Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
ความเรียงในวันที่นึกได้
•
ติดตาม
11 ม.ค. เวลา 04:00 • ความคิดเห็น
เรียน เรียน เรียน
ผมนั่งอ่านตำราเรียนพิเศษของเด็กมัธยมที่จะสอบเข้าม.ปลายแล้วก็อึ้งไปอีกรอบ
ข้อสอบนี่ขนาดอ่านโจทย์ยังต้องคิดและตีความหลายตลบ พอนั่งอ่านคำตอบก็ยิ่งแล้วใหญ่เพราะคำตอบก็ไม่ได้ให้มาตรงๆ ต้องถอดความของแต่ละตัวเลือกด้วย
ยิ่งเป็นโจทย์คำนวนยิ่งแล้วใหญ่ เจอว่าคำตอบที่มีเหมือนกันทุกข้อ แต่โจทย์เปลี่ยนทุกข้อ หรือไม่ก็ต้องถอดตัวเลือกก่อนด้วย เรียกว่าทั้งโจทย์ทั้งคำตอบต้องเคาะให้แตกก่อนจึงลงมือเลือกคำตอบได้
อ่านแล้ว เฮ้ย อะไรวะ
มันต้องขนาดนี้เชียวหรือ
เดี๋ยวนี้เป็นอย่างนี้จริงๆ
ญาติกันว่าให้ฟัง
เรียนในห้องก็หนักอยู่แล้ว ยังต้องมาเรียนพิเศษเสริมกันให้หนักหัวอีก วันๆแทบไม่ได้หายใจหายคอ จะหลับจะนอนก็ปาไป5ทุ่มเป็นอย่างต่ำ ตื่นแต่เช้ามานั่งอ่านต่อ นี่เห็นว่าฝันด้วยว่านั่งสอบวิชานี้วิชานั้น เห็นใจเหมือนกัน แต่ไม่เรียนก็ไม่ได้อีก ทุกคนไปเรียนกับติวเตอร์ระดับตัวพ่อตัวแม่กันทั้งนั้น ไม่งั้นจะปั่นคะแนนในห้องกับคะแนนสอบกันยังไง
พยักหน้ารับเพราะเห็นลูกๆของญาติคนนี้เรียนพิเศษมาตั้งแต่ยังเล็กๆจนตอนนี้จะเข้าม.ต้นกับม.ปลายแล้ว กองตำราตั้งสูง สมบุกสมบันกันจริงๆ
ผมพลิกชีทวิชาหนึ่งขึ้นมานั่งอ่าน อาศัยความรู้ที่เรียนมาแต่ยังละอ่อนคิดหาคำตอบ ผลคือได้บ้างไม่ได้บ้าง
ครั้นไปคว้าเอาวิชาภาษากับสังคมขึ้นมาลองทำดูบ้าง ผลคือทำได้ราวๆครึ่งไม่เกิน
วิชาภาษาไทยสังคมอังกฤษนี่กลายเป็นวิชาที่ช่วยเรื่องคะแนนสอบขึ้นมา แต่ใช่ว่าจะง่ายเพราะต้องถอดความกันอุตลุต ประมาณว่าเกริ่นนำมาเรื่อยแล้วก็ถามเลย คำตอบที่ให้มาก็ต้องมานั่งถอดความกันอีกถึงจะเลือกได้
ภาษาอังกฤษนี่แสบใช่ย่อย
จริง นี่ถ้าใครชำนาญจะช่วยได้เยอะ
แต่ถ้าอ่านหนังสือกองนี้จบ เด็กน่าจะกลายเป็นexpertได้ไม่ยาก
(เห็นก็ส่ายหัวแทนเลย เยอะจริงๆ)
ยิ่งวิชาเลขกับพวกฟิสิกส์เคมีชีวะนี่ยิ่งแล้วใหญ่ ขนาดติวเตอร์หลายคนยังว่าข้อสอบแบบนี้เด็กทำไม่ทันหรอก ข้อละแค่1นาที จะเอาอะไรกับมันถ้าไม่ใช่ว่าอ่านกับทำมาจนช่ำชองจนจำได้ฝันถึง
ผมนั่งพลิกวิชาเลขขึ้นมานั่งอ่านแล้วก็ต้องวางลงเมื่ออ่านจบไป1ข้อ
ยากโคตร(กูทำไม่เป็นว่ะ ต่อให้ตอนยังเรียนด้วย)
นั่นสิ จะยากไปไหนก็ไม่รู้ คนออกข้อสอบมันก็รู้วิธีของมัน แต่คนทำข้อสอบนี่สิ แล้วมันไม่ใช่ข้อเดียว มันทุกข้อเลย
น่าจะออกให้ง่ายลงมาอีกหน่อยก็ได้นะ ไม่ต้องโหดหินขนาดนี้
นั่นสิ พี่ก็โหดเกิน
คนออกท่าทางจะสะใจพิลึกที่เห็นคนทำไม่ได้
เฮ้อ ใครต่อใครว่าทำไม่ได้เหมือนกัน สรุปว่าต้องไปเรียนพิเศษกันเป็นแถวเพื่อจัดการโจทย์แบบนี้
แล้วมันจะได้อะไรวะกับการออกข้อสอบแบบนี้
ไม่รู้เหมือนกัน
...
นี่เดี๋ยวก็ต้องพาไปเรียนพิเศษอีก ยัน3ทุ่มเลย
เป็นเด็กสมัยนี้นี่มันเหนื่อยจริง เรียนมันตะบี้ตะบัน มิน่า พอเวลาว่างเลยเล่นเกมกันเอาตาย
แก้เครียดบ้างอะไรบ้าง อยากห้ามเหมือนกันแต่พอเห็นเรียนเยอะแบบนี้ก็เห็นใจ นี่ก็ว่าอยากลองไปสอบเตรียมฯกับเขาบ้างเลยต้องหอบตำราอีกกองมา
เว้ย ทำไมมันเยอะนักวะ
นี่ยังจิ๊บๆ บางคนไม่ต้องทำอะไรเลยนอกจากเรียน แม่หามาให้บ้างพ่อหามาบ้างเพราะถามเอากับเพื่อนบางทีก็ไม่บอก เก็บกันเป็นความลับ
ขนาดนั้น
จริง ใครมันจะอยากให้คนอื่นตามทันกันล่ะ ลดคู่แข่งไปได้ด้วย แต่บางคนก็ใจดีนะ บอกเหมือนกัน
เรียนกันขนาดนี้แล้วทำอะไรเป็นบ้างนอกจากเรียน
ไม่รู้เหมือนกัน เรียนอย่างเดียว นี่ก็ต้องหาติวเตอร์เพิ่ม คนเก่าเขาสอนลึกเกินความจำเป็นไปมาก เรียนไม่เข้าใจเลยต้องเปลี่ยน ดีที่ติวเตอร์อีกคนสอนได้ นี่ก็กำลังทะยอยส่งชีทมาเพิ่มให้
เยอะเกินไปไหมล่ะเนี่ย
บางคนเยอะกว่านี้นะ ข้อสอบมันหินจริงๆ
เอ๊ะ อย่างงี้จบมาแล้วไปเป็นติวเตอร์ดีกว่ามั้ง
เป็นได้ก็ดีนะ แต่มันต้องเก่งจริง โปรไฟล์ดี คนเรียนบอกปากต่อปากถึงจะมีคนตามหา
เว้ย เรื่องเยอะจริง
บอกตามตรง ผมไม่ค่อยเห็นด้วยกับการเรียนพิเศษหนักขนาดนี้เลย แม้ว่าจะพอเข้าใจเหตุผลและกระแสในตอนนี้ แต่ผมยังไม่อยากจะยอมรับมันนัก
ครั้นมองย้อนกลับไปสมัยมัธยม ผมยอมรับว่าขี้เกียจอ่านหนังสือเรียนหรือทำแบบฝึกหัดมาก อาศัยเรียนไปเรื่อยๆ เรียนพิเศษประดับสมองเฉยๆ เอนท์ไม่ติดก็ไม่แปลกใจเหมือนกัน
พอเรียนมหาวิทยาลัยก็ยังเหมือนเดิม แต่คราวนี้มันต้องพยายามมากขึ้นอีกหน่อยเพราะมันไม่เหมือนมัธยมแล้ว
จบมาได้สักพักก็นึกทบทวนทุกอย่างแล้วพลันเข้าใจว่าสิ่งที่เราทำผ่านมามันไม่ถูกต้อง มันควรใส่ใจการเรียนด้วยการอ่านเพิ่มเติมหรือทบทวนความรู้ให้แตกฉาน ไม่ใช่ปล่อยเอ้อระเหยลอยชาย
แต่ครับ ตอนนั้นไม่ได้คิดอะไรหรอก มันเลยออกมาเป็นแบบนี้
แล้วสุดท้ายสำนึกได้ก็มาลงเอากับลูกหลาน จ้ำจี้จ้ำไชให้อ่านหนังสือทบทวนบทเรียน เฮ้อ
เด็กก็คือเด็ก ทำได้บ้างไม่ได้บ้าง ต้องมีปล่อยมีจับ
เจ๊บอกว่าเก่งน่ะกูไม่กลัว กูกลัวลูกอึดลูกฮึดมากกว่า
อันนี้จริงครับ เห็นอยู่บ่อยเพราะเพื่อนฝูงที่ตอนนี้เป็นครูอาจารย์หรือเป็นระดับดอกเตอร์ใหญ่โตส่วนมากก็ออกแนวนี้ทั้งนั้น อ่านเอาเองบ้าง เรียนพิเศษก็มี แต่อึดฮึดกับการทบทวนทำโจทย์เพื่อทบทวนมากกว่า
เรียนม.3แต่อ่านหนังสือม.ปลาย อ่านจบก็ทวนไปเรื่อย
มุ่งมั่นแน่วแน่ จิตใจเข้มแข็งมาก ปรบมือให้รัวๆเลย
แถมพวกระดับนี้ได้ทั้งกิจกรรมทั้งเรื่องเรียนไปพร้อมกันอีกด้วย เป็นคนกว้างขวางมาก ไม่ใช่แค่หนอนหนังสือในหลืบอย่างเดียว
สำหรับเรื่องข้อสอบ ผมคิดเอาเองว่าไม่ควรจะมีข้อยากอย่างเดียว มันเกินไป
เค้นแล้วได้อะไรหรือ
แต่ถ้าจะมีแต่ง่ายอย่างเดียวก็คงไม่ใช่เหมือนกัน
ผมเคยเจอและชอบข้อสอบแบบนี้ครับ แต่สุดท้ายมาคิดกลับว่าทำแบบนี้แล้วเด็กจะได้อะไรหรือ เราเป็นเด็กมาก่อนนะ รู้เหมือนกันว่าเด็กจะทำได้หรือเปล่าอยู่แล้ว
ถ้าจะบอกว่ามันต้องคิดวิเคราะห์ได้สิ ไม่งั้นเรียนไปเพื่อ?
แต่แนวที่สอนให้เด็กร่ำเรียนในโรงเรียนอยู่นี่มันใช่การคิดวิเคราะห์จริงๆหรือ?
ถ้าใช่ ทำไมบ้านเรายังไม่มีนวัตกรรมที่มันเจ๋งๆให้ได้เห็นชัดๆเลยล่ะ
จีเนียสในตำรา แต่เอามาประยุกต์กับของจริงได้ไหม?
บอกตามตรง ผมแก่เกินไปแล้วกับเรื่องนี้ แต่กับเด็กรุ่นต่อๆไปมันไม่ใช่
มันมีอะไรอีกเยอะ
มันเปลี่ยนไปหมดแล้ว โละวิธีเก่าๆได้เลย
ทุกวันนี้ผมยังติดใจข้อสอบอยู่ข้อหนึ่งสมัยเรียนมหาวิทยาลัย
คือวันสุดท้ายที่อาจารย์มาสอน แกบอกมาเลยว่าแกออกข้อสอบข้อนี้นะ มาจากหนังสือเล่มนี้ ไปหาคำตอบมา ข้อนี้เป็นข้อใหญ่ข้อเดียว คะแนนเกือบครึ่ง
เราก็ไปตามหาจนเจอและพยายามแกะมัน
โจทย์มีแค่3บรรทัด แต่เป็น3บรรทัดที่นึกไม่ออกเลยว่าจะเริ่มยังไงดี เอาอะไรมาอ้างอิง ตั้งสมมุติฐานยังไง แล้วจะคำนวนตัวเลขแบบไหนดี
สุดท้ายทุกคนก็ทิ้งมันไปเพราะนึกไม่ออกจริงๆ
ทุกวันนี้ยังคิดไม่ตกเลยครับว่าคำตอบคืออะไรและวิธีทำน่ะทำยังไง
...
หลังจบมาได้ไม่นาน ที่บ้านกับข้างบ้านมีเรื่องตกลงกันเกี่ยวกับที่ดิน
พูดจาภาษาดอกไม้ครับ ไม่ใช่แจกัน
แล้วทางเขาก็เอาเอกสารประกอบตัวเลขมาให้เราดู
ป๊าเอาให้ผมกับเจ๊ช่วยกันดู
โอเค เราคิดว่ามันมีข้อบกพร่องนะต้องแก้ไขครับ
ทางนั้นไม่ว่าอะไร แค่กางข้อมูลที่มีทั้งหมดพร้อมทั้งสมมุติฐานต่างๆที่ตั้งขึ้นมาพร้อมเหตุผลรองรับ
เห็นวิธีที่ทางนั้นตั้งสมมุติฐานขึ้นมาผมก็ทึ่งว่า เฮ้ย คิดได้ไงวะเนี่ย แล้วกลับไปบอกป๊าตามที่ได้รับฟังมา
สุดท้ายแว่วมาว่าก็ตกลงตามที่เขาว่ามาล่ะครับ ไม่ได้ทะเลาะอะไรเพราะหลักการก็ชัดเจนดี วิธีอนุมานก็ถูกต้อง
ผมเลยกลับมาคิดว่าเรียนแล้วมันต้องได้แบบนี้สิ มันต้องประยุกต์ใช้งานได้จริง พร้อมทั้งด่าตัวเองด้วยว่าเรียนยังไงวะ ประยุกต์ไม่ได้
เรียนอย่างเดียวมันไม่ได้ครับ ต้องดัดแปลงได้ แถมต้องมีจินตนาการอีกด้วย
เด็กๆสมัยนี้เขามีความคิดที่ต่างออกไปจากรุ่นผมมากแล้วชนิดจูนกันได้ยาก
บางความคิดก็เข้าท่าชนิดว่าคิดได้ไงวะนั้น เจ๋งมาก ซื้อเลยไม่ต้องคิด
บางความคิดก็ยังต้องสงสัยอยู่ พิสูจน์มา
บางความคิดก็ เอ่อ ไม่ว่ะ ไม่ซื้อว่ะ
ฯลฯ
เรามีแต่คอยดูและประคับประคองกัน เขาเป็นคนรับไม้ถัดไป ไม่ใช่เราถือไม้ไว้ไปตลอด มันเป็นไปไม่ได้
แต่ตอนนี้ผมล่ะห่วงจริงว่าตะบี้ตะบันเรียนแบบนี้แล้วมันจะใช้ได้จริงๆหรือเพราะดูแล้วมีแต่เรียน เรียนและเรียน มากกว่าจะมีการประยุกต์ใช้งานจริงหรือจะมีรูปแบบในการใช้ชีวิตหรือสร้างสรรค์อะไรได้บ้าง
ชีวิตมีอะไรอีกเยอะ ใช่แค่เรียนอย่างเดียว
...
ทุกวันนี้ก็หาที่เรียนให้นี่ล่ะ หัวหมุนจริงๆ
เรื่องนี้จริงว่ะ กูยังต้องหาที่เรียนให้ลูกกูเหมือนกัน จนมันโตเลยมั้ง
นึกถึงเมื่อก่อนนะที่หาที่เรียนเองอะไรเอง พ่อแม่ไม่ต้องขยับอะไรนอกจากจ่ายเงิน กูตัดสินใจเองไปเลย
นี่ล่ะทำให้เราช่วยตัวเองได้บ้าง ไม่ใช่ถูกป้อนตลอดเวลา ทำเองไม่ได้
แต่กูว่าเด็กก็หาเองได้แหละ เพียงแต่เราเองนี่ล่ะที่เป็นฮ.คอยบินตรวจแบบไม่ค่อยวางใจ
ทำไงได้วะ เจือกรู้เยอะเหมือนกัน
เออ ยังไงก็ขอไปส่งมันที่ที่เรียนก่อนว่ะ
โอเคเว้ย
...
อย่างไรก็ตาม ผมยังอยากให้คนสนใจเรื่องเรียน ไม่ทิ้งเรื่องนี้ไป
วิชาความรู้ที่มีทั้งในและนอกตำรามีประโยชน์ทั้งนั้น อย่างน้อยก็เป็นใบเบิกทางของความก้าวหน้า ไม่ใช่ย่ำอยู่กับที่หรือถอยหลัง
คนเรามีต้นทุนติดตัวมาไม่เท่ากัน มีแต่ความรู้ที่อาจเรียนทันกันหมด
มันคืออาวุธประจำตัวของคุณ
ไม่มีใครเอาความรู้ของคุณไปจากคุณได้หรอกถ้าคุณไม่ละทิ้งมันไปเอง
แต่การเรียนวิชาก็อาจไม่ได้ใช้วิชานั้นเลยก็เป็นได้ เห็นกันบ่อยๆ
และทั้งนี้ทั้งนั้น ความรู้ที่เรียนมามันแค่ส่วนหนึ่งของชีวิต
ชีวิตมีอะไรมากกว่าการเรียนครับ
บันทึก
2
3
4
2
3
4
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย