5 ม.ค. เวลา 03:43 • ความคิดเห็น

ไอเดียในการทำ New year resolution ให้ได้ซักปี

ปีใหม่ทุกปี หลายคนคงจะทำ new year resolution ก็คือการตั้งเป้าหมายใหม่ว่าจะต้องทำในสิ่งที่ตัวเองตั้งใจไว้ให้ได้ในปีใหม่นี้ ที่ฮิตๆ ส่วนใหญ่ก็เช่นจะลดน้ำหนักให้ได้เท่าโน้นเท่านี้ จะต้องออกกำลังสม่ำเสมอ จะต้องมีเวลาให้ลูกมากขึ้น จะลดเวลาการใช้ social media ฯลฯ แต่ที่น่าสนใจตามสถิติที่เก็บๆกันทั่วโลกก็คือ มีแค่ไม่ถึง 20% เท่านั้นที่ทำได้ตามที่ตัวเองตั้งใจไว้ แล้วพอจะขึ้นปีใหม่ทีก็จะต้องเป้ากันใหม่..วนเวียนไปแบบนั้น
เพราะการที่จะทำให้ได้ตามที่ตั้งใจนั้น เราต้องเปลี่ยนนิสัยหรือพฤติกรรมอย่างหน้ามือเป็นหลังมือ ซึ่งคนส่วนใหญ่เริ่มทำได้ซักแป๊บ นิสัยเดิมก็กลับมา การเปลี่ยนแปลงจริงๆจังๆก็เลยทำไม่ได้ซักที
คุณ james clear ผู้เขียนหนังสืออันโด่งดังชื่อ atomic habits เคยเขียนบทความ (และน่าจะเขียนในหนังสือด้วย) ว่าหัวใจของการเปลี่ยนนิสัยจนทำให้ได้ตามเป้าประสงค์วิธีหนึ่งที่เขาสอนแล้วได้รับผลตอบรับที่ดีมากๆ ก็คือการกำหนดตัวตนเพื่อเปลี่ยนนิสัยนั้นๆ (identity based habit)
คุณเจมส์เล่าถึงความสามารถของภรรยาที่จำชื่อคนได้แม่นมากๆอย่างไม่น่าเชื่อ เป็นที่ฮือฮากับคนที่รู้จักมากนั้น เกิดจากตอนที่ภรรยาเขาเรียนมัธยมแล้วตอนแนะนำตัวกัน เธอจำชื่อเพื่อนใหม่ได้มากกว่าคนอื่นจนมีคนชม ทำให้เธอคิดและเชื่อตั้งแต่นั้นว่าเธอเป็นพวก “จำชื่อคนเก่ง” ทำให้เธอฝึกฝน ตั้งใจเป็นพิเศษในการจำชื่อคน จนกลายเป็นตัวตนของเธอในที่สุด
เรื่องนี้คล้ายๆ กับเรื่องของคุณกระทิง พูนผล เจ้าพ่อสตาร์ทอัพไทย ที่ตอนอยู่ประถมต้นเป็นเด็กที่ห่วย หัวทึบและดูเหมือนไม่มีอะไรเก่งเลย แต่มีคุณครูใจดีคนหนึ่งมาช่วยเหลือดูแลและพยายามหาข้อดีของ ด.ช. กระทิง ซึ่งหาได้ยากมากแต่ครูก็หาเจอจนได้ เป็นเรื่องเล็กๆที่ต้องเรียกว่าสรรหามาชมว่า กระทิงเธอพูดควบกล้ำได้ชัดมากนะ ทำให้กระทิงผู้ซึ่งไม่เคยมีตัวตน (identity) กลับเชื่อว่าตัวเองก็พอมีความสามารถนี้กับเขา
กระทิงเลยตั้งใจฝึกฝนอย่างหนัก จนครูส่งไปประกวดและเริ่มได้รับรางวัล ทำให้กระทิงมั่นใจขึ้นเรื่อยๆจนตอนหลังเริ่มไปแข่งระดับจังหวัด เริ่มคิดว่าตัวเองมีความสามารถด้านอื่นจนได้เหรียญทองคณิตศาสตร์โอลิมปิคและเติบใหญ่อย่างมั่นใจจนเป็นกระทิงในปัจจุบัน
คุณเจมส์อธิบายว่า การที่เราพยายามจะเปลี่ยนแปลงตัวเองนั้น ขั้นแรกที่คนส่วนใหญ่ชอบใช้ก็คือการเน้นไปที่ผลลัพธ์เช่น จะลดน้ำหนักให้ได้ x โล จะต้องเขียนหนังสือได้หนึ่งเล่ม หรือจะต้องวิ่งมาราธอนให้ได้
ขั้นที่สองที่ยากกว่า ก็คือการเน้นที่กระบวนการ โดยพยายามเปลี่ยนที่นิสัยประจำของเรา เช่นจะพยายามไปยิมให้ได้สามวันต่ออาทิตย์ จะต้องนั่งสมาธิสิบห้านาทีทุกวัน และหวังว่าการที่เราเปลี่ยนนิสัยประจำจะนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่ต่างออกไป
ขั้นที่สามที่ลึกที่สุดที่คุณเจมส์บอกคือการพยายามเปลี่ยนความ “เชื่อ” ต่อตัวเอง (identity) ภาพที่ตัวเองคิดว่าจะเป็น สมมติฐานที่มีต่อตัวเอง ซึ่งพอเชื่อว่าตัวเองเป็นอย่างไร การกระทำที่เกิดจากความเชื่อนั้นจะทำให้นิสัยเปลี่ยนและนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่เปลี่ยนไปในที่สุด
Outcomes are about what you get. Processes are about what you do. Identity is about what you believe. คุณเจมส์ว่าไว้แบบนั้นซึ่งทั้งสามวิธีมีทางต่างกันออกไป
คุณเจมส์แนะนำว่าถ้าใครลองวิธีตั้งเป้าแล้วไปไม่รอด การใช้วิธีเริ่มจากการเปลี่ยนวิธีคิดเป็น identity based habit โดยเริ่มจากคิดถึงเป้าคิดถึงผลลัพธ์ก่อน แล้วค่อยๆ คิดย้อนทางว่าเราต้องเป็นคนแบบไหนนะถึงจะได้เป้านั้น แล้วเริ่มจาก small win เป็นการเริ่มต้นสร้าง identity นั้นๆ ให้กับตัวเอง
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าต้องการลดน้ำหนักให้ได้ในปีนี้ ก็อาจจะกำหนดว่าเราจะเป็นพวกที่ชอบเคลื่อนไหวตลอดเวลาไม่อยู่นิ่งๆ แล้วเริ่มจาก small win ด้วยการเดินเท่าที่จะทำได้ มีโอกาสที่จะเลือกขึ้นลิฟท์สองชั้นก็จะเดินแทน ค่อยๆ เริ่มจากเดินจากบ้านไปหน้าปากซอย ใช้นาฬิกาที่นับก้าวได้ให้ได้ห้าพันก้าวหมื่นก้าวต่อวัน อะไรทำนองนี้
2
ถ้าต้องการที่จะมีร่างกายแข็งแรง ก็อาจจะกำหนดว่าเราจะเป็นพวกที่ยังไงก็จะต้อง workout ไม่ขาด ว่างก็ไปยิม ถ้าเดินทางก็วิดพื้นในโรงแรมทุกเช้า ทำนิดๆ หน่อยๆ เป็นการเริ่มต้นก่อน
ถ้าต้องการมีเพื่อนในชีวิตมากขึ้น ก็ต้องเริ่มจากกำหนดว่าเราจะเป็นพวกเป็นห่วงเป็นใย ถามสารทุกข์สุกดิบเพื่อนเสมอ โดยเริ่มจากอวยพรวันเกิดเพื่อนสนิทผ่านไลน์ นัดเจอเพื่อนมัธยม มหาวิทยาลัยทุกๆเดือน เป็นต้น
คุณเจมส์บอกว่า ที่เราตั้งเป้า new year resolution แล้วไม่ค่อยสำเร็จเพราะการพยายามทำให้ได้ผลลัพธ์ที่อยากได้นั้นต้องการแรงบันดาลใจอย่างมาก (motivation) ซึ่งแรงบันดาลใจนั้นมาบ้างไม่มาบ้าง ทำให้ซักพักเราก็จะหยุดหรือเลิก แต่ถ้าเรารู้สึกว่าตัวเองมี “ตัวตน” หรือ identity แบบนั้น เราก็จะพยายามทำมันทุกวันจนเป็นนิสัย
ปีที่ผ่านมาผมวิ่งแทบทุกวันเป็นระยะทางรวมพันกว่าโล ผมวิ่งแบบนี้มาตั้งแต่อายุ 37 หลังจากเข้าโรงพยาบาลไปเพราะอ้วนต่อด้วยเป็น panic disorder อยู่พักใหญ่แล้วต้องพยายามลดน้ำหนักและทำให้ตัวเองแข็งแรงขึ้น พอวิ่งไปซักพัก ร่างกายก็ดีขึ้นมาก เวลาผมไปบรรยายก็จะเล่าเรื่องนี้ประกอบเสมอ ทำให้ผมเริ่มคิดและพูดบ่อยๆว่าผมเป็นพวกที่วิ่งทุกวันเพราะกลัวป่วย
ซึ่งพอพูดบ่อยๆก็กลายเป็น identity ผม มีคนรับรู้ในวงกว้าง เจอใครก็ชอบถามเรื่องวิ่งซึ่งทำให้ผมรู้สึกว่าเป็นแนวทางประจำตัวที่จะออกวิ่งทุกวันโดยปริยายโดยไม่ได้ตั้งเป้าว่าจะวิ่งให้ได้ปีละกี่กิโล.. แต่พอนับไปนับมาก็วิ่งปีละพันกว่าโลมาตลอดเวลาสิบกว่าปีจนกลายเป็นนิสัยประจำไปเลย สุขภาพก็ดีขึ้นมากจนปัจจุบัน
หรือปีที่แล้วที่ผมมีหนังสือออกมาได้หนึ่งเล่ม ก็เกิดจากความเริ่มทำเพจแล้วมีคนตามมากขึ้นเรื่อยๆ มีคนแชร์ คนเม้นสม่ำเสมอ ทำให้เชื่อว่าผมเป็นเจ้าของเพจเขียนไว้ให้เธอที่มีคนรออ่าน ทำให้ผมพยายามเขียนแทบทุกวันเพราะรู้สึกว่าต้องรับผิดชอบ ทำให้เขียนได้มากพอจนรวมเล่มได้ โดยไม่ได้ตั้งเป้าว่าจะมีหนังสือออกมาเป็นเป้าหมายหลัก ทั้งๆที่แต่ก่อนพยายามตั้งเป้าปีใหม่จะเขียนให้ได้ก็ไม่สำเร็จมาหลายปี
ผมอ่านบทความของคุณเจมส์ก็เลยรู้สึกว่าวิธีการสร้าง identity based habit ก็เป็นวิธีที่ผมใช้โดยไม่รู้ตัวและได้ผลดีไม่น้อย และน่าจะเป็นทางเลือกอีกทางในช่วงที่หลายๆคนกำลังตั้ง new year solution ใหม่และเพิ่งล้มเหลวจากปีที่แล้ว
เผื่อว่าปีนี้จะทำได้จริงอย่างที่ตั้งใจไว้นะครับ
โฆษณา