6 ม.ค. เวลา 13:00 • ข่าวรอบโลก

บทบาทของอาเซียนในโลกที่เปลี่ยนแปลง:ความท้าทายท่ามกลางการแข่งขันของมหาอำนาจ

ในยุคที่โลกต้องเผชิญกับการแข่งขันเชิงยุทธศาสตร์ระหว่างมหาอำนาจ อาเซียนซึ่งเป็นศูนย์กลางของกลไกความร่วมมือพหุภาคีกำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักถึงความล้าหลังและขาดประสิทธิภาพในการสร้างผลลัพธ์เชิงยุทธศาสตร์ที่ชัดเจน อาเซียนถูกตั้งคำถามถึงความสามารถในการรักษาความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ความมั่นคง และสันติภาพในภูมิภาค โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสหรัฐอเมริกาและจีนยังคงแข่งขันกันอย่างรุนแรง
ความท้าทายที่สำคัญอีกประการหนึ่งของอาเซียนคือการเผชิญกับการเกิดขึ้นของกลุ่มความร่วมมือขนาดเล็ก (Minilaterals) เช่น Quad และ AUKUS ซึ่งแม้จะไม่ใช่การกีดกันอาเซียนโดยตรง แต่ก็มีลักษณะเชิงแข่งขันและถูกออกแบบมาเพื่อรับมือกับภัยคุกคามยุทธศาสตร์เฉพาะด้าน ส่งผลให้บทบาทของอาเซียนในฐานะกลไกหลักของภูมิภาคถูกลดทอนลง
อย่างไรก็ตาม แม้จะเผชิญกับแรงกดดัน ผู้นำอาเซียนยังคงแสดงจุดยืนเชิงบวกต่อการสร้างสันติภาพและความเจริญรุ่งเรืองในภูมิภาค โดยย้ำถึงความสำคัญของการดำเนินนโยบายที่ยึดหลักการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์
คำถามที่ตามมาคือ อาเซียนจะสามารถปรับตัวและเสริมสร้างบทบาทของตนในเวทีโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วนี้ได้หรือไม่? หรือกลไกความร่วมมือระดับภูมิภาคจะถูกลดทอนบทบาทลงไปในอนาคต?
.
.
.
เมียนมา: ความขัดแย้งที่ยืดเยื้อและบทบาทของอาเซียนในการหาทางออก
รายงานข่าวหลายสำนักระบุว่าจีนได้เสนอให้จัดตั้ง "บริษัทรักษาความปลอดภัยร่วม" กับรัฐบาลทหารเมียนมา (Tatmadaw) เพื่อดูแลความปลอดภัยของโครงการและบุคลากรชาวจีนในประเทศ ความเคลื่อนไหวนี้สร้างความกังวลเกี่ยวกับอธิปไตยของเมียนมา เนื่องจากศักยภาพในการควบคุมของ Tatmadaw ที่ลดลงหลังเผชิญความพ่ายแพ้ทางทหาร ทำให้เกิดคำถามถึงความสามารถในการรักษาเสถียรภาพภายในประเทศ
ในด้านการทูต แม้กระบวนการตาม "ฉันทามติห้าข้อ" ของอาเซียน ซึ่งมุ่งเน้นยุติความรุนแรงและส่งเสริมการเจรจา ยังคงไม่มีความคืบหน้า แต่ผู้นำอาเซียนยังคงยืนยันว่ากระบวนการนี้เป็นแนวทางหลักในการแก้ไขปัญหา อย่างไรก็ตาม ในระดับโลก กลุ่ม G20 ย้ำว่าวิกฤตเมียนมาร์เป็นเรื่องที่อาเซียนต้องรับผิดชอบและดำเนินการแก้ไขให้สำเร็จ ซึ่งสะท้อนถึงแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นต่ออาเซียนในการผลักดันให้เกิดความสงบสุขในภูมิภาค
ขณะเดียวกัน ประเทศสมาชิกอาเซียนอื่น ๆ ควรสนับสนุนความพยายามของมาเลเซียและไทยอย่างจริงจัง เพราะหากอาเซียนสามารถสร้างเอกภาพในการดำเนินการแก้ไขวิกฤตครั้งนี้ จะเพิ่มโอกาสในการสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสถานการณ์ในเมียนมาและแสดงถึงความเป็นผู้นำของอาเซียนในภูมิภาค
.
.
.
ความตึงเครียดในพื้นที่ทะเลจีนใต้
การอ้างสิทธิ์ทับซ้อนในพื้นที่ทะเลจีนใต้
สถานการณ์ในทะเลจีนใต้กลับมาตึงเครียดอีกครั้งเมื่อจีนและฟิลิปปินส์ต่างกล่าวหาอีกฝ่ายว่าเป็นต้นเหตุของการเผชิญหน้าทางทะเลรอบบริเวณเกาะปะการังสการ์โบโรห์ Scarborough Shoal เหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้สหรัฐฯ ตัดสินใจส่งเครื่องบินลาดตระเวนเข้าพื้นที่ ขณะเดียวกัน ญี่ปุ่นได้ร่วมมือกับฟิลิปปินส์ในการลาดตระเวนทางทะเลอย่างใกล้ชิด เพื่อตอบสนองต่อภัยคุกคามที่เพิ่มขึ้นจากการกระทำของจีน
ท่ามกลางความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นฟิลิปปินส์ได้ยื่นคำร้องใหม่ต่อศาลอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ โดยกล่าวหาว่าจีนละเมิดกฎหมายทางทะเลสากล พร้อมทั้งขอแรงสนับสนุนจากประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาค ในขณะเดียวกัน อาเซียนและจีนยังคงดำเนินกระบวนการเจรจาร่าง "แนวปฏิบัติในทะเลจีนใต้" (Code of Conduct – CoC) ซึ่งเป็นความพยายามที่มีเป้าหมายเพื่อลดความขัดแย้งและสร้างกรอบความร่วมมือด้านการจัดการทางทะเล โดยทั้งสองฝ่ายได้ตั้งเป้าหมายให้การเจรจาสิ้นสุดภายในปี 2026
อาเซียนเน้นย้ำถึงความสำคัญของการเพิ่มความร่วมมือทางทะเล เนื่องจากลักษณะภูมิศาสตร์ของภูมิภาคนี้ที่มีพื้นที่ทางทะเลมากกว่าบนบก ความพยายามในการจัดการข้อพิพาทในทะเลจีนใต้จึงถือเป็นปัจจัยสำคัญในการรักษาเสถียรภาพในภูมิภาค ท่ามกลางการแข่งขันทางยุทธศาสตร์ของมหาอำนาจ
.
.
.
ความริเริ่มของอินโดนีเซียและความร่วมมือในอินโด-แปซิฟิก
ประธานาธิบดีปราโบโวของอินโดนีเซีย
อินโดนีเซียมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมความร่วมมือระดับภูมิภาคภายใต้กรอบ ASEAN Outlook on the Indo-Pacific (AOIP) โดยในเดือนกันยายน 2023 กรุงจาการ์ตาได้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุม ASEAN Indo-Pacific Forum ครั้งแรก ซึ่งรวบรวมประเทศสมาชิกอาเซียนและหุ้นส่วนภายนอกเพื่อหารือเกี่ยวกับความร่วมมือในหลากหลายด้าน เช่น โครงสร้างพื้นฐานสีเขียว การเพิ่มความยืดหยุ่นของห่วงโซ่อุปทาน การเงินที่ยั่งยืน การเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล และการพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์
ผลจากการประชุมดังกล่าว ที่ประชุมได้ระบุโครงการความร่วมมือทั้งหมด 93 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 38.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และยังมีโครงการที่มีศักยภาพอีก 73 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 17.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ถือเป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญที่เป็นรูปธรรมครั้งแรกของ AOIP นับตั้งแต่ได้รับการรับรองโดยประเทศสมาชิกอาเซียนในปี 2019 ความริเริ่มนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของอินโดนีเซียในการเสริมสร้างบทบาทของอาเซียนในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก ท่ามกลางการแข่งขันทางยุทธศาสตร์ระหว่างมหาอำนาจ
.
.
.
อาเซียนกับความท้าทายในการรับมือกับการกลับมาของทรัมป์ 2.0
อาเซียนกำลังเตรียมพร้อมรับมือกับความตึงเครียดที่อาจรุนแรงขึ้นระหว่างสหรัฐฯ และจีน หลังจากโดนัลด์ ทรัมป์กลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อีกครั้งในวันที่ 20 มกราคม 2025 ทรัมป์ได้แสดงเจตจำนงชัดเจนในการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจแข็งกร้าวต่อจีน โดยประกาศว่าจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากหลายประเทศ รวมถึงจีน
นโยบายนี้เป็นการต่อยอดจากมาตรการทางการค้าในสมัยรัฐบาลแรกของเขา ซึ่งเคยส่งผลให้สหรัฐฯ ถอนตัวจากความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (Trans-Pacific Partnership – TPP) และเริ่มทบทวนรากฐานสำคัญหลายประการของนโยบายต่างประเทศ โดยเฉพาะในด้านการค้า การเคลื่อนไหวดังกล่าวสร้างแรงกดดันต่ออาเซียนในการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและส่งเสริมความร่วมมือในภูมิภาค ขณะที่การแข่งขันทางเศรษฐกิจและอิทธิพลทางการเมืองระหว่างสองมหาอำนาจยังคงดำเนินต่อไป
.
.
.
บทบาทของ BRICS และความพยายามของอาเซียนในการสร้างหลักประกันความเสี่ยง
ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงในภูมิรัฐศาสตร์โลก ขณะที่อิทธิพลทางเศรษฐกิจและยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ ลดลงอย่างต่อเนื่อง การขยายตัวของกลุ่ม BRICS ได้รับความสนใจอย่างมากจากประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยในปีนี้ ประเทศสมาชิกอาเซียนอย่างมาเลเซีย อินโดนีเซีย เวียดนาม และไทย ได้เข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับ BRICS
การขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจในลักษณะนี้สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของอาเซียนในการกระจายความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ เพื่อลดการพึ่งพาอิทธิพลจากมหาอำนาจเพียงฝ่ายเดียว ท่ามกลางความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้น
แม้กระนั้น อาเซียนยังคงมีบทบาทสำคัญในฐานะศูนย์กลางความร่วมมือในภูมิภาค มหาอำนาจต่างตระหนักดีว่าการสนับสนุนจากอาเซียนเป็นปัจจัยสำคัญในการผลักดันโครงการและยุทธศาสตร์ต่าง ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การละเลยหรือเมินเฉยต่อบทบาทของอาเซียน อาจส่งผลให้ข้อริเริ่มทางเศรษฐกิจและยุทธศาสตร์ของพวกเขาประสบความล้มเหลวหรือไม่ได้รับการตอบรับจากประเทศในภูมิภาคนี้
.
.
.
ความจำเป็นในการปรับปรุงกลไกของอาเซียน
ในอนาคต อาเซียนต้องดำเนินนโยบายที่รักษาความเป็นกลางระหว่างความขัดแย้งของสหรัฐฯ และจีน แม้ว่าทั้งสองมหาอำนาจจะประกาศสนับสนุนแนวคิด ASEAN Centrality แต่ต่างฝ่ายต่างต้องการให้อาเซียนเข้าข้างตนเองเพื่อผลประโยชน์ทางยุทธศาสตร์
อาเซียนจึงต้องเร่งปรับปรุงกลไกความร่วมมือที่มีอยู่ให้ทันสมัยและตอบสนองต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม การรักษาสมดุลท่ามกลางแรงกดดันจากทั้งสองฝ่ายจะเป็นความท้าทายสำคัญในการดำเนินนโยบายนี้
แม้ภูมิทัศน์ด้านความมั่นคงในภูมิภาคจะเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน แต่อาเซียนยังคงมุ่งมั่นในการสร้างประชาคม โดยเฉพาะในมิติทางเศรษฐกิจ ด้วยเศรษฐกิจที่มีมูลค่ารวมกว่า 3.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และประชากร 685 ล้านคน ซึ่งในจำนวนนี้ กว่า 460 ล้านคน เป็นผู้บริโภคดิจิทัล และยังคงเพิ่มขึ้นทุกปี ทำให้อาเซียนมีพื้นฐานที่แข็งแกร่งในการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลและนวัตกรรมเทคโนโลยี
นอกจากนี้ อาเซียนยังมีศักยภาพสูงในการเสริมสร้างความเป็นหุ้นส่วนทางการค้าและการลงทุนในศตวรรษที่ 21 ซึ่งจะช่วยรักษาความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจของภูมิภาคและส่งเสริมการเติบโตอย่างยั่งยืน
ดังนั้น ความสำเร็จในระยะยาวของระเบียบภูมิภาคที่ขับเคลื่อนโดยอาเซียนในอินโด-แปซิฟิกขึ้นอยู่กับสองปัจจัยหลัก ได้แก่ ความเป็นเอกภาพภายในกลุ่มอาเซียน และความสามารถของประเทศคู่เจรจาในการสร้างบรรยากาศที่ส่งเสริมกระบวนการพหุภาคี หากอาเซียนต้องการรักษาความเป็นผู้นำด้านพหุภาคีอย่างยั่งยืน จำเป็นต้องแสดงบทบาทเชิงรุกในฐานะผู้สนับสนุนแนวคิดนี้อย่างต่อเนื่อง
โดยแนวคิด “พหุภาคีในชีวิตประจำวัน” (everyday multilateralism) กำลังได้รับความสนใจในหมู่ผู้เชี่ยวชาญในภูมิภาค ซึ่งเน้นให้เห็นถึงความสำคัญของการประยุกต์ใช้ความร่วมมือพหุภาคีในทุกระดับ
ในบริบทนี้ ผู้นำอาเซียนจำเป็นต้องสร้างความเข้าใจและส่งเสริมความร่วมมือภายในประเทศอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะกับประชาชนและภาคธุรกิจ เพื่อให้ทุกภาคส่วนตระหนักถึงคุณค่าของประชาคมอาเซียนและบทบาทของกลไกพหุภาคีที่ช่วยส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจและความมั่งคั่งของภูมิภาค การสร้างความสัมพันธ์อันสงบสุขระหว่างประเทศสมาชิกจะส่งผลโดยตรงต่อความมั่นคงและเสถียรภาพในภูมิภาค ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการเติบโตในระยะยาว
โฆษณา