5 ม.ค. เวลา 09:51 • หนังสือ

#𝟭𝟮 𝗧𝗵𝗲 𝗥𝗮 𝗖𝗼𝗻𝘁𝗮𝗰𝘁 𝗩𝗼𝗹𝘂𝗺𝗲 𝟭

𝗦𝗘𝗦𝗦𝗜𝗢𝗡 3️⃣ : ปิรามิดถูกสร้างขึ้นจากความคิดด้วยพลังของกฎแห่งความเป็นหนึ่ง & ข้อพิสูจน์เบื้องต้นว่าโลกทางกายภาพเป็นภาพลวงตาได้อย่างไร
▪️ผู้แปล : อุดม (แอดมิน)
𝗦𝗘𝗦𝗦𝗜𝗢𝗡 𝟯
𝗝𝗔𝗡𝗨𝗔𝗥𝗬 𝟮𝟭, 𝟭𝟵𝟴𝟭
# การสื่อสารครั้งที่ 3
# 21 มกราคม 1981
[𝟯.𝟬] 𝐑𝐀 : 𝙄 𝙖𝙢 𝙍𝙖. 𝙄 𝙜𝙧𝙚𝙚𝙩 𝙮𝙤𝙪 𝙞𝙣 𝙩𝙝𝙚 𝙡𝙤𝙫𝙚 𝙖𝙣𝙙 𝙩𝙝𝙚 𝙡𝙞𝙜𝙝𝙩 𝙤𝙛 𝙩𝙝𝙚 𝙊𝙣𝙚 𝙄𝙣𝙛𝙞𝙣𝙞𝙩𝙚 𝘾𝙧𝙚𝙖𝙩𝙤𝙧. 𝙄 𝙘𝙤𝙢𝙢𝙪𝙣𝙞𝙘𝙖𝙩𝙚 𝙬𝙞𝙩𝙝 𝙮𝙤𝙪 𝙣𝙤𝙬.
[3.0] 𝐑𝐀 : ฉันคือราห์ ฉันขอทักทายคุณด้วยความรักและแสงสว่างของพระผู้สร้างอันหาที่สุดมิได้ บัดนี้ฉันทำการสื่อสารกับคุณ
[3.1] [𝟑.𝟏] 𝐐 𝐔 𝐄 𝐒 𝐓 𝐈 𝐎 𝐍 𝐄 𝐑 : 𝐌𝐲 𝐟𝐢𝐫𝐬𝐭 𝐪𝐮𝐞𝐬𝐭𝐢𝐨𝐧 𝐢𝐬, 𝐝𝐢𝐝 𝐰𝐞 𝐜𝐨𝐫𝐫𝐞𝐜𝐭𝐥𝐲 𝐩𝐞𝐫𝐟𝐨𝐫𝐦 𝐭𝐡𝐞 𝐫𝐢𝐭𝐮𝐚𝐥 𝐟𝐨𝐫 𝐬𝐭𝐚𝐫𝐭𝐢𝐧𝐠 𝐭𝐡𝐞 𝐜𝐨𝐦𝐦𝐮𝐧𝐢𝐜𝐚𝐭𝐢𝐨𝐧?
[3.1] ผู้ซักถาม : คำถามแรกของผมคือ เราทำพิธีเริ่มการสื่อสารถูกต้องหรือไม่❓
𝙍 𝘼 : 𝙄 𝙖𝙢 𝙍𝙖. 𝙏𝙝𝙚 𝙥𝙡𝙖𝙘𝙚𝙢𝙚𝙣𝙩 𝙤𝙛 𝙩𝙝𝙚 𝙖𝙧𝙩𝙞𝙛𝙖𝙘𝙩𝙨 𝙙𝙚𝙨𝙞𝙜𝙣𝙚𝙙 𝙩𝙤 𝙗𝙖𝙡𝙖𝙣𝙘𝙚 𝙩𝙝𝙚 𝙞𝙣𝙨𝙩𝙧𝙪𝙢𝙚𝙣𝙩 𝙨𝙝𝙤𝙪𝙡𝙙 𝙗𝙚 𝙥𝙡𝙖𝙘𝙚𝙙 𝙖𝙩 𝙩𝙝𝙚 𝙞𝙣𝙨𝙩𝙧𝙪𝙢𝙚𝙣𝙩’𝙨 𝙝𝙚𝙖𝙙 𝙛𝙤𝙧 𝙩𝙝𝙚 𝙡𝙚𝙖𝙨𝙩 𝙙𝙞𝙨𝙩𝙤𝙧𝙩𝙞𝙤𝙣 𝙤𝙛 𝙚𝙛𝙛𝙚𝙘𝙩.
𝙏𝙝𝙚 𝙧𝙚𝙢𝙖𝙞𝙣𝙙𝙚𝙧 𝙤𝙛 𝙩𝙝𝙚 𝙗𝙚𝙜𝙞𝙣𝙣𝙞𝙣𝙜 𝙖𝙘𝙘𝙤𝙪𝙣𝙩 𝙤𝙛 𝙥𝙪𝙧𝙥𝙤𝙨𝙚 𝙞𝙨 𝙦𝙪𝙞𝙩𝙚 𝙖𝙘𝙘𝙚𝙥𝙩𝙖𝙗𝙡𝙚, 𝙛𝙤𝙧 𝙩𝙝𝙤𝙨𝙚 𝙨𝙥𝙚𝙖𝙠𝙞𝙣𝙜 𝙙𝙚𝙨𝙞𝙧𝙚 𝙩𝙤 𝙨𝙚𝙧𝙫𝙚. 𝙊𝙩𝙝𝙚𝙧𝙬𝙞𝙨𝙚, 𝙩𝙝𝙚 𝙖𝙩𝙩𝙚𝙣𝙙𝙖𝙣𝙩 𝙚𝙢𝙥𝙝𝙖𝙨𝙞𝙨 𝙞𝙣 𝙢𝙞𝙣𝙙 𝙘𝙤𝙢𝙥𝙡𝙚𝙭𝙞𝙩𝙞𝙚𝙨 𝙬𝙤𝙪𝙡𝙙 𝙣𝙤𝙩 𝙝𝙖𝙫𝙚 𝙗𝙚𝙚𝙣 𝙚𝙛𝙛𝙚𝙘𝙩𝙚𝙙 𝙥𝙧𝙤𝙥𝙚𝙧𝙡𝙮.
𝐑𝐀: ฉันคือราห์ สิ่งของที่ออกแบบมาเพื่อสร้างความสมดุลให้เครื่องมือควรวางไว้ที่ศีรษะของเครื่องมือเพื่อลดผลกระทบให้เบี่ยงเบนน้อยที่สุด ส่วนที่เหลือของการเริ่มต้นการสื่อสารด้วยการรายงานวัตถุประสงค์นั้นถือว่าใช้ได้ เนื่องจากผู้พูดปรารถนาที่จะรับใช้ มิฉะนั้น การเน้นย้ำถึงความซับซ้อนของจิตใจจะไม่ได้รับผลกระทบอย่างเหมาะสม
𝙒𝙚 𝙘𝙖𝙪𝙩𝙞𝙤𝙣 𝙮𝙤𝙪 𝙩𝙤 𝙜𝙪𝙖𝙧𝙙 𝙖𝙜𝙖𝙞𝙣𝙨𝙩 𝙩𝙝𝙤𝙨𝙚 𝙬𝙝𝙤 𝙖𝙧𝙚 𝙣𝙤𝙩 𝙬𝙞𝙨𝙝𝙞𝙣𝙜 𝙩𝙤 𝙨𝙚𝙧𝙫𝙚 𝙤𝙩𝙝𝙚𝙧𝙨 𝙖𝙗𝙤𝙫𝙚 𝙖𝙡𝙡 𝙚𝙡𝙨𝙚 𝙛𝙧𝙤𝙢 𝙩𝙖𝙠𝙞𝙣𝙜 𝙥𝙖𝙧𝙩 𝙞𝙣 𝙩𝙝𝙚 𝙗𝙚𝙜𝙞𝙣𝙣𝙞𝙣𝙜,
𝙤𝙧 𝙞𝙣 𝙡𝙚𝙣𝙙𝙞𝙣𝙜 𝙩𝙝𝙚𝙞𝙧 𝙙𝙞𝙨𝙩𝙤𝙧𝙩𝙞𝙤𝙣𝙨 𝙤𝙛 𝙢𝙞𝙣𝙙/𝙗𝙤𝙙𝙮/𝙨𝙥𝙞𝙧𝙞𝙩 𝙘𝙤𝙢𝙥𝙡𝙚𝙭 𝙩𝙤 𝙖𝙣𝙮 𝙨𝙚𝙨𝙨𝙞𝙤𝙣, 𝙖𝙨 𝙬𝙚 𝙨𝙝𝙤𝙪𝙡𝙙 𝙩𝙝𝙚𝙣 𝙗𝙚 𝙪𝙣𝙖𝙗𝙡𝙚 𝙩𝙤 𝙥𝙧𝙤𝙥𝙚𝙧𝙡𝙮 𝙗𝙡𝙚𝙣𝙙 𝙤𝙪𝙧 𝙙𝙞𝙨𝙩𝙤𝙧𝙩𝙞𝙤𝙣𝙨 𝙬𝙞𝙩𝙝 𝙩𝙝𝙤𝙨𝙚 𝙤𝙛 𝙩𝙝𝙞𝙨 𝙞𝙣𝙨𝙩𝙧𝙪𝙢𝙚𝙣𝙩.
เราเตือนคุณให้ระมัดระวังบุคคลที่ไม่ประสงค์จะรับใช้ผู้อื่นเป็นหลัก (*ปรารถที่จะรับใช้ผู้อื่นอยู่เหนือสิ่งอื่นใด) จากการเข้าร่วมในตอนเริ่มต้นของการสื่อสารในแต่ละครั้ง เพราะความบิดเบือนทางจิต/กาย/จิตวิญญาณเชิงซ้อนของพวกเขาจะเข้ามามีผลกระทบกับการติดต่อ ด้วยเหตุนั้นเราจะไม่สามารถผสมผสานความบิดเบือนของเราเข้ากับเครื่องมือนี้ได้อย่างเหมาะสม
[𝟑.𝟐] 𝐐 𝐔 𝐄 𝐒 𝐓 𝐈 𝐎 𝐍 𝐄 𝐑 : 𝐒𝐡𝐨𝐮𝐥𝐝 𝐈 𝐦𝐨𝐯𝐞 𝐭𝐡𝐞 𝐁𝐢𝐛𝐥𝐞, 𝐜𝐚𝐧𝐝𝐥𝐞, 𝐚𝐧𝐝 𝐢𝐧𝐜𝐞𝐧𝐬𝐞 𝐚𝐭 𝐭𝐡𝐢𝐬 𝐭𝐢𝐦𝐞?
[3.2] 𝐐: ฉันควรย้ายพระคัมภีร์ เทียน และธูปในขณะนี้หรือไม่❓
𝙍𝘼 : 𝙄 𝙖𝙢 𝙍𝙖. 𝙏𝙝𝙞𝙨 𝙬𝙤𝙪𝙡𝙙 𝙗𝙚 𝙖𝙥𝙥𝙧𝙤𝙥𝙧𝙞𝙖𝙩𝙚.
𝐑𝐀: ฉันคือราห์ เช่นนั้นจะเหมาะสมกว่า
[𝟑.𝟑] 𝐐 𝐔 𝐄 𝐒 𝐓 𝐈 𝐎 𝐍 𝐄 𝐑 : [𝐀𝐟𝐭𝐞𝐫 𝐦𝐨𝐯𝐢𝐧𝐠 𝐭𝐡𝐞 𝐢𝐭𝐞𝐦𝐬.] 𝐈𝐬 𝐭𝐡𝐢𝐬 𝐭𝐡𝐞 𝐩𝐫𝐨𝐩𝐞𝐫 𝐩𝐨𝐬𝐢𝐭𝐢𝐨𝐧?
[3.3] 𝐐 : [หลังจากย้ายสิ่งของ] นี่คือตำแหน่งที่ถูกต้องหรือไม่❓
𝙍𝘼 : 𝙄 𝙖𝙢 𝙍𝙖. 𝙋𝙡𝙚𝙖𝙨𝙚 𝙘𝙤𝙧𝙧𝙚𝙘𝙩 𝙩𝙝𝙚 𝙖𝙣𝙜𝙡𝙚 𝙤𝙛 𝙩𝙝𝙚 𝙞𝙣𝙘𝙚𝙣𝙨𝙚 𝙨𝙤 𝙩𝙝𝙖𝙩 𝙞𝙩 𝙞𝙨 𝙥𝙚𝙧𝙥𝙚𝙣𝙙𝙞𝙘𝙪𝙡𝙖𝙧 𝙩𝙤 𝙩𝙝𝙚 𝙥𝙡𝙖𝙣𝙚 𝙤𝙛 𝙩𝙬𝙚𝙣𝙩𝙮 𝙙𝙚𝙜𝙧𝙚𝙚𝙨 𝙣𝙤𝙧𝙩𝙝-𝙗𝙮-𝙣𝙤𝙧𝙩𝙝𝙚𝙖𝙨𝙩.
𝐑𝐀: ฉันคือราห์ กรุณาปรับมุมของธูปให้ตั้งฉากกับระนาบของยี่สิบองศาทางทิศเหนือ-ตะวันออกเฉียงเหนือ
[𝟑.𝟒] 𝐐 𝐔 𝐄 𝐒 𝐓 𝐈 𝐎 𝐍 𝐄 𝐑 : [𝐀𝐟𝐭𝐞𝐫 𝐦𝐚𝐤𝐢𝐧𝐠 𝐭𝐡𝐞 𝐜𝐨𝐫𝐫𝐞𝐜𝐭𝐢𝐨𝐧.] 𝐈𝐬 𝐭𝐡𝐢𝐬 𝐬𝐚𝐭𝐢𝐬𝐟𝐚𝐜𝐭𝐨𝐫𝐲?
[3.4] 𝐐 : [หลังจากทำการแก้ไข] นี่เพียงพอหรือยัง❓
𝙍𝘼 : 𝙋𝙡𝙚𝙖𝙨𝙚 𝙘𝙝𝙚𝙘𝙠 [𝙗𝙮] 𝙮𝙤𝙪𝙧 𝙚𝙮𝙚 𝙩𝙤 𝙢𝙖𝙠𝙚 𝙛𝙞𝙣𝙚 𝙘𝙤𝙧𝙧𝙚𝙘𝙩𝙞𝙤𝙣. 𝙒𝙚 𝙬𝙞𝙡𝙡 𝙚𝙭𝙥𝙡𝙖𝙞𝙣 𝙩𝙝𝙚 𝙥𝙧𝙤𝙘𝙚𝙨𝙨 𝙗𝙮 𝙬𝙝𝙞𝙘𝙝 𝙩𝙝𝙞𝙨 𝙗𝙚𝙘𝙤𝙢𝙚𝙨 𝙖 𝙨𝙞𝙜𝙣𝙞𝙛𝙞𝙘𝙖𝙣𝙩 𝙙𝙞𝙨𝙩𝙤𝙧𝙩𝙞𝙤𝙣 𝙗𝙖𝙡𝙖𝙣𝙘𝙚𝙧.
𝐑𝐀: กรุณาตรวจสอบด้วยสายตาเพื่อทำการปรับแก้อีกเล็กน้อย เราจะอธิบายกระบวนการที่ทำไมสิ่งนี้ถึงเป็นตัวสร้างสมดุลจากความบิดเบือนที่สำคัญ
𝙏𝙝𝙚 𝙞𝙣𝙘𝙚𝙣𝙨𝙚 𝙖𝙘𝙩𝙨 𝙖𝙨 𝙚𝙣𝙚𝙧𝙜𝙞𝙯𝙚𝙧 𝙩𝙤 𝙩𝙝𝙚 𝙥𝙝𝙮𝙨𝙞𝙘𝙖𝙡 𝙗𝙤𝙙𝙮 𝙤𝙛 𝙩𝙝𝙞𝙨 𝙞𝙣𝙨𝙩𝙧𝙪𝙢𝙚𝙣𝙩, 𝙨𝙞𝙜𝙣𝙞𝙛𝙮𝙞𝙣𝙜 𝙞𝙩𝙨 𝙝𝙪𝙢𝙖𝙣𝙞𝙩𝙮.
𝙏𝙝𝙞𝙨 𝙞𝙨, 𝙩𝙝𝙚𝙧𝙚𝙛𝙤𝙧𝙚, 𝙖 𝙣𝙚𝙘𝙚𝙨𝙨𝙞𝙩𝙮 𝙩𝙝𝙖𝙩 𝙩𝙝𝙚 𝙬𝙖𝙛𝙩𝙚𝙙 𝙨𝙢𝙤𝙠𝙚 𝙞𝙨 𝙥𝙚𝙧𝙘𝙚𝙞𝙫𝙚𝙙 𝙛𝙧𝙤𝙢 𝙩𝙝𝙚 𝙨𝙖𝙢𝙚 𝙧𝙚𝙡𝙖𝙩𝙞𝙫𝙚 𝙖𝙣𝙜𝙡𝙚 𝙖𝙨 𝙩𝙝𝙚 𝙞𝙣𝙨𝙩𝙧𝙪𝙢𝙚𝙣𝙩 𝙥𝙚𝙧𝙘𝙚𝙞𝙫𝙚𝙨 𝙩𝙝𝙚 𝙤𝙥𝙚𝙣𝙚𝙙 𝘽𝙞𝙗𝙡𝙚,
𝙗𝙖𝙡𝙖𝙣𝙘𝙚𝙙 𝙗𝙮 𝙩𝙝𝙚 𝙡𝙞𝙜𝙝𝙩𝙚𝙙 𝙘𝙖𝙣𝙙𝙡𝙚 𝙨𝙞𝙜𝙣𝙞𝙛𝙮[𝙞𝙣𝙜] 𝙡𝙤𝙫𝙚/𝙡𝙞𝙜𝙝𝙩 𝙖𝙣𝙙 𝙡𝙞𝙜𝙝𝙩/𝙡𝙤𝙫𝙚 𝙖𝙣𝙙, 𝙩𝙝𝙚𝙧𝙚𝙛𝙤𝙧𝙚, 𝙜𝙞𝙫𝙚 𝙩𝙝𝙚 𝙢𝙚𝙣𝙩𝙖𝙡 𝙖𝙣𝙙 𝙚𝙢𝙤𝙩𝙞𝙤𝙣𝙖𝙡, 𝙨𝙝𝙖𝙡𝙡 𝙬𝙚 𝙘𝙖𝙡𝙡 𝙞𝙩, 𝙙𝙞𝙨𝙩𝙤𝙧𝙩𝙞𝙤𝙣 𝙘𝙤𝙢𝙥𝙡𝙚𝙭 𝙤𝙛 𝙩𝙝𝙞𝙨 𝙞𝙣𝙨𝙩𝙧𝙪𝙢𝙚𝙣𝙩 𝙩𝙝𝙚 𝙨𝙞𝙜𝙝𝙩 𝙤𝙛 𝙥𝙖𝙧𝙖𝙙𝙞𝙨𝙚 𝙖𝙣𝙙 𝙥𝙚𝙖𝙘𝙚 𝙬𝙝𝙞𝙘𝙝 𝙞𝙩 𝙨𝙚𝙚𝙠𝙨.
𝙏𝙝𝙪𝙨 𝙚𝙣𝙚𝙧𝙜𝙞𝙯𝙚𝙙 𝙛𝙧𝙤𝙢 𝙩𝙝𝙚 𝙡𝙤𝙬𝙚𝙧 𝙩𝙤 𝙩𝙝𝙚 𝙝𝙞𝙜𝙝𝙚𝙧, 𝙩𝙝𝙚 𝙞𝙣𝙨𝙩𝙧𝙪𝙢𝙚𝙣𝙩 𝙗𝙚𝙘𝙤𝙢𝙚𝙨 𝙗𝙖𝙡𝙖𝙣𝙘𝙚𝙙 𝙖𝙣𝙙 𝙙𝙤𝙚𝙨 𝙣𝙤𝙩 𝙜𝙧𝙤𝙬 𝙛𝙖𝙩𝙞𝙜𝙪𝙚𝙙.
ธูปทำหน้าที่เป็นแหล่งพลัง (เติมพลัง) ให้กับร่างกายทางกายภาพของเครื่องมือนี้ ซึ่งแสดงถึงความเป็นมนุษย์ ดังนั้นจึงจำเป็นที่ควันธูปต้องถูกรับรู้ (รับกลิ่น) จากมุมที่สัมพันธ์กับที่เครื่องมือรับรู้ (รู้สึกถึง) พระคัมภีร์ที่เปิดอยู่ ซึ่งจะถูกถ่วงดุลด้วยเทียนที่จุดขึ้นเพื่อแสดงถึงความรัก/แสงสว่าง และแสงสว่าง/ความรัก
และด้วยเหตุนี้จึงทำให้จิตใจและอารมณ์ ที่เราเรียกว่า ความบิดเบือนเชิงซ้อนของเครื่องมือนี้ได้เห็นสวรรค์และความสงบสันติที่ตัวตนนี้แสวงหา ด้วยการได้รับพลังจากต่ำไปสูง เครื่องมือจะได้รับการถ่วงดุลและไม่เหนื่อยล้าง่าย*
(*เอาจริงผมเริ่มคิดแล้วนะ ว่าวัฒนธรรมในการจุดธูปเทียนและหรือกำยานเพื่อบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของพวกเราชาวตะวันออกมีที่มาจาก ราห์ ที่มาติดต่อกับชาวอียิปต์เมื่อครั้งกระโน้นนนน หรือ 11,000 ปีก่อน เพราะวัฒนธรรมอียิปต์โบราณ นานกว่าของจีนหรืออินเดียใช่หรือไม่หว่า? 🤔)
𝙒𝙚 𝙖𝙥𝙥𝙧𝙚𝙘𝙞𝙖𝙩𝙚 𝙮𝙤𝙪𝙧 𝙘𝙤𝙣𝙘𝙚𝙧𝙣, 𝙛𝙤𝙧 𝙩𝙝𝙞𝙨 𝙬𝙞𝙡𝙡 𝙚𝙣𝙖𝙗𝙡𝙚 𝙤𝙪𝙧 𝙩𝙚𝙖𝙘𝙝/𝙡𝙚𝙖𝙧𝙣𝙞𝙣𝙜 𝙩𝙤 𝙥𝙧𝙤𝙘𝙚𝙚𝙙 𝙢𝙤𝙧𝙚 𝙚𝙖𝙨𝙞𝙡𝙮.
เราชื่นชมในความห่วงใยของคุณ เพราะนี่จะช่วยให้การสอน/เรียนรู้ของเราดำเนินไปได้ง่ายขึ้น
[𝟑.𝟓] 𝐐 𝐔 𝐄 𝐒 𝐓 𝐈 𝐎 𝐍 𝐄 𝐑 : 𝐃𝐨𝐞𝐬 𝐢𝐭 𝐚𝐩𝐩𝐞𝐚𝐫 𝐜𝐨𝐫𝐫𝐞𝐜𝐭𝐥𝐲 𝐚𝐥𝐢𝐠𝐧𝐞𝐝 𝐧𝐨𝐰?
[3.5] 𝐐: ผมจัดวางได้ถูกตำแหน่งแล้วหรือไม่❓
𝙍𝘼 : 𝙄 𝙟𝙪𝙙𝙜𝙚 𝙞𝙩 𝙬𝙞𝙩𝙝𝙞𝙣 𝙡𝙞𝙢𝙞𝙩𝙨 𝙤𝙛 𝙖𝙘𝙘𝙚𝙥𝙩𝙖𝙗𝙞𝙡𝙞𝙩𝙮.
𝐑𝐀: ฉันพิจารณาว่าอยู่ในขอบเขตที่ยอมรับได้แล้ว
[𝟑.𝟔] 𝐐 𝐔 𝐄 𝐒 𝐓 𝐈 𝐎 𝐍 𝐄 𝐑 : 𝐀𝐭 𝐭𝐡𝐞 𝐥𝐚𝐬𝐭 𝐬𝐞𝐬𝐬𝐢𝐨𝐧 𝐰𝐞 𝐡𝐚𝐝 𝐭𝐰𝐨 𝐪𝐮𝐞𝐬𝐭𝐢𝐨𝐧𝐬 𝐰𝐞 𝐰𝐞𝐫𝐞 𝐬𝐚𝐯𝐢𝐧𝐠 𝐟𝐨𝐫 𝐭𝐡𝐢𝐬 𝐬𝐞𝐬𝐬𝐢𝐨𝐧: 𝐨𝐧𝐞 𝐡𝐚𝐯𝐢𝐧𝐠 𝐭𝐨 𝐝𝐨 𝐰𝐢𝐭𝐡 𝐭𝐡𝐞 𝐩𝐨𝐬𝐬𝐢𝐛𝐥𝐞 𝐜𝐚𝐩𝐬𝐭𝐨𝐧𝐞 𝐨𝐟 𝐭𝐡𝐞 𝐆𝐫𝐞𝐚𝐭 𝐏𝐲𝐫𝐚𝐦𝐢𝐝 𝐚𝐭 𝐆𝐢𝐳𝐚; 𝐭𝐡𝐞 𝐨𝐭𝐡𝐞𝐫 𝐰𝐢𝐭𝐡 𝐡𝐨𝐰 𝐲𝐨𝐮 𝐦𝐨𝐯𝐞𝐝 𝐭𝐡𝐞 𝐡𝐞𝐚𝐯𝐲 𝐛𝐥𝐨𝐜𝐤𝐬.
𝐈 𝐤𝐧𝐨𝐰 𝐭𝐡𝐞𝐬𝐞 𝐪𝐮𝐞𝐬𝐭𝐢𝐨𝐧𝐬 𝐚𝐫𝐞 𝐨𝐟 𝐧𝐨 𝐢𝐦𝐩𝐨𝐫𝐭𝐚𝐧𝐜𝐞 𝐚𝐭 𝐚𝐥𝐥 𝐰𝐢𝐭𝐡 𝐫𝐞𝐬𝐩𝐞𝐜𝐭 𝐭𝐨 𝐭𝐡𝐞 𝐋𝐚𝐰 𝐨𝐟 𝐎𝐧𝐞, 𝐛𝐮𝐭 𝐢𝐭 𝐰𝐚𝐬 𝐦𝐲 𝐣𝐮𝐝𝐠𝐦𝐞𝐧𝐭, 𝐰𝐡𝐢𝐜𝐡 𝐲𝐨𝐮 𝐦𝐚𝐲 𝐜𝐨𝐫𝐫𝐞𝐜𝐭, 𝐭𝐡𝐚𝐭 𝐭𝐡𝐢𝐬 𝐰𝐨𝐮𝐥𝐝 𝐩𝐫𝐨𝐯𝐢𝐝𝐞 𝐚𝐧 𝐞𝐚𝐬𝐲 𝐞𝐧𝐭𝐫𝐲 𝐟𝐨𝐫 𝐭𝐡𝐞 𝐫𝐞𝐚𝐝𝐞𝐫 𝐨𝐟 𝐭𝐡𝐞 𝐦𝐚𝐭𝐞𝐫𝐢𝐚𝐥.
𝐖𝐞 𝐚𝐫𝐞 𝐯𝐞𝐫𝐲 𝐠𝐫𝐚𝐭𝐞𝐟𝐮𝐥 𝐟𝐨𝐫 𝐲𝐨𝐮𝐫 𝐜𝐨𝐧𝐭𝐚𝐜𝐭 𝐚𝐧𝐝 𝐰𝐢𝐥𝐥 𝐜𝐞𝐫𝐭𝐚𝐢𝐧𝐥𝐲 𝐭𝐚𝐤𝐞 𝐬𝐮𝐠𝐠𝐞𝐬𝐭𝐢𝐨𝐧𝐬 𝐚𝐛𝐨𝐮𝐭 𝐡𝐨𝐰 𝐰𝐞 𝐬𝐡𝐨𝐮𝐥𝐝 𝐩𝐫𝐨𝐜𝐞𝐞𝐝 𝐰𝐢𝐭𝐡 𝐭𝐡𝐢𝐬. 𝐓𝐡𝐢𝐬 𝐢𝐬 𝐣𝐮𝐬𝐭 𝐨𝐧𝐞 𝐠𝐮𝐞𝐬𝐬.
[3.6] 𝐐: ในเซสชันที่แล้ว เรามีสองคำถามที่เก็บไว้สำหรับเซสชันนี้: หนึ่งเกี่ยวกับยอดหินปิดที่เป็นไปได้ของปิรามิดใหญ่ที่กีซา; อีกอันเกี่ยวกับวิธีที่คุณเคลื่อนย้ายบล็อกหินหนัก ฉันรู้ว่าคำถามเหล่านี้ไม่มีความสำคัญอะไรเลยในแง่ของกฎแห่งความเป็นหนึ่ง แต่นี่เป็นดุลยพินิจของฉัน ซึ่งคุณอาจจะแก้ไขว่านี่จะเป็นทางเข้าหรือการเริ่มต้นที่ง่ายสำหรับผู้ที่จะได้อ่านเอกสารนี้ เราขอบคุณมากสำหรับการติดต่อของคุณ และแน่นอนว่าเราจะรับฟังข้อเสนอแนะเกี่ยวกับวิธีที่เราควรดำเนินการต่อไป นี่เป็นเพียงการคาดเดาอย่างหนึ่ง
𝙍𝘼 : 𝙄 𝙖𝙢 𝙍𝙖. 𝙄 𝙬𝙞𝙡𝙡 𝙣𝙤𝙩 𝙨𝙪𝙜𝙜𝙚𝙨𝙩 𝙩𝙝𝙚 𝙥𝙧𝙤𝙥𝙚𝙧 𝙨𝙚𝙧𝙞𝙚𝙨 𝙤𝙛 𝙦𝙪𝙚𝙨𝙩𝙞𝙤𝙣𝙨.
𝙏𝙝𝙞𝙨 𝙞𝙨 𝙮𝙤𝙪𝙧 𝙥𝙧𝙚𝙧𝙤𝙜𝙖𝙩𝙞𝙫𝙚 𝙖𝙨 𝙛𝙧𝙚𝙚 𝙖𝙜𝙚𝙣𝙩 𝙤𝙛 𝙩𝙝𝙚 𝙇𝙖𝙬 𝙤𝙛 𝙊𝙣𝙚, 𝙝𝙖𝙫𝙞𝙣𝙜 𝙡𝙚𝙖𝙧𝙣/𝙪𝙣𝙙𝙚𝙧𝙨𝙩𝙤𝙤𝙙 𝙩𝙝𝙖𝙩 𝙤𝙪𝙧 𝙨𝙤𝙘𝙞𝙖𝙡 𝙢𝙚𝙢𝙤𝙧𝙮 𝙘𝙤𝙢𝙥𝙡𝙚𝙭 𝙘𝙖𝙣𝙣𝙤𝙩 𝙚𝙛𝙛𝙚𝙘𝙩𝙪𝙖𝙡𝙡𝙮 𝙙𝙞𝙨𝙘𝙚𝙧𝙣 𝙩𝙝𝙚 𝙙𝙞𝙨𝙩𝙤𝙧𝙩𝙞𝙤𝙣𝙨 𝙤𝙛 𝙩𝙝𝙚 𝙨𝙤𝙘𝙞𝙚𝙩𝙖𝙡 𝙢𝙞𝙣𝙙/𝙗𝙤𝙙𝙮/𝙨𝙥𝙞𝙧𝙞𝙩 𝙘𝙤𝙢𝙥𝙡𝙚𝙭 𝙤𝙛 𝙮𝙤𝙪𝙧 𝙥𝙚𝙤𝙥𝙡𝙚𝙨.
𝙒𝙚 𝙬𝙞𝙨𝙝 𝙣𝙤𝙬 𝙩𝙤 𝙛𝙪𝙡𝙛𝙞𝙡𝙡 𝙤𝙪𝙧 𝙩𝙚𝙖𝙘𝙝/𝙡𝙚𝙖𝙧𝙣𝙞𝙣𝙜 𝙝𝙤𝙣𝙤𝙧/𝙧𝙚𝙨𝙥𝙤𝙣𝙨𝙞𝙗𝙞𝙡𝙞𝙩𝙮 𝙗𝙮 𝙖𝙣𝙨𝙬𝙚𝙧𝙞𝙣𝙜 𝙬𝙝𝙖𝙩 𝙞𝙨 𝙖𝙨𝙠𝙚𝙙.
𝐑𝐀: ฉันคือราห์ ฉันจะไม่แนะนำชุดคำถามที่เหมาะสม นี่เป็นสิทธิพิเศษของคุณในฐานะตัวแทนอิสระของกฎแห่งความเป็นหนึ่ง หลังจากที่ได้เรียนรู้/เข้าใจแล้วว่าเครือข่ายความทรงจำทางสังคมเชิงซ้อนของเราไม่สามารถหยั่งรู้ความบิดเบือนของจิต/กาย/จิตวิญญาณของผู้คนกลุ่มใหญ่ของคุณได้อย่างมีประสิทธิผล เราปรารถนาที่จะปฏิบัติหน้าที่ในการสอน/เรียนรู้ของเราด้วยความเคารพ/รับผิดชอบต่อหน้าที่โดยการตอบคำถามที่ถูกถาม
𝙏𝙝𝙞𝙨 𝙤𝙣𝙡𝙮 𝙬𝙞𝙡𝙡 𝙨𝙪𝙛𝙛𝙞𝙘𝙚, 𝙛𝙤𝙧 𝙬𝙚 𝙘𝙖𝙣𝙣𝙤𝙩 𝙥𝙡𝙪𝙢𝙗 𝙩𝙝𝙚 𝙙𝙚𝙥𝙩𝙝𝙨 𝙤𝙛 𝙩𝙝𝙚 𝙙𝙞𝙨𝙩𝙤𝙧𝙩𝙞𝙤𝙣 𝙘𝙤𝙢𝙥𝙡𝙚𝙭𝙚𝙨 𝙬𝙝𝙞𝙘𝙝 𝙞𝙣𝙛𝙚𝙘𝙩 𝙮𝙤𝙪𝙧 𝙥𝙚𝙤𝙥𝙡𝙚𝙨.
เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว* เพราะเราไม่สามารถสำรวจ (วัด) ความลึกของความซับซ้อนของความบิดเบือนที่แพร่หลายในหมู่ผู้คนของคุณได้
(*ผมคาดว่า ราห์ ได้รับหน้าที่ในการถ่ายทอดกฎแห่งความเป็นหนึ่ง ส่วนกลุ่มอื่นๆ หรือ EB – Evolve Being อื่นๆ ก็รับหน้าที่อื่นๆต่างกันไป)
𝙏𝙝𝙚 𝙛𝙞𝙧𝙨𝙩 𝙦𝙪𝙚𝙨𝙩𝙞𝙤𝙣, 𝙩𝙝𝙚𝙧𝙚𝙛𝙤𝙧𝙚, 𝙞𝙨 𝙩𝙝𝙚 𝙘𝙖𝙥𝙨𝙩𝙤𝙣𝙚. 𝙒𝙚 𝙞𝙩𝙚𝙧𝙖𝙩𝙚 𝙩𝙝𝙚 𝙪𝙣𝙞𝙢𝙥𝙤𝙧𝙩𝙖𝙣𝙘𝙚 𝙤𝙛 𝙩𝙝𝙞𝙨 𝙩𝙮𝙥𝙚 𝙤𝙛 𝙙𝙖𝙩𝙖.
คำถามแรก แม้ว่าจะเป็นเรื่องของยอดหินปิด (ของปิรามิด) แต่เราก็ขอย้ำถึงความไม่สำคัญของข้อมูลประเภทนี้
𝙏𝙝𝙚 𝙨𝙤-𝙘𝙖𝙡𝙡𝙚𝙙 𝙂𝙧𝙚𝙖𝙩 𝙋𝙮𝙧𝙖𝙢𝙞𝙙 𝙝𝙖𝙙 𝙩𝙬𝙤 𝙘𝙖𝙥𝙨𝙩𝙤𝙣𝙚𝙨. 𝙊𝙣𝙚 𝙬𝙖𝙨 𝙤𝙛 𝙤𝙪𝙧 𝙙𝙚𝙨𝙞𝙜𝙣 𝙖𝙣𝙙 𝙬𝙖𝙨 𝙤𝙛 𝙨𝙢𝙖𝙡𝙡𝙚𝙧 𝙖𝙣𝙙 𝙘𝙖𝙧𝙚𝙛𝙪𝙡𝙡𝙮 𝙘𝙤𝙣𝙩𝙧𝙞𝙫𝙚𝙙 𝙥𝙞𝙚𝙘𝙚𝙨 𝙤𝙛 𝙩𝙝𝙚 𝙢𝙖𝙩𝙚𝙧𝙞𝙖𝙡 𝙪𝙥𝙤𝙣 𝙮𝙤𝙪𝙧 𝙥𝙡𝙖𝙣𝙚𝙩 𝙬𝙝𝙞𝙘𝙝 𝙮𝙤𝙪 𝙘𝙖𝙡𝙡 “𝙜𝙧𝙖𝙣𝙞𝙩𝙚.”
𝙏𝙝𝙞𝙨 𝙬𝙖𝙨 𝙘𝙤𝙣𝙩𝙧𝙞𝙫𝙚𝙙 𝙛𝙤𝙧 𝙘𝙧𝙮𝙨𝙩𝙖𝙡𝙡𝙞𝙣𝙚 𝙥𝙧𝙤𝙥𝙚𝙧𝙩𝙞𝙚𝙨 𝙖𝙣𝙙 𝙛𝙤𝙧 𝙩𝙝𝙚 𝙥𝙧𝙤𝙥𝙚𝙧 𝙛𝙡𝙤𝙬 𝙤𝙛 𝙮𝙤𝙪𝙧 𝙖𝙩𝙢𝙤𝙨𝙥𝙝𝙚𝙧𝙚 𝙫𝙞𝙖 𝙖 𝙩𝙮𝙥𝙚 𝙤𝙛 𝙬𝙝𝙖𝙩 𝙮𝙤𝙪 𝙬𝙤𝙪𝙡𝙙 𝙘𝙖𝙡𝙡 “𝙘𝙝𝙞𝙢𝙣𝙚𝙮.”
สิ่งที่ถูกเรียกว่า มหาปิรามิดมียอดหินปิดสองอัน อันหนึ่งเป็นแบบของเราที่ทำมาจากชิ้นส่วนเล็ก ๆ ด้วยความระมัดระวังจากวัสดุบนดาวเคราะห์ของคุณที่คุณเรียกว่า "หินแกรนิต"** นี่ถูกออกแบบมาสำหรับคุณสมบัติในความเป็นผลึก* (*แสงส่องผ่านได้ดี) และการไหลที่เหมาะสมของบรรยากาศของคุณผ่านสิ่งที่คุณจะเรียกว่า "ปล่อง"
**granite : หินแกรนิต ; หินอัคนีชนิดหนึ่งที่ประกอบด้วยแร่ควอรตซ์และเฟลด์สปาร์เป็นส่วนใหญ่ มีแร่อื่น ๆ เช่น แร่ไมกา ปนอยู่ด้วย มีผลึกของแร่แต่ละชนิดเกาะก่ายกัน มีลักษณะเป็นดอก ๆ ประปราย และมีเนื้อหยาบ เปลือกโลกเราประกอบด้วยหินชนิดนี้เป็นส่วนใหญ่
𝘼𝙩 𝙖 𝙩𝙞𝙢𝙚 𝙬𝙝𝙚𝙣 𝙬𝙚 𝙖𝙨 𝙖 𝙥𝙚𝙤𝙥𝙡𝙚 𝙝𝙖𝙙 𝙡𝙚𝙛𝙩 𝙮𝙤𝙪𝙧 𝙙𝙚𝙣𝙨𝙞𝙩𝙮, 𝙩𝙝𝙚 𝙤𝙧𝙞𝙜𝙞𝙣𝙖𝙡 𝙬𝙖𝙨 𝙩𝙖𝙠𝙚𝙣 𝙖𝙬𝙖𝙮 𝙖𝙣𝙙 𝙖 𝙢𝙤𝙧𝙚 𝙥𝙧𝙚𝙘𝙞𝙤𝙪𝙨 𝙤𝙣𝙚 𝙨𝙪𝙗𝙨𝙩𝙞𝙩𝙪𝙩𝙚𝙙. 𝙄𝙩 𝙘𝙤𝙣𝙨𝙞𝙨𝙩𝙚𝙙, 𝙞𝙣 𝙥𝙖𝙧𝙩, 𝙤𝙛 𝙖 𝙜𝙤𝙡𝙙𝙚𝙣 𝙢𝙖𝙩𝙚𝙧𝙞𝙖𝙡.
𝙏𝙝𝙞𝙨 𝙙𝙞𝙙 𝙣𝙤𝙩 𝙘𝙝𝙖𝙣𝙜𝙚 𝙩𝙝𝙚 𝙥𝙧𝙤𝙥𝙚𝙧𝙩𝙞𝙚𝙨 𝙤𝙛 𝙩𝙝𝙚 𝙥𝙮𝙧𝙖𝙢𝙞𝙙, 𝙖𝙨 𝙮𝙤𝙪 𝙘𝙖𝙡𝙡 𝙞𝙩, 𝙖𝙩 𝙖𝙡𝙡, 𝙖𝙣𝙙 𝙬𝙖𝙨 𝙖 𝙙𝙞𝙨𝙩𝙤𝙧𝙩𝙞𝙤𝙣 𝙙𝙪𝙚 𝙩𝙤 𝙩𝙝𝙚 𝙙𝙚𝙨𝙞𝙧𝙚 𝙤𝙛 𝙖 𝙛𝙚𝙬 𝙩𝙤 𝙢𝙖𝙣𝙙𝙖𝙩𝙚 𝙩𝙝𝙚 𝙪𝙨𝙚 𝙤𝙛 𝙩𝙝𝙚 𝙨𝙩𝙧𝙪𝙘𝙩𝙪𝙧𝙚 𝙖𝙨 𝙖 𝙧𝙤𝙮𝙖𝙡 𝙥𝙡𝙖𝙘𝙚 𝙤𝙣𝙡𝙮.
ในช่วงเวลาที่เราในฐานะชนชาติได้ออกจากความหนาแน่นของคุณ*(*มิติที่ 3) ยอดหินปิดดั้งเดิมถูกนำออกไป และถูกแทนที่ด้วยอันที่มีค่ายิ่งกว่า ประกอบด้วยวัสดุสีทองบางส่วน สิ่งนี้ไม่ได้เปลี่ยนคุณสมบัติของปิรามิดแต่อย่างใด และเป็นความบิดเบือนที่เกิดจากความปรารถนาของคนจำนวนน้อยที่ต้องการให้โครงสร้างนี้เป็นสถานที่สำหรับชนชั้นสูงเท่านั้น
𝘿𝙤 𝙮𝙤𝙪 𝙬𝙞𝙨𝙝 𝙩𝙤 𝙦𝙪𝙚𝙧𝙮 𝙛𝙪𝙧𝙩𝙝𝙚𝙧 𝙪𝙥𝙤𝙣 𝙩𝙝𝙞𝙨 𝙛𝙞𝙧𝙨𝙩 𝙦𝙪𝙚𝙨𝙩𝙞𝙤𝙣?
คุณต้องการสอบถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับคำถามแรกนี้หรือไม่❓
[3.7] 𝐐 : คุณหมายถึงอะไรโดยการใช้คำว่า "ปล่อง"❓ วัตถุประสงค์เฉพาะของมันคืออะไร❓
𝙍𝘼 : 𝙏𝙝𝙚𝙧𝙚 𝙞𝙨 𝙖 𝙥𝙧𝙤𝙥𝙚𝙧 𝙛𝙡𝙤𝙬 𝙤𝙛 𝙮𝙤𝙪𝙧 𝙖𝙩𝙢𝙤𝙨𝙥𝙝𝙚𝙧𝙚 𝙬𝙝𝙞𝙘𝙝, 𝙩𝙝𝙤𝙪𝙜𝙝 𝙨𝙢𝙖𝙡𝙡, 𝙛𝙧𝙚𝙨𝙝𝙚𝙣𝙨 𝙩𝙝𝙚 𝙬𝙝𝙤𝙡𝙚 𝙤𝙛 𝙩𝙝𝙚 𝙨𝙩𝙧𝙪𝙘𝙩𝙪𝙧𝙚. 𝙏𝙝𝙞𝙨 𝙬𝙖𝙨 𝙙𝙚𝙨𝙞𝙜𝙣𝙚𝙙 𝙗𝙮 𝙝𝙖𝙫𝙞𝙣𝙜 𝙖𝙞𝙧-𝙛𝙡𝙤𝙬 𝙙𝙪𝙘𝙩𝙨, 𝙖𝙨 𝙩𝙝𝙞𝙨 𝙞𝙣𝙨𝙩𝙧𝙪𝙢𝙚𝙣𝙩 𝙢𝙞𝙜𝙝𝙩 𝙘𝙖𝙡𝙡 𝙩𝙝𝙚𝙢, 𝙨𝙞𝙩𝙪𝙖𝙩𝙚𝙙 𝙨𝙤 𝙩𝙝𝙖𝙩 𝙩𝙝𝙚𝙧𝙚 𝙬𝙖𝙨 𝙖 𝙛𝙧𝙚𝙨𝙝𝙣𝙚𝙨𝙨 𝙤𝙛 𝙖𝙩𝙢𝙤𝙨𝙥𝙝𝙚𝙧𝙚 𝙬𝙞𝙩𝙝𝙤𝙪𝙩 𝙖𝙣𝙮 𝙙𝙞𝙨𝙩𝙪𝙧𝙗𝙖𝙣𝙘𝙚 𝙤𝙧 𝙙𝙧𝙖𝙛𝙩.
𝐑𝐀: มีการไหล (การถ่ายเท) ที่เหมาะสมของบรรยากาศของคุณ ซึ่งแม้จะเป็นเพียงเล็กน้อย แต่ก็ทำให้โครงสร้างทั้งหมดถูกทำให้สดชื่นขึ้น (*ปลอดโปร่งไม่อึดอัด) นี่ถูกออกแบบโดยการทำให้มีช่องทางเดินของอากาศ ซึ่งเครื่องมือนี้* (*ผู้หญิงที่รับสาร) อาจเรียกว่า "ช่องลม" ถูกวางไว้เพื่อให้มีอากาศที่สดชื่นโดยไม่มีการรบกวนจากกระแสลมภายนอก
[𝟑.𝟖] 𝐐 𝐔 𝐄 𝐒 𝐓 𝐈 𝐎 𝐍 𝐄 𝐑 : 𝐇𝐨𝐰 𝐰𝐞𝐫𝐞 𝐭𝐡𝐞 𝐛𝐥𝐨𝐜𝐤𝐬 𝐦𝐨𝐯𝐞𝐝?
[3.8] 𝐐: แล้วบล็อกหินถูกเคลื่อนย้ายอย่างไร❓
𝙍𝘼 : 𝙄 𝙖𝙢 𝙍𝙖. 𝙔𝙤𝙪 𝙢𝙪𝙨𝙩 𝙥𝙞𝙘𝙩𝙪𝙧𝙚 𝙩𝙝𝙚 𝙖𝙘𝙩𝙞𝙫𝙞𝙩𝙮 𝙬𝙞𝙩𝙝𝙞𝙣 𝙖𝙡𝙡 𝙩𝙝𝙖𝙩 𝙞𝙨 𝙘𝙧𝙚𝙖𝙩𝙚𝙙. 𝙏𝙝𝙚 𝙚𝙣𝙚𝙧𝙜𝙮 𝙞𝙨, 𝙩𝙝𝙤𝙪𝙜𝙝 𝙛𝙞𝙣𝙞𝙩𝙚, 𝙦𝙪𝙞𝙩𝙚 𝙡𝙖𝙧𝙜𝙚 𝙘𝙤𝙢𝙥𝙖𝙧𝙚𝙙 𝙩𝙤 𝙩𝙝𝙚 𝙪𝙣𝙙𝙚𝙧𝙨𝙩𝙖𝙣𝙙𝙞𝙣𝙜-𝙙𝙞𝙨𝙩𝙤𝙧𝙩𝙞𝙤𝙣 𝙤𝙛 𝙮𝙤𝙪𝙧 𝙥𝙚𝙤𝙥𝙡𝙚𝙨. 𝙏𝙝𝙞𝙨 𝙞𝙨 𝙖𝙣 𝙤𝙗𝙫𝙞𝙤𝙪𝙨 𝙥𝙤𝙞𝙣𝙩 𝙬𝙚𝙡𝙡 𝙠𝙣𝙤𝙬𝙣 𝙩𝙤 𝙮𝙤𝙪𝙧 𝙥𝙚𝙤𝙥𝙡𝙚𝙨, 𝙗𝙪𝙩 𝙡𝙞𝙩𝙩𝙡𝙚 𝙘𝙤𝙣𝙨𝙞𝙙𝙚𝙧𝙚𝙙.
𝐑𝐀: ฉันคือราห์ คุณต้องจินตนาการถึงภาพกิจกรรมภายในสิ่งทั้งปวงที่ถูกสร้างขึ้น พลังงานนั้น แม้จะมีขอบเขต แต่ก็ใหญ่มากเมื่อเทียบกับความเข้าใจที่บิดเบือนของผู้คนของคุณ นี่เป็นจุดที่ชัดเจนที่ซึ่งผู้คนของคุณก็รู้ดี แต่กลับให้ความสนใจกับพลังงานดังกล่าวน้อยมาก
𝙏𝙝𝙞𝙨 𝙚𝙣𝙚𝙧𝙜𝙮 𝙞𝙨 𝙞𝙣𝙩𝙚𝙡𝙡𝙞𝙜𝙚𝙣𝙩. 𝙄𝙩 𝙞𝙨 𝙝𝙞𝙚𝙧𝙖𝙧𝙘𝙝𝙞𝙘𝙖𝙡.
𝙈𝙪𝙘𝙝 𝙖𝙨 𝙮𝙤𝙪𝙧 𝙢𝙞𝙣𝙙/𝙗𝙤𝙙𝙮/𝙨𝙥𝙞𝙧𝙞𝙩 𝙘𝙤𝙢𝙥𝙡𝙚𝙭 𝙙𝙬𝙚𝙡𝙡𝙨 𝙬𝙞𝙩𝙝𝙞𝙣 𝙖𝙣 𝙝𝙞𝙚𝙧𝙖𝙧𝙘𝙝𝙮 𝙤𝙛 𝙫𝙚𝙝𝙞𝙘𝙡𝙚𝙨 𝙖𝙣𝙙 𝙧𝙚𝙩𝙖𝙞𝙣𝙨, 𝙩𝙝𝙚𝙧𝙚𝙛𝙤𝙧𝙚, 𝙩𝙝𝙚 𝙨𝙝𝙚𝙡𝙡, 𝙤𝙧 𝙨𝙝𝙖𝙥𝙚, 𝙤𝙧 𝙛𝙞𝙚𝙡𝙙, 𝙖𝙣𝙙 𝙩𝙝𝙚 𝙞𝙣𝙩𝙚𝙡𝙡𝙞𝙜𝙚𝙣𝙘𝙚 𝙤𝙛 𝙚𝙖𝙘𝙝 𝙖𝙨𝙘𝙚𝙣𝙙𝙞𝙣𝙜𝙡𝙮 𝙞𝙣𝙩𝙚𝙡𝙡𝙞𝙜𝙚𝙣𝙩 𝙤𝙧 𝙗𝙖𝙡𝙖𝙣𝙘𝙚𝙙 𝙗𝙤𝙙𝙮, 𝙨𝙤 𝙙𝙤𝙚𝙨 𝙚𝙖𝙘𝙝 𝙖𝙩𝙤𝙢 𝙤𝙛 𝙨𝙪𝙘𝙝 𝙖 𝙢𝙖𝙩𝙚𝙧𝙞𝙖𝙡 𝙖𝙨 𝙧𝙤𝙘𝙠.
𝙒𝙝𝙚𝙣 𝙤𝙣𝙚 𝙘𝙖𝙣 𝙨𝙥𝙚𝙖𝙠 𝙩𝙤 𝙩𝙝𝙖𝙩 𝙞𝙣𝙩𝙚𝙡𝙡𝙞𝙜𝙚𝙣𝙘𝙚, 𝙩𝙝𝙚 𝙛𝙞𝙣𝙞𝙩𝙚 𝙚𝙣𝙚𝙧𝙜𝙮 𝙤𝙛 𝙩𝙝𝙚 𝙥𝙝𝙮𝙨𝙞𝙘𝙖𝙡, 𝙤𝙧 𝙘𝙝𝙚𝙢𝙞𝙘𝙖𝙡, 𝙧𝙤𝙘𝙠/𝙗𝙤𝙙𝙮 𝙞𝙨 𝙥𝙪𝙩 𝙞𝙣𝙩𝙤 𝙘𝙤𝙣𝙩𝙖𝙘𝙩 𝙬𝙞𝙩𝙝 𝙩𝙝𝙖𝙩 𝙞𝙣𝙛𝙞𝙣𝙞𝙩𝙚 𝙥𝙤𝙬𝙚𝙧 𝙬𝙝𝙞𝙘𝙝 𝙞𝙨 𝙧𝙚𝙨𝙞𝙙𝙚𝙣𝙩 𝙞𝙣 𝙩𝙝𝙚 𝙢𝙤𝙧𝙚 𝙬𝙚𝙡𝙡-𝙩𝙪𝙣𝙚𝙙 𝙗𝙤𝙙𝙞𝙚𝙨, 𝙗𝙚 𝙩𝙝𝙚𝙮 𝙝𝙪𝙢𝙖𝙣 𝙤𝙧 𝙧𝙤𝙘𝙠.
พลังงานนี้มีสติปัญญา มันเป็นแบบลำดับชั้น คล้ายกับการที่จิต/กาย/จิตวิญญาณเชิงซ้อนของคุณอาศัยอยู่ภายในลำดับชั้นของยานพาหนะ** และดำรงไว้ซึ่งเปลือก รูปร่าง หรือสนามพลัง และสติปัญญาของกายที่มีระดับสติปัญญาหรือสมดุลที่สูงขึ้นในแต่ละอัน* (*แต่ละลำดับชั้นของกาย)
เช่นเดียวกับที่แต่ละอะตอมของวัตถุ เช่น หิน ก็เป็นแบบนั้นเช่นกัน เมื่อใดที่สามารถสื่อสารกับสติปัญญา (ที่อยู่ในอะตอมของหิน) เหล่านั้นได้ พลังงานที่จำกัดของหิน/ร่างกายทางกายภาพของหิน หรือทางเคมีจะถูกนำมาสัมผัส-เชื่อมต่อเข้ากับพลังอันไร้ขอบเขตที่สถิตอยู่ในกายที่มีการปรับจูนได้ดีกว่า ไม่ว่าจะเป็นของมนุษย์หรือหิน
**vehicles : ยานพาหนะ, เครื่องมือลำเลียง, สื่อกลาง, ตัวกลาง หรือก็คือ กายของเรานี่แหละ แต่กายเราก็มีหลายลำดับชั้น กายเนื้อ กายทิพย์หรือกายละเอียดหรือกายพลังงาน เป็นกายที่มีจักระทั้ง 7 ตั้งอยู่เพื่อ รับ/กรอง/แปลง พลังงานจากภายนอกเข้ามา จากกายวิญญาณที่คลุมอยู่ชั้นนอกอีกที ที่รับพลังงานแห่งความรัก/แสง มาจากจักรวาลหรือพระเจ้า อีกที เป็นต้น
𝙒𝙞𝙩𝙝 𝙩𝙝𝙞𝙨 𝙘𝙤𝙣𝙣𝙚𝙘𝙩𝙞𝙤𝙣 𝙢𝙖𝙙𝙚, 𝙖 𝙧𝙚𝙦𝙪𝙚𝙨𝙩 𝙢𝙖𝙮 𝙗𝙚 𝙜𝙞𝙫𝙚𝙣.
𝙏𝙝𝙚 𝙞𝙣𝙩𝙚𝙡𝙡𝙞𝙜𝙚𝙣𝙘𝙚 𝙤𝙛 𝙞𝙣𝙛𝙞𝙣𝙞𝙩𝙚 𝙧𝙤𝙘𝙠-𝙣𝙚𝙨𝙨 𝙘𝙤𝙢𝙢𝙪𝙣𝙞𝙘𝙖𝙩𝙚𝙨 𝙩𝙤 𝙞𝙩𝙨 𝙥𝙝𝙮𝙨𝙞𝙘𝙖𝙡 𝙫𝙚𝙝𝙞𝙘𝙡𝙚, 𝙖𝙣𝙙 𝙩𝙝𝙖𝙩 𝙨𝙥𝙡𝙞𝙩𝙩𝙞𝙣𝙜 𝙖𝙣𝙙 𝙢𝙤𝙫𝙞𝙣𝙜 𝙬𝙝𝙞𝙘𝙝 𝙞𝙨 𝙙𝙚𝙨𝙞𝙧𝙚𝙙 𝙞𝙨 𝙩𝙝𝙚𝙣 𝙘𝙖𝙧𝙧𝙞𝙚𝙙 𝙤𝙪𝙩 𝙩𝙝𝙧𝙤𝙪𝙜𝙝 𝙩𝙝𝙚 𝙙𝙞𝙨𝙥𝙡𝙖𝙘𝙚𝙢𝙚𝙣𝙩 𝙤𝙛 𝙩𝙝𝙚 𝙚𝙣𝙚𝙧𝙜𝙮 𝙛𝙞𝙚𝙡𝙙 𝙤𝙛 𝙧𝙤𝙘𝙠-𝙣𝙚𝙨𝙨 𝙛𝙧𝙤𝙢 𝙛𝙞𝙣𝙞𝙩𝙮 𝙩𝙤 𝙖 𝙙𝙞𝙢𝙚𝙣𝙨𝙞𝙤𝙣
𝙬𝙝𝙞𝙘𝙝 𝙬𝙚 𝙢𝙖𝙮 𝙘𝙤𝙣𝙫𝙚𝙣𝙞𝙚𝙣𝙩𝙡𝙮 𝙘𝙖𝙡𝙡, 𝙨𝙞𝙢𝙥𝙡𝙮, 𝙞𝙣𝙛𝙞𝙣𝙞𝙩𝙮.
เมื่อการเชื่อมต่อนี้เกิดขึ้น คำขอสามารถถูกส่งให้ได้* (*เพราะเกิดการเชื่อมต่อแล้ว คล้ายๆกับการส่งคำสั่ง หรือ ส่งข้อมูลให้) สติปัญญาของความเป็นหินอันไร้ขอบเขตจะสื่อสารกับยานพาหนะทางกายภาพของมัน และการแยกและการเคลื่อนย้ายที่ต้องการจะถูกดำเนินการผ่านการเคลื่อนย้ายสนามพลังของความเป็นหินจากความจำกัดไปสู่มิติที่เราอาจเรียกง่ายๆ ว่า "ไร้จำกัด–อนันต์"
𝙄𝙣 𝙩𝙝𝙞𝙨 𝙬𝙖𝙮, 𝙩𝙝𝙖𝙩 𝙬𝙝𝙞𝙘𝙝 𝙞𝙨 𝙧𝙚𝙦𝙪𝙞𝙧𝙚𝙙 𝙞𝙨 𝙖𝙘𝙘𝙤𝙢𝙥𝙡𝙞𝙨𝙝𝙚𝙙 𝙙𝙪𝙚 𝙩𝙤 𝙩𝙝𝙚 𝙘𝙤𝙤𝙥𝙚𝙧𝙖𝙩𝙞𝙤𝙣 𝙤𝙛 𝙩𝙝𝙚 𝙞𝙣𝙛𝙞𝙣𝙞𝙩𝙚 𝙪𝙣𝙙𝙚𝙧𝙨𝙩𝙖𝙣𝙙𝙞𝙣𝙜 𝙤𝙛 𝙩𝙝𝙚 𝘾𝙧𝙚𝙖𝙩𝙤𝙧 𝙞𝙣𝙙𝙬𝙚𝙡𝙡𝙞𝙣𝙜 𝙞𝙣 𝙩𝙝𝙚 𝙡𝙞𝙫𝙞𝙣𝙜 𝙧𝙤𝙘𝙠.
ด้วยวิธีนี้ สิ่งที่ต้องการจึงสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยความร่วมมือของความเข้าใจอันไร้ขอบเขตของ #พระผู้สร้างที่สถิตอยู่ในหินที่มีชีวิต
𝙏𝙝𝙞𝙨 𝙞𝙨, 𝙤𝙛 𝙘𝙤𝙪𝙧𝙨𝙚, 𝙩𝙝𝙚 𝙢𝙚𝙘𝙝𝙖𝙣𝙞𝙨𝙢 𝙗𝙮 𝙬𝙝𝙞𝙘𝙝 𝙢𝙖𝙣𝙮 𝙩𝙝𝙞𝙣𝙜𝙨 𝙖𝙧𝙚 𝙖𝙘𝙘𝙤𝙢𝙥𝙡𝙞𝙨𝙝𝙚𝙙 𝙬𝙝𝙞𝙘𝙝 𝙖𝙧𝙚 𝙣𝙤𝙩 𝙨𝙪𝙗𝙟𝙚𝙘𝙩 𝙩𝙤 𝙮𝙤𝙪𝙧 𝙥𝙧𝙚𝙨𝙚𝙣𝙩 𝙢𝙚𝙖𝙣𝙨 𝙤𝙛 𝙥𝙝𝙮𝙨𝙞𝙘𝙖𝙡 𝙖𝙣𝙖𝙡𝙮𝙨𝙞𝙨 𝙤𝙛 𝙖𝙘𝙩𝙞𝙤𝙣 𝙖𝙩 𝙖 𝙙𝙞𝙨𝙩𝙖𝙣𝙘𝙚.
แน่นอนว่า นี่คือกลไกที่ทำให้บรรลุสิ่งต่างๆ ที่ไม่อยู่ภายใต้วิธีการวิเคราะห์ทางกายภาพในปัจจุบันของคุณเกี่ยวกับการกระทำจากระยะไกล*
(*กฎทางฟิสิกส์ทั่วไป ที่เกี่ยวกับโลกทางกายภาพ เช่น ในเรื่องของแรง, กฎของนิวตัน(แรงโน้มถ่วง) ฯลฯ ที่เข้ามากระทำกับวัตถุ นำมาใช้การไม่ได้ครับ ในเรื่องนี้ 😆 แต่เอาจริงๆมันก็เกี่ยวกับเรื่องของแรงเหมือนกันนะครับ แต่เป็น 'แรงหรือพลังงาน' จากความคิดที่ส่งผลต่อโลกทางกายภาพ)
[𝟑.𝟗] 𝐐 𝐔 𝐄 𝐒 𝐓 𝐈 𝐎 𝐍 𝐄 𝐑 : 𝐈 𝐚𝐦 𝐫𝐞𝐦𝐢𝐧𝐝𝐞𝐝 𝐨𝐟 𝐭𝐡𝐞 𝐬𝐭𝐚𝐭𝐞𝐦𝐞𝐧𝐭, 𝐚𝐩𝐩𝐫𝐨𝐱𝐢𝐦𝐚𝐭𝐞𝐥𝐲, 𝐢𝐟 𝐲𝐨𝐮 𝐡𝐚𝐝 𝐞𝐧𝐨𝐮𝐠𝐡 𝐟𝐚𝐢𝐭𝐡, 𝐲𝐨𝐮 𝐜𝐨𝐮𝐥𝐝 𝐬𝐚𝐲 𝐭𝐨 𝐚 𝐦𝐨𝐮𝐧𝐭𝐚𝐢𝐧 𝐭𝐨 𝐦𝐨𝐯𝐞 𝐚𝐧𝐝 𝐭𝐡𝐞 𝐦𝐨𝐮𝐧𝐭𝐚𝐢𝐧 𝐰𝐨𝐮𝐥𝐝 𝐦𝐨𝐯𝐞.
𝐈 𝐚𝐬𝐬𝐮𝐦𝐞 𝐭𝐡𝐢𝐬 𝐢𝐬 𝐚𝐩𝐩𝐫𝐨𝐱𝐢𝐦𝐚𝐭𝐞𝐥𝐲 𝐰𝐡𝐚𝐭 𝐲𝐨𝐮 𝐚𝐫𝐞 𝐬𝐚𝐲𝐢𝐧𝐠, 𝐚𝐧𝐝 𝐈 𝐚𝐦 𝐚𝐬𝐬𝐮𝐦𝐢𝐧𝐠 𝐭𝐡𝐚𝐭 𝐢𝐟 𝐲𝐨𝐮 𝐚𝐫𝐞 𝐟𝐮𝐥𝐥𝐲 𝐚𝐰𝐚𝐫𝐞 𝐨𝐟 𝐭𝐡𝐞 𝐋𝐚𝐰 𝐨𝐟 𝐎𝐧𝐞, 𝐭𝐡𝐞𝐧 𝐲𝐨𝐮 𝐚𝐫𝐞 𝐚𝐛𝐥𝐞 𝐭𝐨 𝐝𝐨 𝐭𝐡𝐞𝐬𝐞 𝐭𝐡𝐢𝐧𝐠𝐬. 𝐈𝐬 𝐭𝐡𝐚𝐭 𝐜𝐨𝐫𝐫𝐞𝐜𝐭?
[3.9] 𝐐: ผมนึกถึงคำกล่าวประมาณว่า หากคุณมีศรัทธามากพอ คุณสามารถสั่งให้ภูเขาเคลื่อนที่ และภูเขาก็จะเคลื่อนที่ ผมสันนิษฐานว่านี่คือสิ่งที่คุณกำลังพูดถึงโดยประมาณ และผมสันนิษฐานว่าหากคุณตระหนักได้อย่างเต็มที่ถึงกฎแห่งความเป็นหนึ่ง คุณก็สามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้ ถูกต้องหรือไม่❓
𝙍𝘼 : 𝙄 𝙖𝙢 𝙍𝙖. 𝙏𝙝𝙚 𝙫𝙞𝙗𝙧𝙖𝙩𝙤𝙧𝙮 𝙙𝙞𝙨𝙩𝙤𝙧𝙩𝙞𝙤𝙣 𝙤𝙛 𝙨𝙤𝙪𝙣𝙙, “𝙛𝙖𝙞𝙩𝙝,” 𝙞𝙨 𝙥𝙚𝙧𝙝𝙖𝙥𝙨 𝙤𝙣𝙚 𝙤𝙛 𝙩𝙝𝙚 𝙨𝙩𝙪𝙢𝙗𝙡𝙞𝙣𝙜 𝙗𝙡𝙤𝙘𝙠𝙨 𝙗𝙚𝙩𝙬𝙚𝙚𝙣 𝙩𝙝𝙤𝙨𝙚 𝙤𝙛 𝙬𝙝𝙖𝙩 𝙬𝙚 𝙢𝙖𝙮 𝙘𝙖𝙡𝙡 𝙩𝙝𝙚 𝙞𝙣𝙛𝙞𝙣𝙞𝙩𝙚 𝙥𝙖𝙩𝙝 𝙖𝙣𝙙 𝙩𝙝𝙤𝙨𝙚 𝙤𝙛 𝙩𝙝𝙚 𝙛𝙞𝙣𝙞𝙩𝙚 𝙥𝙧𝙤𝙫𝙞𝙣𝙜-𝙪𝙣𝙙𝙚𝙧𝙨𝙩𝙖𝙣𝙙𝙞𝙣𝙜.
𝐑𝐀: ฉันคือราห์ ความบิดเบือนของการสั่นสะเทือนของเสียง (ที่เปล่งออกมาเป็นคำว่า) "ศรัทธา" นั้น เป็นหนึ่งในอุปสรรคขวางกั้นระหว่างผู้ที่เราอาจเรียกว่าอยู่บนเส้นทางอันไร้ขอบเขตและผู้ที่แสวงหาความเข้าใจผ่านการพิสูจน์ที่มีขอบเขต*
(*อาจกล่าวได้ว่า ระหว่างนักพลังจิตศาสตร์ หรือผู้แสวงหาทางจิตวิญญาณ กับ นักวิทยาศาสตร์ ก็ได้อยู่กระมังครับ)
𝙔𝙤𝙪 𝙖𝙧𝙚 𝙥𝙧𝙚𝙘𝙞𝙨𝙚𝙡𝙮 𝙘𝙤𝙧𝙧𝙚𝙘𝙩 𝙞𝙣 𝙮𝙤𝙪𝙧 𝙪𝙣𝙙𝙚𝙧𝙨𝙩𝙖𝙣𝙙𝙞𝙣𝙜 𝙤𝙛 𝙩𝙝𝙚 𝙘𝙤𝙣𝙜𝙧𝙪𝙚𝙣𝙘𝙮 𝙤𝙛 𝙛𝙖𝙞𝙩𝙝 𝙖𝙣𝙙 𝙞𝙣𝙩𝙚𝙡𝙡𝙞𝙜𝙚𝙣𝙩 𝙞𝙣𝙛𝙞𝙣𝙞𝙩𝙮; 𝙝𝙤𝙬𝙚𝙫𝙚𝙧, 𝙤𝙣𝙚 𝙞𝙨 𝙖 𝙨𝙥𝙞𝙧𝙞𝙩𝙪𝙖𝙡 𝙩𝙚𝙧𝙢, 𝙩𝙝𝙚 𝙤𝙩𝙝𝙚𝙧 𝙢𝙤𝙧𝙚 𝙖𝙘𝙘𝙚𝙥𝙩𝙖𝙗𝙡𝙚 𝙥𝙚𝙧𝙝𝙖𝙥𝙨 𝙩𝙤 𝙩𝙝𝙚 𝙘𝙤𝙣𝙘𝙚𝙥𝙩𝙪𝙖𝙡-𝙛𝙧𝙖𝙢𝙚𝙬𝙤𝙧𝙠 𝙙𝙞𝙨𝙩𝙤𝙧𝙩𝙞𝙤𝙣𝙨 𝙤𝙛 𝙩𝙝𝙤𝙨𝙚 𝙬𝙝𝙤 𝙨𝙚𝙚𝙠 𝙬𝙞𝙩𝙝 𝙢𝙚𝙖𝙨𝙪𝙧𝙚 𝙖𝙣𝙙 𝙥𝙚𝙣.
คุณเข้าใจถูกต้องแล้วในเรื่องที่เกี่ยวกับความสอดคล้องระหว่าง 'ศรัทธา' และ 'พลังงานอันชาญฉลาดที่ไร้ขอบเขต' อย่างไรก็ตาม คำแรกคือคำศัพท์ทางจิตวิญญาณ ส่วนคำหลังอาจจะยอมรับได้มากกว่าสำหรับกรอบแนวคิดที่บิดเบือนของผู้ที่แสวงหาด้วยการวัดและการใช้ปากกา *(*ใช้ในการคำนวน)
[𝟑.𝟏𝟎] 𝐐 𝐔 𝐄 𝐒 𝐓 𝐈 𝐎 𝐍 𝐄 𝐑 : 𝐓𝐡𝐞𝐧 𝐢𝐟 𝐚𝐧 𝐢𝐧𝐝𝐢𝐯𝐢𝐝𝐮𝐚𝐥 𝐢𝐬 𝐭𝐨𝐭𝐚𝐥𝐥𝐲 𝐢𝐧𝐟𝐨𝐫𝐦𝐞𝐝 𝐰𝐢𝐭𝐡 𝐫𝐞𝐬𝐩𝐞𝐜𝐭 𝐭𝐨 𝐭𝐡𝐞 𝐋𝐚𝐰 𝐨𝐟 𝐎𝐧𝐞, 𝐚𝐧𝐝 𝐥𝐢𝐯𝐞𝐬 𝐚𝐧𝐝 𝐢𝐬 𝐭𝐡𝐞 𝐋𝐚𝐰 𝐨𝐟 𝐎𝐧𝐞, 𝐬𝐮𝐜𝐡 𝐭𝐡𝐢𝐧𝐠𝐬 𝐚𝐬 𝐭𝐡𝐞 𝐛𝐮𝐢𝐥𝐝𝐢𝐧𝐠 𝐨𝐟 𝐚 𝐩𝐲𝐫𝐚𝐦𝐢𝐝 𝐛𝐲 𝐝𝐢𝐫𝐞𝐜𝐭 𝐦𝐞𝐧𝐭𝐚𝐥 𝐞𝐟𝐟𝐨𝐫𝐭 𝐰𝐨𝐮𝐥𝐝 𝐛𝐞 𝐜𝐨𝐦𝐦𝐨𝐧𝐩𝐥𝐚𝐜𝐞. 𝐈𝐬 𝐭𝐡𝐚𝐭 𝐰𝐡𝐚𝐭 𝐈 𝐚𝐦 𝐭𝐨 𝐮𝐧𝐝𝐞𝐫𝐬𝐭𝐚𝐧𝐝? 𝐀𝐦 𝐈 𝐜𝐨𝐫𝐫𝐞𝐜𝐭?
[3.10] 𝐐: ดังนั้นหากบุคคลหนึ่งเข้าใจอย่างครบถ้วนเกี่ยวกับกฎแห่งความเป็นหนึ่ง และดำเนินชีวิตและเป็นไปตามกฎแห่งความเป็นหนึ่ง สิ่งต่างๆ เช่นการสร้างปิรามิดโดยใช้พลังทางจิตโดยตรงจะเป็นเรื่องปกติธรรมดา นี่คือผมที่ฉันควรเข้าใจใช่หรือไม่❓ ผมเข้าใจถูกหรือไม่❓
𝙍𝘼 : 𝙄 𝙖𝙢 𝙍𝙖. 𝙔𝙤𝙪 𝙖𝙧𝙚 𝙞𝙣𝙘𝙤𝙧𝙧𝙚𝙘𝙩 𝙞𝙣 𝙩𝙝𝙖𝙩 𝙩𝙝𝙚𝙧𝙚 𝙞𝙨 𝙖 𝙙𝙞𝙨𝙩𝙞𝙣𝙘𝙩𝙞𝙤𝙣 𝙗𝙚𝙩𝙬𝙚𝙚𝙣 𝙩𝙝𝙚 𝙞𝙣𝙙𝙞𝙫𝙞𝙙𝙪𝙖𝙡 𝙥𝙤𝙬𝙚𝙧 𝙩𝙝𝙧𝙤𝙪𝙜𝙝 𝙩𝙝𝙚 𝙇𝙖𝙬 𝙤𝙛 𝙊𝙣𝙚 𝙖𝙣𝙙 𝙩𝙝𝙚 𝙘𝙤𝙢𝙗𝙞𝙣𝙚𝙙, 𝙤𝙧 𝙨𝙤𝙘𝙞𝙚𝙩𝙖𝙡 𝙢𝙚𝙢𝙤𝙧𝙮 𝙘𝙤𝙢𝙥𝙡𝙚𝙭 𝙢𝙞𝙣𝙙/𝙗𝙤𝙙𝙮/𝙨𝙥𝙞𝙧𝙞𝙩 𝙪𝙣𝙙𝙚𝙧𝙨𝙩𝙖𝙣𝙙𝙞𝙣𝙜 𝙤𝙛 𝙩𝙝𝙚 𝙇𝙖𝙬 𝙤𝙛 𝙊𝙣𝙚.
𝐑𝐀: ฉันคือราห์ คุณเข้าใจยังไม่ถูกต้อง เพราะมีความแตกต่างกันระหว่าง 'พลังของปัจเจกบุคคล' ผ่านกฎแห่งความเป็นหนึ่ง และ 'ความเข้าใจแบบรวมหมู่' หรือความทรงจำทางสังคมเชิงซ้อนของจิต/กาย/จิตวิญญาณที่มีความเข้าใจในกฎแห่งความเป็นหนึ่งร่วมกันทั้งกลุ่ม
𝙄𝙣 𝙩𝙝𝙚 𝙛𝙞𝙧𝙨𝙩 𝙘𝙖𝙨𝙚, 𝙤𝙣𝙡𝙮 𝙩𝙝𝙚 𝙤𝙣𝙚 𝙞𝙣𝙙𝙞𝙫𝙞𝙙𝙪𝙖𝙡, 𝙥𝙪𝙧𝙞𝙛𝙞𝙚𝙙 𝙤𝙛 𝙖𝙡𝙡 𝙛𝙡𝙖𝙬𝙨, 𝙘𝙤𝙪𝙡𝙙 𝙢𝙤𝙫𝙚 𝙖 𝙢𝙤𝙪𝙣𝙩𝙖𝙞𝙣. 𝙄𝙣 𝙩𝙝𝙚 𝙘𝙖𝙨𝙚 𝙤𝙛 𝙢𝙖𝙨𝙨 𝙪𝙣𝙙𝙚𝙧𝙨𝙩𝙖𝙣𝙙𝙞𝙣𝙜 𝙤𝙛 𝙪𝙣𝙞𝙩𝙮, 𝙚𝙖𝙘𝙝 𝙞𝙣𝙙𝙞𝙫𝙞𝙙𝙪𝙖𝙡 𝙢𝙖𝙮 𝙘𝙤𝙣𝙩𝙖𝙞𝙣 𝙖𝙣 𝙖𝙘𝙘𝙚𝙥𝙩𝙖𝙗𝙡𝙚 𝙖𝙢𝙤𝙪𝙣𝙩 𝙤𝙛 𝙙𝙞𝙨𝙩𝙤𝙧𝙩𝙞𝙤𝙣 𝙖𝙣𝙙 𝙮𝙚𝙩 𝙩𝙝𝙚 𝙢𝙖𝙨𝙨 𝙢𝙞𝙣𝙙 𝙘𝙤𝙪𝙡𝙙 𝙢𝙤𝙫𝙚 𝙢𝙤𝙪𝙣𝙩𝙖𝙞𝙣𝙨.
ในกรณีแรก เพียงแค่บุคคลเดียวที่บริสุทธิ์จากข้อบกพร่องทั้งปวง (ไร้มลทิน) เท่านั้นที่จะสามารถเคลื่อนภูเขาได้ ในกรณีของความเข้าใจของมวลชน (ทั้งกลุ่ม) ในเรื่องความเป็นหนึ่งเดียว ซึ่งในแต่ละบุคคลอาจมีความบิดเบือนที่ยอมรับได้ ก็ยังคงสามารถใช้จิตแห่งมวลชนเคลื่อนภูเขาได้
𝙏𝙝𝙚 𝙥𝙧𝙤𝙜𝙧𝙚𝙨𝙨 𝙞𝙨 𝙣𝙤𝙧𝙢𝙖𝙡𝙡𝙮 𝙛𝙧𝙤𝙢 𝙩𝙝𝙚 𝙪𝙣𝙙𝙚𝙧𝙨𝙩𝙖𝙣𝙙𝙞𝙣𝙜 𝙬𝙝𝙞𝙘𝙝 𝙮𝙤𝙪 𝙣𝙤𝙬 𝙨𝙚𝙚𝙠 𝙩𝙤 𝙖 𝙙𝙞𝙢𝙚𝙣𝙨𝙞𝙤𝙣 𝙤𝙛 𝙪𝙣𝙙𝙚𝙧𝙨𝙩𝙖𝙣𝙙𝙞𝙣𝙜 𝙬𝙝𝙞𝙘𝙝 𝙞𝙨 𝙜𝙤𝙫𝙚𝙧𝙣𝙚𝙙 𝙗𝙮 𝙩𝙝𝙚 𝙇𝙖𝙬𝙨 𝙤𝙛 𝙇𝙤𝙫𝙚, 𝙖𝙣𝙙 𝙬𝙝𝙞𝙘𝙝 𝙨𝙚𝙚𝙠𝙨 𝙩𝙝𝙚 𝙇𝙖𝙬𝙨 𝙤𝙛 𝙇𝙞𝙜𝙝𝙩.
𝙏𝙝𝙤𝙨𝙚 𝙬𝙝𝙤 𝙖𝙧𝙚 𝙫𝙞𝙗𝙧𝙖𝙩𝙞𝙣𝙜 𝙬𝙞𝙩𝙝 𝙩𝙝𝙚 𝙇𝙖𝙬 𝙤𝙛 𝙇𝙞𝙜𝙝𝙩 𝙨𝙚𝙚𝙠 𝙩𝙝𝙚 𝙇𝙖𝙬 𝙤𝙛 𝙊𝙣𝙚. 𝙏𝙝𝙤𝙨𝙚 𝙬𝙝𝙤 𝙫𝙞𝙗𝙧𝙖𝙩𝙚 𝙬𝙞𝙩𝙝 𝙩𝙝𝙚 𝙇𝙖𝙬 𝙤𝙛 𝙊𝙣𝙚 𝙨𝙚𝙚𝙠 𝙩𝙝𝙚 𝙇𝙖𝙬 𝙤𝙛 𝙁𝙤𝙧𝙚𝙫𝙚𝙧𝙣𝙚𝙨𝙨.
ขั้นความก้าวหน้าโดยปกติจะเป็นจากความเข้าใจที่คุณกำลังแสวงหาอยู่ในขณะนี้ ไปสู่มิติแห่งความเข้าใจที่ถูกกำกับโดยกฎแห่งความรัก และจะนำไปสู่การแสวงหาในกฎแห่งแสงสว่าง บรรดาผู้ที่สั่นสะเทือนกับกฎแห่งแสงสว่างจะแสวงหากฎแห่งความเป็นหนึ่ง และผู้ที่สั่นสะเทือนกับกฎแห่งความเป็นหนึ่งจะแสวงหากฎแห่งความเป็นนิรันดร์*
(*เริ่มจาก ผู้หลงลืม (มิติที่ 3) ➡️ แสวงหาความรู้ทางจิตวิญญาณ—ตามหาความทรงจำเดิม(ยังคงมิติที่ 3 ➡️ แสวงหากฎแห่งรัก (มิติที่ 4) ➡️ แสวงหากฎแห่งแสงสว่าง (มิติที่ 5) ➡️ แสวงหากฎแห่งความเป็นหนึ่ง (มิติที่ 6) ➡️ แสวงหากฎแห่งความเป็นนิรันดร์ (มิติที่ 7)??? อืม......🤔🤔🤔)
𝙒𝙚 𝙘𝙖𝙣𝙣𝙤𝙩 𝙨𝙖𝙮 𝙬𝙝𝙖𝙩 𝙞𝙨 𝙗𝙚𝙮𝙤𝙣𝙙 𝙩𝙝𝙞𝙨 𝙙𝙞𝙨𝙨𝙤𝙡𝙪𝙩𝙞𝙤𝙣 𝙤𝙛 𝙩𝙝𝙚 𝙪𝙣𝙞𝙛𝙞𝙚𝙙 𝙨𝙚𝙡𝙛 𝙬𝙞𝙩𝙝 𝙖𝙡𝙡 𝙩𝙝𝙖𝙩 𝙩𝙝𝙚𝙧𝙚 𝙞𝙨, 𝙛𝙤𝙧 𝙬𝙚 𝙨𝙩𝙞𝙡𝙡 𝙨𝙚𝙚𝙠 𝙩𝙤 𝙗𝙚𝙘𝙤𝙢𝙚 𝙖𝙡𝙡 𝙩𝙝𝙖𝙩 𝙩𝙝𝙚𝙧𝙚 𝙞𝙨, 𝙖𝙣𝙙 𝙨𝙩𝙞𝙡𝙡 𝙖𝙧𝙚 𝙬𝙚 𝙍𝙖. 𝙏𝙝𝙪𝙨 𝙤𝙪𝙧 𝙥𝙖𝙩𝙝𝙨 𝙜𝙤 𝙤𝙣𝙬𝙖𝙧𝙙.
เราไม่สามารถกล่าวถึงสิ่งที่ "อยู่เหนือ" การแบ่งแยกของตัวตนที่เป็นหนึ่งเดียวกับทุกสิ่งที่มีอยู่ได้* (*พระเจ้า) เพราะเรายังคงแสวงหาที่จะกลายเป็นทุกสิ่งที่มีอยู่ และเรายังคงเป็นราห์ ดังนั้นเส้นทางของเราจึงต้องดำเนินต่อไป*
*ผมวิเคราะห์ว่า : ตรงนี้ราห์น่าจะกล่าวถึงตัวตนที่อยู่เหนือระดับของพระเจ้ากระมัง พระเจ้าคือตัวตนที่เป็นทุกสิ่งที่มีอยู่ งั้นระดับของพระเจ้า ก็น่าจะอยู่ในมิติที่ 7 ตัวตนที่อยู่เหนือกว่ามิติที่ 7 ??? 🤔🤔🤔 ก็คงต้องสืบค้นข้อมูลกันต่อไปครับ
และราห์บอกไว้ในตอนแรกว่า น่าจะอยู่ในคำนำ พวกเขาคือเครือข่ายความทรงจำทางสังคมเชิงซ้อนที่ดำรงอยู่ในมิติที่ 6 ➡️ ตรงนี้ผมขยายความออกไปอีกว่า อาจจะเป็นอนุประกายจิตวิญญาณทั้งหมดที่แยกย่อยลงไปจาก Oversoul สายนี้ ที่ดำรงอยู่ในมิติที่ 6 ทุกๆตัวตนภายใต้ Oversoul นี้ระลึกหรือตระหนักรู้ได้อย่างสมบูรณ์ว่าตนแยกอย่างไปจากจิตวิญญาณต้นธาตุสายนี้ แล้วหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับ Oversoul ที่เป็นต้นธาตุของตนเรียบร้อยแล้ว
ปล.ตัวตนระดับพระเจ้าที่ผมวิเคราะห์ไว้ว่าน่าจะดำรงอยู่ในมิติที่ 7 ก็แบ่งตัวออกไปเป็น oversoul อีกจำนวนมากมายนะครับ เพราะฉะนั้น oversoul หรือจิตวิญญาณต้นธาตุก็จะมีอยู่หลากหลายสาย
และก็แสดงว่า พวกเขา ราห์ ก็กำลังวิวัฒน์ตัวเองเพื่อให้ขึ้นไปอยู่ในมิติที่ 7 (ระดับพระเจ้า) และการมา #ช่วยเหลือ_รับใช้_ให้บริการ พวกเรามนุษย์โลก (และคงในอารยธรรมอื่นๆที่อยู่ในมิติที่ 3 ด้วย) คงเป็นหนึ่งในหนทางในการวิวัฒนาการของพวกเขากระมัง
[3.11] 𝐐: แล้วปิรามิดถูกสร้างโดยการกระทำร่วมกันของสมาชิกของคุณหรือ❓
𝙍𝘼 : 𝙄 𝙖𝙢 𝙍𝙖. 𝙏𝙝𝙚 𝙥𝙮𝙧𝙖𝙢𝙞𝙙𝙨 𝙬𝙝𝙞𝙘𝙝 𝙬𝙚 𝙩𝙝𝙤𝙪𝙜𝙝𝙩/𝙗𝙪𝙞𝙡𝙩 𝙬𝙚𝙧𝙚 𝙘𝙤𝙣𝙨𝙩𝙧𝙪𝙘𝙩𝙚𝙙 𝙛𝙧𝙤𝙢 𝙩𝙝𝙤𝙪𝙜𝙝𝙩-𝙛𝙤𝙧𝙢𝙨 𝙘𝙧𝙚𝙖𝙩𝙚𝙙 𝙗𝙮 𝙤𝙪𝙧 𝙨𝙤𝙘𝙞𝙖𝙡 𝙢𝙚𝙢𝙤𝙧𝙮 𝙘𝙤𝙢𝙥𝙡𝙚𝙭.
𝐑𝐀: ฉันคือราห์ ปิรามิดที่เราคิด/สร้าง ถูกก่อสร้างจากรูปทรงความคิดที่สร้างโดยเครือข่ายความทรงจำทางสังคมเชิงซ้อนของเรา
[𝟑.𝟏𝟐] 𝐐 𝐔 𝐄 𝐒 𝐓 𝐈 𝐎 𝐍 𝐄 𝐑 : 𝐓𝐡𝐞𝐧 𝐭𝐡𝐞 𝐫𝐨𝐜𝐤 𝐰𝐚𝐬 𝐜𝐫𝐞𝐚𝐭𝐞𝐝 𝐛𝐲 𝐭𝐡𝐨𝐮𝐠𝐡𝐭 𝐢𝐧 𝐩𝐥𝐚𝐜𝐞 𝐫𝐚𝐭𝐡𝐞𝐫 𝐭𝐡𝐚𝐧 𝐦𝐨𝐯𝐞𝐝 𝐟𝐫𝐨𝐦 𝐬𝐨𝐦𝐞𝐰𝐡𝐞𝐫𝐞 𝐞𝐥𝐬𝐞? 𝐈𝐬 𝐭𝐡𝐚𝐭 𝐜𝐨𝐫𝐫𝐞𝐜𝐭?
[3.12] 𝐐: แล้วหินถูกสร้างขึ้นมาจากความคิดตรงที่จุดนั้นเลยแทนที่จะถูกเคลื่อนย้ายมาจากที่อื่น ถูกต้องหรือไม่❓
𝙍𝘼 : 𝙄 𝙖𝙢 𝙍𝙖. 𝙒𝙚 𝙗𝙪𝙞𝙡𝙩 𝙬𝙞𝙩𝙝 𝙚𝙫𝙚𝙧𝙡𝙖𝙨𝙩𝙞𝙣𝙜 𝙧𝙤𝙘𝙠 𝙩𝙝𝙚 𝙂𝙧𝙚𝙖𝙩 𝙋𝙮𝙧𝙖𝙢𝙞𝙙, 𝙖𝙨 𝙮𝙤𝙪 𝙘𝙖𝙡𝙡 𝙞𝙩. 𝙊𝙩𝙝𝙚𝙧 𝙤𝙛 𝙩𝙝𝙚 𝙥𝙮𝙧𝙖𝙢𝙞𝙙𝙨 𝙬𝙚𝙧𝙚 𝙗𝙪𝙞𝙡𝙩 𝙬𝙞𝙩𝙝 𝙨𝙩𝙤𝙣𝙚 𝙢𝙤𝙫𝙚𝙙 𝙛𝙧𝙤𝙢 𝙤𝙣𝙚 𝙥𝙡𝙖𝙘𝙚 𝙩𝙤 𝙖𝙣𝙤𝙩𝙝𝙚𝙧.
𝐑𝐀: ฉันคือราห์ เราสร้างปิรามิดขนาดใหญ่—มหาปิรามิด ตามที่คุณเรียก ด้วย 'หินนิรันดร์' ปิรามิดอื่น ๆ ถูกสร้างด้วยหินที่เคลื่อนย้ายจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง
[𝟑.𝟏𝟑] 𝐐 𝐔 𝐄 𝐒 𝐓 𝐈 𝐎 𝐍 𝐄 𝐑 : 𝐖𝐡𝐚𝐭 𝐢𝐬 𝐞𝐯𝐞𝐫𝐥𝐚𝐬𝐭𝐢𝐧𝐠 𝐫𝐨𝐜𝐤?
[3.13] 𝐐: หินนิรันดร์คืออะไร❓
𝙍𝘼 : 𝙄 𝙖𝙢 𝙍𝙖. 𝙄𝙛 𝙮𝙤𝙪 𝙘𝙖𝙣 𝙪𝙣𝙙𝙚𝙧𝙨𝙩𝙖𝙣𝙙 𝙩𝙝𝙚 𝙘𝙤𝙣𝙘𝙚𝙥𝙩 𝙤𝙛 𝙩𝙝𝙤𝙪𝙜𝙝𝙩-𝙛𝙤𝙧𝙢𝙨 𝙮𝙤𝙪 𝙬𝙞𝙡𝙡 𝙧𝙚𝙖𝙡𝙞𝙯𝙚 𝙩𝙝𝙖𝙩 𝙩𝙝𝙚 𝙩𝙝𝙤𝙪𝙜𝙝𝙩-𝙛𝙤𝙧𝙢 𝙞𝙨 𝙢𝙤𝙧𝙚 𝙧𝙚𝙜𝙪𝙡𝙖𝙧 𝙞𝙣 𝙞𝙩𝙨 𝙙𝙞𝙨𝙩𝙤𝙧𝙩𝙞𝙤𝙣 𝙩𝙝𝙖𝙣 𝙩𝙝𝙚 𝙚𝙣𝙚𝙧𝙜𝙮 𝙛𝙞𝙚𝙡𝙙𝙨 𝙘𝙧𝙚𝙖𝙩𝙚𝙙 𝙗𝙮 𝙩𝙝𝙚 𝙢𝙖𝙩𝙚𝙧𝙞𝙖𝙡𝙨 𝙞𝙣 𝙩𝙝𝙚 𝙧𝙤𝙘𝙠
𝙬𝙝𝙞𝙘𝙝 𝙝𝙖𝙨 𝙗𝙚𝙚𝙣 𝙘𝙧𝙚𝙖𝙩𝙚𝙙, 𝙩𝙝𝙧𝙤𝙪𝙜𝙝 𝙩𝙝𝙤𝙪𝙜𝙝𝙩-𝙛𝙤𝙧𝙢, 𝙛𝙧𝙤𝙢 𝙩𝙝𝙤𝙪𝙜𝙝𝙩 𝙩𝙤 𝙛𝙞𝙣𝙞𝙩𝙚 𝙚𝙣𝙚𝙧𝙜𝙮 𝙖𝙣𝙙 𝙗𝙚𝙞𝙣𝙜𝙣𝙚𝙨𝙨 𝙞𝙣 𝙮𝙤𝙪𝙧, 𝙨𝙝𝙖𝙡𝙡 𝙬𝙚 𝙨𝙖𝙮, 𝙙𝙞𝙨𝙩𝙤𝙧𝙩𝙚𝙙 𝙧𝙚𝙛𝙡𝙚𝙘𝙩𝙞𝙤𝙣 𝙤𝙛 𝙩𝙝𝙚 𝙡𝙚𝙫𝙚𝙡 𝙤𝙛 𝙩𝙝𝙚 𝙩𝙝𝙤𝙪𝙜𝙝𝙩-𝙛𝙤𝙧𝙢.
𝐑𝐀: ฉันคือราห์ หากคุณสามารถเข้าใจแนวคิดของรูปทรงความคิด คุณจะตระหนักว่ารูปทรงความคิดนั้นมีความสม่ำเสมอในความบิดเบือนมากกว่าสนามพลังงานที่ถูกสร้างจากสสารที่อยู่ในหินที่ซึ่งถูกสร้างขึ้นผ่านรูปทรงความคิด จากความคิดสู่พลังงานที่มีขอบเขตและการดำรงอยู่ อาจกล่าวได้ว่า การสะท้อนที่บิดเบือนไปของระดับรูปทรงความคิดของคุณ*
*ผมจะลองพยายามอธิบายให้ฟังนะครับ ตรงนี้มันน่าจะเป็นความรู้ในเรื่องของควอนตั้มฟิสิกส์ :
สนามพลังงานเกิดจากการเคลื่อนที่ของอะตอมที่อยู่ในหิน และเราที่เป็นผู้สังเกตหิน การรับรู้ของเราส่งผลต่อหิน หรือการมีอยู่ดำรงอยู่ของเรา ส่งผลต่อรูปทรงทางโมเลกุลของหิน ประมาณว่าเรามี thought-form หรือรูปทรงทางความคิดว่าหินมันควรจะเป็นแบบนี้มันก็เลยเป็นแบบนี้ มีขอบเขตมีรูปทรงแบบนี้ หินที่เราเห็นเกิดไปจากการสะท้อนออกไปจากรูปทรงทางความคิดของเรา
ผมจำได้คร่าวๆว่า มันน่ามีการทดลองทางวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวกับการที่ว่า ผู้สังเกตจะส่งผลต่อคุณลักษณะของแสง ประมาณว่า พอแสงเนี่ยไม่มีใครมอง (รับรู้) มันจะมีคุณลักษณะเป็นคลื่นคือเป็นพลังงาน แต่พอมีคนไปมอง (รับรู้) มัน มันก็จะกลายเป็นไปมีคุณลักษณะเป็นอนุภาค คือจากพลังงานกลายเป็นสสาร เพราะมีคนไปรับรู้มัน ประมาณนั้นครับ
ตรงนี้คือจากแสงที่เป็นพลังงาน พอมีรูปทรงทางความคิดของเรา เข้าไปชักจูงมัน พลังงานนี้มันก็เลยกลายเป็นสสารก็คือกลายเป็นหิน หินเกิดขึ้นมาจากความว่างเปล่า จริงๆมันก็ไม่ได้ว่างนะครับเพราะว่าในทุกพื้นที่ในทุก space มันก็บรรจุอยู่เต็มไปด้วยพลังงานเต็มไปหมด แต่เราสามารถสื่อสารกับพลังงานที่มีสติปัญญาตรงนั้นได้ให้มันทำงานตามที่เราสั่งการด้วยความคิดได้ ก่อให้เกิดเป็นรูปทรงทางกายภาพขึ้นมาได้ ประมาณนั้นครับ
★★★ฉะนั้น จากมุมนี้ ทุกสิ่งในโลกทางกายภาพ (ไม่ใช่เฉพาะแค่หิน แต่ยังรวมถึงสิ่งมีชีวิตอื่นๆผู้คน สัตว์ สิ่งของ ฯลฯ แล้วจากที่ราห์บอก หินไม่ใช่สิ่งไม่มีชีวิต หินก็เป็นสิ่งมีชีวิตหรือรูปธรรมชีวิตชนิดหนึ่งเช่นกัน เช่นเดียวกับแร่ธาตุอื่นๆ ฯลฯ จะเรียกว่าพวกเขาเป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในมิติที่ 1 หรือความหนาแน่นที่ 1 ก็ได้) ก็สะท้อนออกไปจากรูปทรงความคิดของเรา #โลกทางกายภาพที่เป็นมายา ถูกพิสูจน์ได้ด้วยความรู้ทางควอนตั้มฟิสิกส์ นี้เอง
#ทุกๆสิ่งคือของปลอม (คือโลก matrix ) ที่ฉายหรือสะท้อนออกไปจากจิตสำนึกของคุณในทุกๆเช้าที่คุณ (จิตคุณ) ตื่นขึ้นมา 😬😁
𝐌𝐚𝐲 𝐰𝐞 𝐚𝐧𝐬𝐰𝐞𝐫 𝐲𝐨𝐮 𝐢𝐧 𝐚𝐧𝐲 𝐦𝐨𝐫𝐞 𝐡𝐞𝐥𝐩𝐟𝐮𝐥 𝐰𝐚𝐲?
เราสามารถตอบคุณในทางที่เป็นประโยชน์มากกว่านี้ได้หรือไม่❓
[𝟑.𝟏𝟒] 𝐐 𝐔 𝐄 𝐒 𝐓 𝐈 𝐎 𝐍 𝐄 𝐑 : 𝐓𝐡𝐢𝐬 𝐢𝐬 𝐬𝐥𝐢𝐠𝐡𝐭𝐥𝐲 𝐭𝐫𝐢𝐯𝐢𝐚𝐥, 𝐛𝐮𝐭 𝐈 𝐰𝐚𝐬 𝐰𝐨𝐧𝐝𝐞𝐫𝐢𝐧𝐠 𝐰𝐡𝐲, 𝐢𝐧 𝐭𝐡𝐚𝐭 𝐜𝐚𝐬𝐞, 𝐭𝐡𝐞 𝐩𝐲𝐫𝐚𝐦𝐢𝐝 𝐰𝐚𝐬 𝐦𝐚𝐝𝐞 𝐨𝐟 𝐦𝐚𝐧𝐲 𝐛𝐥𝐨𝐜𝐤𝐬 𝐫𝐚𝐭𝐡𝐞𝐫 𝐭𝐡𝐚𝐧 𝐭𝐡𝐞 𝐰𝐡𝐨𝐥𝐞 𝐭𝐡𝐢𝐧𝐠 𝐛𝐞𝐢𝐧𝐠 𝐜𝐫𝐞𝐚𝐭𝐞𝐝 𝐚𝐭 𝐨𝐧𝐜𝐞.
[3.14] 𝐐: นี่เป็นเรื่องเล็กน้อย* แต่ผมสงสัยว่าทำไมในกรณีนั้น ปิรามิดจึงถูกสร้างจากหลายบล็อกแทนที่จะสร้างทั้งหมดขึ้นในคราวเดียว**
(*เดี๋ยวก่อนดอน นี่มันเรื่องเล็กน้อยตรงไหนครับ 😆😆😆
**เป็นหินขนาดยักษ์รูปทรง 3 เหลี่ยม ก้อนใหญ่ก้อนเดียวไปเลย อะไรแบบนั้นครับ)
𝙍𝘼 : 𝙄 𝙖𝙢 𝙍𝙖. 𝙏𝙝𝙚𝙧𝙚 𝙞𝙨 𝙖 𝙡𝙖𝙬 𝙬𝙝𝙞𝙘𝙝 𝙬𝙚 𝙗𝙚𝙡𝙞𝙚𝙫𝙚 𝙩𝙤 𝙗𝙚 𝙤𝙣𝙚 𝙤𝙛 𝙩𝙝𝙚 𝙢𝙤𝙧𝙚 𝙨𝙞𝙜𝙣𝙞𝙛𝙞𝙘𝙖𝙣𝙩 𝙥𝙧𝙞𝙢𝙖𝙡 𝙙𝙞𝙨𝙩𝙤𝙧𝙩𝙞𝙤𝙣𝙨 𝙤𝙛 𝙩𝙝𝙚 𝙇𝙖𝙬 𝙤𝙛 𝙊𝙣𝙚. 𝙏𝙝𝙖𝙩 𝙞𝙨 𝙩𝙝𝙚 𝙇𝙖𝙬 𝙤𝙛 𝘾𝙤𝙣𝙛𝙪𝙨𝙞𝙤𝙣. 𝙔𝙤𝙪 𝙝𝙖𝙫𝙚 𝙘𝙖𝙡𝙡𝙚𝙙 𝙩𝙝𝙞𝙨 𝙩𝙝𝙚 𝙇𝙖𝙬 𝙤𝙛 𝙁𝙧𝙚𝙚 𝙒𝙞𝙡𝙡.
𝐑𝐀: ฉันคือราห์ มีกฎหนึ่งที่เราเชื่อว่าเป็นหนึ่งในความบิดเบือนขั้นพื้นฐานที่สำคัญที่สุดของกฎแห่งความเป็นหนึ่ง นั่นคือกฎแห่งความสับสน คุณเรียกกฎนี้ว่ากฎแห่งเจตจำนงอิสระ*
(*ได้ความรู้ใหม่แล้วนะครับ ตรงนี้)
𝙒𝙚 𝙬𝙞𝙨𝙝𝙚𝙙 𝙩𝙤 𝙢𝙖𝙠𝙚 𝙖𝙣 𝙝𝙚𝙖𝙡𝙞𝙣𝙜 𝙢𝙖𝙘𝙝𝙞𝙣𝙚, 𝙤𝙧 𝙩𝙞𝙢𝙚/𝙨𝙥𝙖𝙘𝙚 𝙧𝙖𝙩𝙞𝙤 𝙘𝙤𝙢𝙥𝙡𝙚𝙭 𝙬𝙝𝙞𝙘𝙝 𝙬𝙖𝙨 𝙖𝙨 𝙚𝙛𝙛𝙞𝙘𝙖𝙘𝙞𝙤𝙪𝙨 𝙖𝙨 𝙥𝙤𝙨𝙨𝙞𝙗𝙡𝙚.
𝙃𝙤𝙬𝙚𝙫𝙚𝙧, 𝙬𝙚 𝙙𝙞𝙙 𝙣𝙤𝙩 𝙙𝙚𝙨𝙞𝙧𝙚 𝙩𝙤 𝙖𝙡𝙡𝙤𝙬 𝙩𝙝𝙚 𝙢𝙮𝙨𝙩𝙚𝙧𝙮 𝙩𝙤 𝙗𝙚 𝙥𝙚𝙣𝙚𝙩𝙧𝙖𝙩𝙚𝙙 𝙗𝙮 𝙩𝙝𝙚 𝙥𝙚𝙤𝙥𝙡𝙚𝙨 𝙞𝙣 𝙨𝙪𝙘𝙝 𝙖 𝙬𝙖𝙮 𝙩𝙝𝙖𝙩 𝙬𝙚 𝙗𝙚𝙘𝙖𝙢𝙚 𝙬𝙤𝙧𝙨𝙝𝙞𝙥𝙚𝙙 𝙖𝙨 𝙗𝙪𝙞𝙡𝙙𝙚𝙧𝙨 𝙤𝙛 𝙖 𝙢𝙞𝙧𝙖𝙘𝙪𝙡𝙤𝙪𝙨 𝙥𝙮𝙧𝙖𝙢𝙞𝙙. 𝙏𝙝𝙪𝙨 𝙞𝙩 𝙖𝙥𝙥𝙚𝙖𝙧𝙨 𝙩𝙤 𝙗𝙚 𝙢𝙖𝙙𝙚, 𝙣𝙤𝙩 𝙩𝙝𝙤𝙪𝙜𝙝𝙩.
เราปรารถนาที่จะสร้างเครื่องมือในการบำบัด หรืออัตราส่วนทางเวลา/พื้นที่ว่างเชิงซ้อนที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด อย่างไรก็ตาม เราไม่ประสงค์ให้ความลึกลับถูกเจาะทะลุโดยผู้คนในลักษณะที่ทำให้เราถูกบูชาในฐานะ (เทพ) ผู้สร้างปิรามิดอันน่าอัศจรรย์ ดังนั้นจึงปรากฏราวกับว่ามันถูกสร้างขึ้น ไม่ใช่ถูกคิดขึ้น*
*คิดภาพออกเลยครับ นี่ขนาดว่า เราเห็นปิรามิด ถูกสร้างขึ้นมาจากหินก้อนใหญ่ยักษ์ เป็นก้อนๆมาต่อๆกันขึ้นไปเป็นจำนวนมาก จนเป็นรูปทรงพีระมิด พวกเรายังตะลึงเลย เรายังไม่คิดว่ามนุษย์ในยุคนั้นจะสร้างอะไรแบบนี้ขึ้นมาได้ ถ้าเจอแบบเป็นหินสามเหลี่ยมก้อนใหญ่ยักษ์เพียงก้อนเดียว จบข่าวครับ มันจะคิดไปในแนวทางอื่นไม่ได้เลย ยังไงมันก็ต้องคิดว่าเป็นเทพเจ้าสร้างขึ้นมาแน่นอน
ยิ่งมนุษย์ในยุคนั้นด้วย มันก็จะกลายเป็นความงมงายในอำนาจ อำนาจอันยิ่งใหญ่ ที่ทำให้คนบางกลุ่มอยากยึดอำนาตแบบนั้นไว้ เพื่อที่จะนำไปใช้ในการครอบงำผู้คน ทำให้ผู้คนกลายเป็นทาส ทั้งๆที่ราห์ก็บอกว่าถ้าคุณเข้าใจในเรื่องของกฎแห่งความเป็นหนึ่งคุณก็สามารถสร้างอะไรพวกนี้ขึ้นมาได้ด้วยการร่วมแรงร่วมใจกันของกลุ่มความคิดของผู้คนในสังคม เพราะคุณเข้าใจวิธีในการทำงานของจักรวาล ของกฎแห่งความเป็นหนึ่ง อะไรประมาณนั้นครับ
[𝟑.𝟏𝟓] 𝐐 𝐔 𝐄 𝐒 𝐓 𝐈 𝐎 𝐍 𝐄 𝐑𝐄 𝐑 : 𝐖𝐞𝐥𝐥, 𝐭𝐡𝐞𝐧 𝐲𝐨𝐮 𝐬𝐩𝐞𝐚𝐤 𝐨𝐟 𝐭𝐡𝐞 𝐩𝐲𝐫𝐚𝐦𝐢𝐝—𝐞𝐬𝐩𝐞𝐜𝐢𝐚𝐥𝐥𝐲 𝐭𝐡𝐞 𝐆𝐫𝐞𝐚𝐭 𝐏𝐲𝐫𝐚𝐦𝐢𝐝, 𝐈 𝐚𝐬𝐬𝐮𝐦𝐞—𝐚𝐬 𝐩𝐫𝐢𝐦𝐚𝐫𝐢𝐥𝐲 𝐚 𝐡𝐞𝐚𝐥𝐢𝐧𝐠 𝐦𝐚𝐜𝐡𝐢𝐧𝐞, 𝐚𝐧𝐝 𝐚𝐥𝐬𝐨 𝐬𝐩𝐨𝐤𝐞 𝐨𝐟 𝐢𝐭 𝐚𝐬 𝐚 𝐝𝐞𝐯𝐢𝐜𝐞 𝐟𝐨𝐫 𝐢𝐧𝐢𝐭𝐢𝐚𝐭𝐢𝐨𝐧. 𝐀𝐫𝐞 𝐭𝐡𝐞𝐬𝐞 𝐨𝐧𝐞 𝐚𝐧𝐝 𝐭𝐡𝐞 𝐬𝐚𝐦𝐞 𝐜𝐨𝐧𝐜𝐞𝐩𝐭𝐬?
[3.15] 𝐐 : เอาล่า คุณพูดถึงปิรามิด—โดยเฉพาะมหาปิรามิด ผมคาดว่า—ปิรามิดโดยหลักแล้วถูกใช้เป็นเครื่องมือในการบำบัด และยังพูดถึงมันว่าเป็นอุปกรณ์สำหรับการเริ่มต้นการจุดชนวน (*ในการรับข้อมูลและพลังของกฎแห่งความเป็นหนึ่ง) แนวคิดทั้งสองนี้ (*ที่เป็นเหตุในการสร้างปิรามิด) เหมือนกันหรือไม่❓
𝙍𝘼 : 𝙏𝙝𝙚𝙮 𝙖𝙧𝙚 𝙥𝙖𝙧𝙩 𝙤𝙛 𝙤𝙣𝙚 𝙘𝙤𝙢𝙥𝙡𝙚𝙭 𝙤𝙛 𝙡𝙤𝙫𝙚/𝙡𝙞𝙜𝙝𝙩 𝙞𝙣𝙩𝙚𝙣𝙩/𝙨𝙝𝙖𝙧𝙞𝙣𝙜. 𝙏𝙤 𝙪𝙨𝙚 𝙩𝙝𝙚 𝙝𝙚𝙖𝙡𝙞𝙣𝙜 𝙖𝙨𝙥𝙚𝙘𝙩𝙨 𝙥𝙧𝙤𝙥𝙚𝙧𝙡𝙮 𝙞𝙩 𝙬𝙖𝙨 𝙞𝙢𝙥𝙤𝙧𝙩𝙖𝙣𝙩 𝙩𝙤 𝙝𝙖𝙫𝙚 𝙖 𝙥𝙪𝙧𝙞𝙛𝙞𝙚𝙙 𝙖𝙣𝙙 𝙙𝙚𝙙𝙞𝙘𝙖𝙩𝙚𝙙 𝙘𝙝𝙖𝙣𝙣𝙚𝙡, 𝙤𝙧 𝙚𝙣𝙚𝙧𝙜𝙞𝙯𝙚𝙧, 𝙛𝙤𝙧 𝙩𝙝𝙚 𝙡𝙤𝙫𝙚/𝙡𝙞𝙜𝙝𝙩 𝙤𝙛 𝙩𝙝𝙚 𝙄𝙣𝙛𝙞𝙣𝙞𝙩𝙚 𝘾𝙧𝙚𝙖𝙩𝙤𝙧 𝙩𝙤 𝙛𝙡𝙤𝙬 𝙩𝙝𝙧𝙤𝙪𝙜𝙝;
𝙩𝙝𝙪𝙨 𝙩𝙝𝙚 𝙞𝙣𝙞𝙩𝙞𝙖𝙩𝙤𝙧𝙮 𝙢𝙚𝙩𝙝𝙤𝙙 𝙬𝙖𝙨 𝙣𝙚𝙘𝙚𝙨𝙨𝙖𝙧𝙮 𝙩𝙤 𝙥𝙧𝙚𝙥𝙖𝙧𝙚 𝙩𝙝𝙚 𝙢𝙞𝙣𝙙, 𝙩𝙝𝙚 𝙗𝙤𝙙𝙮, 𝙖𝙣𝙙 𝙩𝙝𝙚 𝙨𝙥𝙞𝙧𝙞𝙩 𝙛𝙤𝙧 𝙨𝙚𝙧𝙫𝙞𝙘𝙚 𝙞𝙣 𝙩𝙝𝙚 𝘾𝙧𝙚𝙖𝙩𝙤𝙧’𝙨 𝙬𝙤𝙧𝙠. 𝙏𝙝𝙚 𝙩𝙬𝙤 𝙖𝙧𝙚 𝙞𝙣𝙩𝙚𝙜𝙧𝙖𝙡.
𝐑𝐀: สิ่งเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของความซับซ้อนของความรัก/เจตจำนงแห่งแสง/การแบ่งปัน เพื่อนำมาใช้ในแง่มุมของการบำบัดรักษาอย่างเหมาะสม จึงจำเป็นต้องมีช่องทางการติดต่อที่บริสุทธิ์และอุทิศตน (*ผู้รับการติดต่อ) หรือแหล่งพลัง เพื่อให้ความรัก/แสงสว่างของพระผู้สร้างอันไร้ขอบเขตไหลผ่าน
ดังนั้นวิธีการเริ่มเข้าสู่พิธีการติดต่อจึงมีความจำเป็นเพื่อเตรียมจิต กาย และจิตวิญญาณสำหรับการรับใช้ในงานของพระผู้สร้าง ทั้งสองสิ่งนี้เป็นสิ่งจำเป็นและจะขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไปไม่ได้ มันถึงจะสมบูรณ์ (ในการรับกฎแห่งความเป็นหนึ่ง)
[3.16] 𝐐: รูปทรงของตัวปิรามิดเอง... นี่เป็นฟังก์ชันหลักในกระบวนการเริ่มเข้าสู่พิธีการติดต่อใช่หรือไม่❓
𝙍𝘼 : 𝙏𝙝𝙞𝙨 𝙞𝙨 𝙖 𝙡𝙖𝙧𝙜𝙚 𝙦𝙪𝙚𝙨𝙩𝙞𝙤𝙣. 𝙒𝙚 𝙛𝙚𝙚𝙡 𝙩𝙝𝙖𝙩 𝙬𝙚 𝙨𝙝𝙖𝙡𝙡 𝙗𝙚𝙜𝙞𝙣 𝙖𝙣𝙙 𝙖𝙨𝙠 𝙮𝙤𝙪 𝙩𝙤 𝙧𝙚-𝙚𝙫𝙖𝙡𝙪𝙖𝙩𝙚 𝙖𝙣𝙙 𝙖𝙨𝙠 𝙛𝙪𝙧𝙩𝙝𝙚𝙧 𝙖𝙩 𝙖 𝙡𝙖𝙩𝙚𝙧 𝙨𝙚𝙨𝙨𝙞𝙤𝙣 𝙩𝙝𝙞𝙨 𝙨𝙤𝙢𝙚𝙬𝙝𝙖𝙩, 𝙨𝙝𝙖𝙡𝙡 𝙬𝙚 𝙨𝙖𝙮, 𝙞𝙣𝙛𝙤𝙧𝙢𝙖𝙩𝙞𝙫𝙚 𝙥𝙤𝙞𝙣𝙩.
𝐑𝐀: นี่เป็นคำถามใหญ่ เราคิดว่าเราจะเริ่มและขอให้คุณประเมินผลของคำถามใหม่และถามต่อในการติดต่อครั้งถัดไปสำหรับประเด็นที่มีข้อมูลให้กล่าวถึงอยู่มากมายนี้
𝙏𝙤 𝙗𝙚𝙜𝙞𝙣, 𝙩𝙝𝙚𝙧𝙚 𝙖𝙧𝙚 𝙩𝙬𝙤 𝙢𝙖𝙞𝙣 𝙛𝙪𝙣𝙘𝙩𝙞𝙤𝙣𝙨 𝙤𝙛 𝙩𝙝𝙚 𝙥𝙮𝙧𝙖𝙢𝙞𝙙 𝙞𝙣 𝙧𝙚𝙡𝙖𝙩𝙞𝙤𝙣 𝙩𝙤 𝙩𝙝𝙚 𝙞𝙣𝙞𝙩𝙞𝙖𝙩𝙤𝙧𝙮 𝙥𝙧𝙤𝙘𝙚𝙙𝙪𝙧𝙚𝙨. 𝙊𝙣𝙚 𝙝𝙖𝙨 𝙩𝙤 𝙙𝙤 𝙬𝙞𝙩𝙝 𝙩𝙝𝙚 𝙗𝙤𝙙𝙮.
𝘽𝙚𝙛𝙤𝙧𝙚 𝙩𝙝𝙚 𝙗𝙤𝙙𝙮 𝙘𝙖𝙣 𝙗𝙚 𝙞𝙣𝙞𝙩𝙞𝙖𝙩𝙚𝙙, 𝙩𝙝𝙚 𝙢𝙞𝙣𝙙 𝙢𝙪𝙨𝙩 𝙗𝙚 𝙞𝙣𝙞𝙩𝙞𝙖𝙩𝙚𝙙. 𝙏𝙝𝙞𝙨 𝙞𝙨 𝙩𝙝𝙚 𝙥𝙤𝙞𝙣𝙩 𝙖𝙩 𝙬𝙝𝙞𝙘𝙝 𝙢𝙤𝙨𝙩 𝙖𝙙𝙚𝙥𝙩𝙨 𝙤𝙛 𝙮𝙤𝙪𝙧 𝙥𝙧𝙚𝙨𝙚𝙣𝙩 𝙘𝙮𝙘𝙡𝙚 𝙛𝙞𝙣𝙙 𝙩𝙝𝙚𝙞𝙧 𝙢𝙞𝙣𝙙/𝙗𝙤𝙙𝙮/𝙨𝙥𝙞𝙧𝙞𝙩 𝙘𝙤𝙢𝙥𝙡𝙚𝙭𝙚𝙨 𝙙𝙞𝙨𝙩𝙤𝙧𝙩𝙚𝙙 𝙛𝙧𝙤𝙢.
เริ่มกันที่ มี 2 ฟังก์ชันหลักของปิรามิดที่เกี่ยวข้องกับขั้นตอนการเริ่มเข้าสู่การติดต่อเพื่อรับข้อมูล (ความรู้ในกฎแห่งความเป็นหนึ่ง) 1 ใน 2 ฟังก์ชั่นหลักนั้นเกี่ยวข้องกับร่างกาย ก่อนที่ร่างกายจะเริ่มเข้าสู่การติดต่อ จิตใจต้องเริ่มเข้าสู่การติดต่อก่อน นี่คือจุดที่บรรดาผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่ในวงการปัจจุบันของคุณพบว่าจิต/กาย/จิตวิญญาณเชิงซ้อนของพวกเขาบิดเบือนไป (ผิดเพี้ยนไปจากปกติที่เป็นอยู่)*
(*อีก 1 ฟังก์ชั่นหลักของพีระมิด คือ เครื่องมือที่ใช้ในการบำบัดรักษาอย่างที่ราห์กล่าวไว้ก่อนหน้า ซึ่งผมก็ยังไม่แน่ใจว่า เป็นการบำบัดรักษาความสมดุลของของโลกหรือเปล่า เพราะโลกหากมองในแง่ของการที่ผมวิเคราะห์ไว้ก่อนหน้านี้ในเรื่องของควอนตั้มฟิสิกส์อ่ะนะครับ #โลกก็ถือว่าเป็นสิ่งมีชีวิตเช่นกัน)
𝙒𝙝𝙚𝙣 𝙩𝙝𝙚 𝙘𝙝𝙖𝙧𝙖𝙘𝙩𝙚𝙧 𝙖𝙣𝙙 𝙥𝙚𝙧𝙨𝙤𝙣𝙖𝙡𝙞𝙩𝙮 𝙩𝙝𝙖𝙩 𝙞𝙨 𝙩𝙝𝙚 𝙩𝙧𝙪𝙚 𝙞𝙙𝙚𝙣𝙩𝙞𝙩𝙮 𝙤𝙛 𝙩𝙝𝙚 𝙢𝙞𝙣𝙙 𝙝𝙖𝙨 𝙗𝙚𝙚𝙣 𝙙𝙞𝙨𝙘𝙤𝙫𝙚𝙧𝙚𝙙, 𝙩𝙝𝙚 𝙗𝙤𝙙𝙮 𝙩𝙝𝙚𝙣 𝙢𝙪𝙨𝙩 𝙗𝙚 𝙠𝙣𝙤𝙬𝙣 𝙞𝙣 𝙚𝙖𝙘𝙝 𝙖𝙣𝙙 𝙚𝙫𝙚𝙧𝙮 𝙬𝙖𝙮.
𝙏𝙝𝙪𝙨, 𝙩𝙝𝙚 𝙫𝙖𝙧𝙞𝙤𝙪𝙨 𝙛𝙪𝙣𝙘𝙩𝙞𝙤𝙣𝙨 𝙤𝙛 𝙩𝙝𝙚 𝙗𝙤𝙙𝙮 𝙣𝙚𝙚𝙙 𝙪𝙣𝙙𝙚𝙧𝙨𝙩𝙖𝙣𝙙𝙞𝙣𝙜 𝙖𝙣𝙙 𝙘𝙤𝙣𝙩𝙧𝙤𝙡 𝙬𝙞𝙩𝙝 𝙙𝙚𝙩𝙖𝙘𝙝𝙢𝙚𝙣𝙩. 𝙏𝙝𝙚 𝙛𝙞𝙧𝙨𝙩 𝙪𝙨𝙚 𝙤𝙛 𝙩𝙝𝙚 𝙥𝙮𝙧𝙖𝙢𝙞𝙙, 𝙩𝙝𝙚𝙣, 𝙞𝙨 𝙩𝙝𝙚 𝙜𝙤𝙞𝙣𝙜 𝙙𝙤𝙬𝙣 𝙞𝙣𝙩𝙤 𝙩𝙝𝙚 𝙥𝙮𝙧𝙖𝙢𝙞𝙙 𝙛𝙤𝙧 𝙥𝙪𝙧𝙥𝙤𝙨𝙚𝙨 𝙤𝙛 𝙙𝙚𝙥𝙧𝙞𝙫𝙖𝙩𝙞𝙤𝙣 𝙤𝙛 𝙨𝙚𝙣𝙨𝙤𝙧𝙮 𝙞𝙣𝙥𝙪𝙩 𝙨𝙤 𝙩𝙝𝙖𝙩 𝙩𝙝𝙚 𝙗𝙤𝙙𝙮 𝙢𝙖𝙮, 𝙞𝙣 𝙖 𝙨𝙚𝙣𝙨𝙚, 𝙗𝙚 𝙙𝙚𝙖𝙙 𝙖𝙣𝙙 𝙖𝙣𝙤𝙩𝙝𝙚𝙧 𝙡𝙞𝙛𝙚 𝙗𝙚𝙜𝙞𝙣.
เมื่อลักษณะและบุคลิกที่เป็นอัตลักษณ์ที่แท้จริงของจิตใจถูกค้นพบ ร่างกายจะต้องถูกรู้จักในทุกๆ ด้าน ดังนั้น หน้าที่ต่างๆ ของร่างกายจำเป็นต้องถูกทำความเข้าใจและถูกควบคุมด้วยความเป็นกลาง (ปล่อยวาง/ไม่ยึดติด) การใช้ปิรามิดครั้งแรก จึงเป็นการลงไปในปิรามิดเพื่อวัตถุประสงค์ในการตัดการรับรู้ทางประสาทสัมผัส เพื่อให้ร่างกาย ณ ที่นั้น ในทางหนึ่งอาจกล่าวได้ว่าตายลง และชีวิตใหม่ได้เริ่มต้นขึ้น*
(*ประมาณว่า ไม่รู้สึกตัวอย่างสมบูรณ์ ไม่รับรู้ถึงโลกทางกายภาพอย่างสมบูรณ์ อาจกล่าวได้ว่าคนที่รับการสื่อสารหรือการแชนแนล จิตได้ตายจากออกจากระนาบที่กายเนื้ออยู่ เพื่อเข้าสู่อีกระนาบหนึ่งเพื่อรับข้อมูลจาก EB ในที่นี้ก็คือ ราห์)
𝙒𝙚 𝙖𝙙𝙫𝙞𝙨𝙚, 𝙖𝙩 𝙩𝙝𝙞𝙨 𝙩𝙞𝙢𝙚, 𝙖𝙣𝙮 𝙣𝙚𝙘𝙚𝙨𝙨𝙖𝙧𝙮 𝙦𝙪𝙚𝙨𝙩𝙞𝙤𝙣𝙨 𝙖𝙣𝙙 𝙖 𝙛𝙖𝙞𝙧𝙡𝙮 𝙧𝙖𝙥𝙞𝙙 𝙚𝙣𝙙𝙞𝙣𝙜 𝙤𝙛 𝙩𝙝𝙞𝙨 𝙨𝙚𝙨𝙨𝙞𝙤𝙣. 𝙃𝙖𝙫𝙚 𝙮𝙤𝙪 𝙖𝙣𝙮 𝙦𝙪𝙚𝙧𝙮 𝙖𝙩 𝙩𝙝𝙞𝙨 𝙩𝙞𝙢𝙚/𝙨𝙥𝙖𝙘𝙚?
ในขณะนี้ เราขอแนะนำว่าให้ถามคำถามที่จำเป็นและการสิ้นสุดการติดต่อนี้อย่างรวดเร็ว คุณมีคำถามในช่วงเวลา/พื้นที่ว่างนี้อีกหรือไม่❓
[𝟑.𝟏𝟕] 𝐐 𝐔 𝐄 𝐒 𝐓 𝐈 𝐎 𝐍 𝐄 𝐑 : 𝐓𝐡𝐞 𝐨𝐧𝐥𝐲 𝐪𝐮𝐞𝐬𝐭𝐢𝐨𝐧 𝐢𝐬, 𝐢𝐬 𝐭𝐡𝐞𝐫𝐞 𝐚𝐧𝐲𝐭𝐡𝐢𝐧𝐠 𝐭𝐡𝐚𝐭 𝐰𝐞 𝐡𝐚𝐯𝐞 𝐝𝐨𝐧𝐞 𝐰𝐫𝐨𝐧𝐠, 𝐨𝐫 𝐚𝐧𝐲𝐭𝐡𝐢𝐧𝐠 𝐭𝐡𝐚𝐭 𝐰𝐞 𝐜𝐨𝐮𝐥𝐝 𝐝𝐨 𝐭𝐨 𝐦𝐚𝐤𝐞 𝐭𝐡𝐞 𝐢𝐧𝐬𝐭𝐫𝐮𝐦𝐞𝐧𝐭 𝐦𝐨𝐫𝐞 𝐜𝐨𝐦𝐟𝐨𝐫𝐭𝐚𝐛𝐥𝐞?
[3.17] 𝐐: คำถามเดียวคือ เราทำอะไรผิดหรือไม่ หรือมีอะไรที่เราสามารถทำเพื่อให้เครื่องมือรู้สึกสบายมากขึ้นได้หรือไม่❓
𝙍𝘼 : 𝙒𝙚 𝙨𝙘𝙖𝙣 𝙩𝙝𝙞𝙨 𝙞𝙣𝙨𝙩𝙧𝙪𝙢𝙚𝙣𝙩.
𝐑𝐀: เราสแกนเครื่องมือนี้
𝙏𝙝𝙞𝙨 𝙞𝙣𝙨𝙩𝙧𝙪𝙢𝙚𝙣𝙩 𝙝𝙖𝙨 𝙗𝙚𝙚𝙣 𝙢𝙪𝙘𝙝 𝙖𝙞𝙙𝙚𝙙 𝙗𝙮 𝙩𝙝𝙚𝙨𝙚 𝙥𝙧𝙚𝙘𝙖𝙪𝙩𝙞𝙤𝙣𝙨. 𝙒𝙚 𝙨𝙪𝙜𝙜𝙚𝙨𝙩 𝙤𝙣𝙡𝙮 𝙨𝙤𝙢𝙚 𝙖𝙩𝙩𝙚𝙣𝙩𝙞𝙤𝙣 𝙩𝙤 𝙩𝙝𝙚 𝙣𝙚𝙘𝙠 𝙬𝙝𝙞𝙘𝙝 𝙨𝙚𝙚𝙢𝙨 𝙞𝙣 𝙩𝙝𝙞𝙨 𝙗𝙤𝙙𝙮-𝙙𝙞𝙨𝙩𝙤𝙧𝙩𝙞𝙤𝙣 𝙩𝙤 𝙗𝙚 𝙙𝙞𝙨𝙩𝙤𝙧𝙩𝙚𝙙 𝙞𝙣 𝙩𝙝𝙚 𝙖𝙧𝙚𝙖 𝙤𝙛 𝙨𝙩𝙧𝙚𝙣𝙜𝙩𝙝/𝙬𝙚𝙖𝙠𝙣𝙚𝙨𝙨. 𝙈𝙤𝙧𝙚 𝙨𝙪𝙥𝙥𝙤𝙧𝙩, 𝙩𝙝𝙚𝙧𝙚𝙛𝙤𝙧𝙚, 𝙩𝙤 𝙩𝙝𝙚 𝙣𝙚𝙘𝙠 𝙖𝙧𝙚𝙖 𝙢𝙖𝙮 𝙗𝙚 𝙖𝙣 𝙖𝙞𝙙.
เครื่องมือนี้ได้รับความช่วยเหลืออย่างมากจากการระมัดระวังเหล่านี้ เราขอแนะนำเพียงให้ความสนใจกับคอ ซึ่งดูเหมือนจะบิดไปอยู่ในพื้นที่ของความแข็งแรง/ความอ่อนแอของร่างกายที่บิดเบือนนี้ การรองรับบริเวณคอที่มากขึ้นอาจเป็นประโยชน์
[3.18] 𝐐: เราควรให้เธอดื่มน้ำจากถ้วยที่อยู่ข้างหลังศีรษะหลังจากที่เราชาร์จพลังแล้ว หรือควรใช้แก้วน้ำอื่น❓
𝙍𝘼 : 𝙏𝙝𝙖𝙩 𝙖𝙣𝙙 𝙤𝙣𝙡𝙮 𝙩𝙝𝙖𝙩 𝙘𝙝𝙖𝙡𝙞𝙘𝙚 𝙨𝙝𝙖𝙡𝙡 𝙗𝙚 𝙩𝙝𝙚 𝙢𝙤𝙨𝙩 𝙗𝙚𝙣𝙚𝙛𝙞𝙘𝙞𝙖𝙡 𝙖𝙨 𝙩𝙝𝙚 𝙫𝙞𝙧𝙜𝙞𝙣 𝙢𝙖𝙩𝙚𝙧𝙞𝙖𝙡 𝙡𝙞𝙫𝙞𝙣𝙜 𝙞𝙣 𝙩𝙝𝙚 𝙘𝙝𝙖𝙡𝙞𝙘𝙚 𝙖𝙘𝙘𝙚𝙥𝙩𝙨, 𝙧𝙚𝙩𝙖𝙞𝙣𝙨, 𝙖𝙣𝙙 𝙧𝙚𝙨𝙥𝙤𝙣𝙙𝙨 𝙩𝙤 𝙩𝙝𝙚 𝙡𝙤𝙫𝙚 𝙫𝙞𝙗𝙧𝙖𝙩𝙞𝙤𝙣 𝙖𝙘𝙩𝙞𝙫𝙖𝙩𝙚𝙙 𝙗𝙮 𝙮𝙤𝙪𝙧 𝙗𝙚𝙞𝙣𝙜𝙣𝙚𝙨𝙨.
𝐑𝐀: เพียงถ้วยนั้นเท่านั้นที่จะเป็นประโยชน์มากที่สุด เพราะวัสดุบริสุทธิ์ที่อยู่ในถ้วยยอมรับ กักเก็บ และตอบสนองต่อการสั่นสะเทือนแห่งความรักที่กระตุ้นโดยการดำรงอยู่ของคุณ*
(*วัสดุหรือวัตถุที่บริสุทธิ์ ปราศจากสิ่งเจือปน ก็มีความสำคัญเหมือนกันสินะ เงินบริสุทธิ์ ทองเหลืองบริสุทธิ์ ทองแดงบริสุทธิ์ หรือแร่ธาตุที่บริสุทธิ์ที่ไม่มีสิ่งเจือปนอื่นๆ อืมมมมมมม.....🤔🤔🤔)
𝙄 𝙖𝙢 𝙍𝙖. 𝙄 𝙬𝙞𝙡𝙡 𝙣𝙤𝙬 𝙡𝙚𝙖𝙫𝙚 𝙩𝙝𝙞𝙨 𝙜𝙧𝙤𝙪𝙥 𝙧𝙚𝙟𝙤𝙞𝙘𝙞𝙣𝙜 𝙞𝙣 𝙩𝙝𝙚 𝙥𝙤𝙬𝙚𝙧 𝙖𝙣𝙙 𝙥𝙚𝙖𝙘𝙚 𝙤𝙛 𝙩𝙝𝙚 𝙊𝙣𝙚 𝘾𝙧𝙚𝙖𝙩𝙤𝙧. 𝘼𝙙𝙤𝙣𝙖𝙞.
ฉันคือราห์ บัดนี้ฉันจะออกไปจากกลุ่มนี้โดยชื่นชมในพลังและสันติแห่งพระผู้สร้างหนึ่งเดียว อาโดไน.
➖➖➖(((จบ session 3️⃣)))➖➖➖

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา