลอดภัยและประสิทธิภาพในการดูแลผู้ป่วย.
โฆษณา