5 ม.ค. เวลา 15:00 • ข่าว

ความท้าทายของความรุนแรงทางการเมืองในเมียนมา

การขยายพื้นที่ของกลุ่มต่อต้านในเมียนมา
ปี 2024 นับเป็นปีแห่งความก้าวหน้าทางยุทธศาสตร์ของกลุ่มต่อต้านรัฐบาลทหารในเมียนมา โดยกลุ่ม Brotherhood Alliance สามารถยึดครองพื้นที่สำคัญหลายแห่งได้ แม้ว่ากองทัพเมียนมาจะพยายามตอบโต้แต่ไม่สามารถหยุดยั้งความก้าวหน้าของกลุ่มนี้ได้ หนึ่งในความสำเร็จที่สำคัญคือการเข้ายึดกองบัญชาการทหารภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (RMC) ในเมืองล่าเสี้ยวเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ซึ่งถือเป็นชัยชนะเชิงสัญลักษณ์และยุทธศาสตร์ที่ส่งผลกระทบต่อขวัญกำลังใจของทั้งฝ่ายกองทัพและประชาชน
โดยกลุ่ม Brotherhood Alliance ประกอบด้วย 3 องค์กรหลัก ได้แก่
  • 1.
    พรรคเพื่อความจริงและความยุติธรรมเมียนมา/องค์กรการเมืองของกองทัพโกกั้ง (MNTJP/MNDAA)
  • 2.
    แนวร่วมปลดปล่อยแห่งรัฐปะหล่อง/องค์กรการเมืองของกองทัพปลดปล่อยแห่งชาติตะอ่าง (PSLF/TNLA)
  • 3.
    สหสันนิบาตแห่งอาระกัน/องค์กรการเมืองของกองทัพอาระกัน (ULA/AA)
กลุ่มดังกล่าวเริ่มปฏิบัติการ Operation 1027 อีกครั้งในเดือนมิถุนายน 2024 หลังจากหยุดยิงชั่วคราวตามข้อตกลงไห่เก็ง (Haigen) ที่จีนเป็นผู้ประสานงานในเดือนมกราคม ความสำเร็จในการยึดเมืองล่าเสี้ยวในรัฐฉานตอนเหนือ และเมืองโมโก ศูนย์กลางเหมืองทับทิมในเขตมัณฑะเลย์ ส่งผลกระทบทางยุทธศาสตร์และสร้างแรงกระเพื่อมทางการเมืองครั้งใหญ่ ประชาชนในโมโกต่างเฉลิมฉลองการมาถึงของกลุ่มต่อต้าน ขณะที่ฝ่ายสนับสนุนรัฐบาลทหารแสดงความไม่พอใจและเรียกร้องให้ผู้นำกองทัพลาออก
การรุกคืบของกลุ่มต่อต้านในภูมิภาคต่าง ๆ
ในปี 2024 กลุ่มต่อต้านรัฐบาลทหารในเมียนมาได้สร้างแรงกดดันทางยุทธศาสตร์ครั้งใหญ่ต่อกองทัพ ด้วยความสำเร็จในการรุกคืบและยึดครองพื้นที่สำคัญในหลายภูมิภาค โดยเฉพาะในรัฐยะไข่ กลุ่ม United League of Arakan/Arakan Army (ULA/AA) สามารถยึดเมืองได้ถึง 14 แห่ง และคุกคามกองบัญชาการภูมิภาคตะวันตกในเมืองอันน์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางทางทหารของกองทัพในพื้นที่
ขณะที่ในภาคเหนือ กลุ่มกองทัพเอกราชกะฉิ่น (Kachin Independence Army: KIA) ได้เปิดแนวรบใหม่ภายใต้ปฏิบัติการ Operation 0703 โดยสามารถยึดเมืองสำคัญ 5 แห่ง รวมถึงพื้นที่ศูนย์กลางการทำเหมืองแร่หายากในรัฐคะฉิ่น ซึ่งมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของรัฐบาลทหาร
ขณะเดียวกัน กลุ่ม People’s Defense Forces (PDF) ยังคงขยายอิทธิพลในเขตสะกาย โดยสามารถยึดเมืองคอว์ลินและปินเลบู ซึ่งเป็นเส้นทางลำเลียงเสบียงที่สำคัญต่อการส่งกำลังบำรุงของกองทัพ ความสำเร็จของ PDF ในพื้นที่นี้ทำให้กองทัพประสบความยากลำบากในการรักษาความมั่นคงในภาคกลางของประเทศ
โดยรวมแล้ว ในปี 2024 กลุ่มต่อต้านสามารถยึดเมืองและฐานทัพได้ถึง 277 ครั้ง เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากเพียง 62 ครั้งในปี 2023 ความสำเร็จที่เพิ่มขึ้นกว่า 4 เท่านี้สะท้อนถึงประสิทธิภาพที่สูงขึ้นของกลุ่มต่อต้านในการวางแผนยุทธศาสตร์ การเพิ่มกำลังพล และการจัดตั้งพันธมิตรระดับภูมิภาค ซึ่งอาจทำให้กองทัพเมียนมาต้องเผชิญกับความท้าทายที่รุนแรงยิ่งขึ้นในปีต่อไป
จำนวนเหตุความรุนแรงในเมียนมา นับตั้งแต่ ก.ค. 2020 - ปัจจุบัน (ณ วันที่เขียน)
ปฏิบัติการตอบโต้และวิกฤตการเกณฑ์ทหารของรัฐบาล
รัฐบาลทหารเมียนมาเผชิญกับแรงกดดันหนักจากการสูญเสียพื้นที่สำคัญในหลายภูมิภาค ส่งผลให้ในเดือนกุมภาพันธ์ 2024 ได้มีการบังคับใช้กฎหมายเกณฑ์ทหาร เรียกชายวัย 18-35 ปีเข้าประจำการ รวมถึงผู้ที่อาศัยอยู่ในต่างประเทศ และบังคับผู้ชายวัย 35-60 ปีให้เข้าร่วมทีม “ต่อต้านการก่อการร้าย” เพื่อเพิ่มกำลังพลในการป้องกันพื้นที่ยุทธศาสตร์
อย่างไรก็ตาม การบังคับเกณฑ์ทหารครั้งนี้สร้างความไม่พอใจและความแตกแยกในสังคม เนื่องจากส่งผลกระทบโดยตรงต่อพลเรือนที่ขาดการฝึกฝน ทำให้หลายคนต้องถูกส่งไปแนวหน้าโดยไม่มีทักษะการต่อสู้ที่เพียงพอ
นอกจากนี้ มีรายงานว่าในปี 2024 พลเรือนหลายพันคน รวมถึงชาวโรฮิงญา ถูกบังคับให้เข้าร่วมการสู้รบ และในบางกรณีถูกใช้เป็นโล่มนุษย์ในสนามรบเพื่อปกป้องกองกำลังของรัฐบาล ความรุนแรงดังกล่าวยิ่งทำให้สถานการณ์ความขัดแย้งในประเทศเลวร้ายลง และอาจกระตุ้นให้กลุ่มต่อต้านได้รับแรงสนับสนุนจากประชาชนมากขึ้น
ยุทธศาสตร์ล้มเหลวและความรุนแรงต่อพลเรือน
เมื่อปฏิบัติการทางทหารเพื่อกวาดล้างกลุ่มต่อต้านล้มเหลวในหลายพื้นที่ กองทัพเมียนมาจึงหันมาใช้มาตรการความรุนแรงอย่างสุดขั้วต่อพลเรือน ขณะเดียวกันก็ประกาศแผนการเลือกตั้งที่ประชาชนส่วนใหญ่มองว่าเป็นเพียงกลยุทธ์เพื่อสร้างภาพลักษณ์และความชอบธรรมให้รัฐบาลทหาร การเก็บข้อมูลสำมะโนประชากรในปี 2024 ซึ่งถูกนำมาใช้เป็นฐานข้อมูลผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง ยิ่งถูกวิจารณ์ว่าเป็นการกระทำเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองของกองทัพ
แม้จะมีข้อเสนอเจรจาจากกลุ่มต่อต้าน โดยมีเป้าหมายให้เกิดการปฏิรูปรัฐบาลเชิงโครงสร้างและสนับสนุนแนวคิดการปกครองแบบสหพันธรัฐที่เน้นการกระจายอำนาจจากล่างขึ้นบน กองทัพกลับปฏิเสธทุกข้อเสนอและเดินหน้าปราบปรามต่อไป การเพิกเฉยดังกล่าวทำให้ความรุนแรงยังคงดำเนินต่อไป และสร้างความไม่พอใจเพิ่มขึ้นในหมู่ประชาชน รวมถึงผู้ที่เคยสนับสนุนรัฐบาล
สิ่งที่ต้องจับตามองในปี 2025
ในปี 2025 กลุ่มต่อต้านในเมียนมาคาดว่าจะมุ่งเน้นการสร้างอำนาจในพื้นที่ที่เพิ่งยึดครองได้ พร้อมขยายการบริหารจัดการและพัฒนาแหล่งรายได้ใหม่เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการเผชิญหน้ากับรัฐบาลทหารอย่างมีประสิทธิภาพ การขยายแนวรบไปยังพื้นที่ยุทธศาสตร์ในภาคกลาง (มัณฑะเลย์ สะกาย และมักเวย์) ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากพื้นที่เหล่านี้อยู่ใกล้กรุงเนปิดอว์ ศูนย์กลางอำนาจของรัฐบาลทหาร
ขณะเดียวกัน กลุ่มต่อต้านบางกลุ่มที่มีบทบาทสำคัญในปฏิบัติการร่วมกับพันธมิตร Brotherhood Alliance ได้เริ่มเคลื่อนย้ายกำลังพลไปยังภูมิภาคดังกล่าว เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการรุกคืบเพิ่มเติม
การยึดเมืองสำคัญในรัฐมัณฑะเลย์และมักเวย์จะช่วยเสริมสร้างฐานที่มั่นของกลุ่มต่อต้าน และเพิ่มประสิทธิภาพในการประสานงานระหว่างกลุ่มต่อต้านขนาดใหญ่และกลุ่มท้องถิ่น ซึ่งจะเป็นการสร้างความท้าทายต่อเสถียรภาพของรัฐบาลทหารมากยิ่งขึ้น
บริเวณพื้นที่ที่มีเหตุความรุนแรงในเมียนมา
ยุทธศาสตร์สองแนวทางของรัฐบาลทหาร:
ในปี 2025 รัฐบาลทหารเมียนมาคาดว่าจะเดินหน้าผลักดันการเลือกตั้ง แม้ว่าความเป็นไปได้ในการจัดการเลือกตั้งอย่างราบรื่นยังคงต่ำมาก ผู้นำกองทัพพยายามดึงการสนับสนุนจากพรรคการเมืองและกลุ่มติดอาวุธชาติพันธุ์บางกลุ่มที่ไม่ได้เข้าร่วมการสู้รบ ผ่านการเชิญชวนให้ปลดอาวุธและเข้าร่วมกระบวนการเลือกตั้ง พร้อมทั้งขอความช่วยเหลือจากจีน ซึ่งแสดงการสนับสนุนรัฐบาลทหารอย่างชัดเจน นับตั้งแต่การเยือนของรัฐมนตรีต่างประเทศจีน หวัง อี้ ในเดือนสิงหาคม 2024
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายต่อต้านที่นำโดยรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ (NUG) และกลุ่มพันธมิตรอื่น ๆ ยืนยันว่าจะบอยคอตการเลือกตั้ง โดยเฉพาะกลุ่ม KIO/KIA ซึ่งแสดงจุดยืนชัดเจนว่าจะไม่ยอมรับการเลือกตั้งในพื้นที่ที่พวกเขาควบคุม รัฐบาลทหารจึงอาจดำเนินกลยุทธ์แบบสองแนวทาง โดยเพิ่มแรงกดดันทางทหารต่อกลุ่มต่อต้านในขณะที่ยังเปิดช่องทางเจรจาเพื่อดึงฝ่ายตรงข้ามเข้าร่วมกระบวนการทางการเมือง
ทั้งนี้ ความพยายามของรัฐบาลทหารอาจรวมถึงการเพิ่มศักยภาพในการรบ การกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อฟื้นความเชื่อมั่นในประเทศ และการเดินหน้าทางการทูตกับจีนและประเทศที่มีท่าทีเป็นมิตร เพื่อปราบปรามกลุ่มต่อต้านและควบคุมสถานการณ์ภายในประเทศอย่างต่อเนื่อง
แรงกดดันจากจีนและผลกระทบต่อกลุ่มต่อต้าน:
ในปี 2025 จีนมีแนวโน้มจะเพิ่มบทบาทเชิงรุกในการจัดความขัดแย้งเมียนมา โดยกดดันกลุ่มต่อต้านตามแนวชายแดนให้ยุติการสู้รบและเข้าร่วมเจรจาสันติภาพ ที่ผ่านมาจีนเรียกร้องให้กลุ่ม MNTJP/MNDAA ถอนกำลังออกจากเมืองล่าเสี้ยว พร้อมกดดันกลุ่ม United Wa State Army (UWSA) ให้ยุติการสนับสนุนอาวุธแก่กลุ่มต่อต้าน นอกจากนี้ จีนได้ปิดจุดผ่านแดนสำคัญหลายแห่งหลังการยึดครองเมืองยุทธศาสตร์ในรัฐคะฉิ่นและรัฐฉานตอนเหนือ และจัดการฝึกซ้อมยิงสดตามแนวชายแดนในเดือนตุลาคม เพื่อแสดงแสนยานุภาพทางทหาร
นอกจากนี้ จีนยังเสนอความร่วมมือกับรัฐบาลทหารในรูปแบบบริษัทรักษาความปลอดภัยร่วม โดยอ้างว่ามีจุดประสงค์เพื่อปกป้องการลงทุนของจีนในเมียนมา ซึ่งการดำเนินการนี้ทำให้จีนเพิ่มการปรากฏตัวทางทหารในประเทศมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม การสนับสนุนของจีนต่อรัฐบาลทหารทำให้เกิดความไม่พอใจในหมู่ประชาชนในพื้นที่ ส่งผลให้เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม เกิดเหตุระเบิดที่สถานกงสุลจีนในมัณฑะเลย์ แม้ยังไม่มีฝ่ายใดออกมาอ้างความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์นี้ แต่เหตุการณ์ดังกล่าวสะท้อนถึงความตึงเครียดที่เพิ่มสูงขึ้นและความไม่พอใจต่อบทบาทของจีนในความขัดแย้ง
การต่อสู้ของกลุ่มต่อต้านและผลกระทบต่อพลเรือน:
แม้จะเผชิญแรงกดดันจากจีน แต่กลุ่มต่อต้าน เช่น กองทัพเอกราชคะฉิ่น (KIO/KIA) ยังคงเดินหน้าปฏิบัติการทางทหารร่วมกับพันธมิตรปฏิวัติอื่น ๆ อย่างต่อเนื่อง ขณะที่กลุ่ม MNTJP/MNDAA อาจต้องยอมจำนนต่อแรงกดดันจากจีนมากกว่า เนื่องจากสถานการณ์ที่พวกเขาเผชิญอยู่ในขณะนี้ค่อนข้างยากลำบาก อย่างไรก็ตาม การที่กลุ่มต่อต้านยังสามารถควบคุมพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญและได้รับการสนับสนุนจากชุมชนท้องถิ่น ช่วยให้พวกเขามีศักยภาพในการประสานงานและขยายการปฏิบัติการในปี 2025
ในขณะเดียวกัน พลเรือนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่สู้รบยังคงเผชิญกับความรุนแรงจากการปราบปรามของรัฐบาลทหาร รวมถึงการโจมตีทางอากาศที่สร้างความเสียหายอย่างต่อเนื่อง สถานการณ์ด้านมนุษยธรรมในปี 2025 มีแนวโน้มเลวร้ายลง โดยประชากรจำนวนมากยังคงพลัดถิ่น และต้องเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจที่ล่มสลายจากผลกระทบของสงคราม
โฆษณา