5 ม.ค. เวลา 13:37 • การศึกษา

การฝึกเหยี่ยว มรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้จากยูเนสโก

วันที่ 5 มกราคมเป็นวันนกแห่งชาติของอเมริกา ตั้งขึ้นเพื่อให้คนตระหนักถึงการอนุรักษ์นก ป้าจึงนึกถึงมรดกวัฒนธรรมเรื่องหนึ่ง คือ การฝึกเหยี่ยว ที่เป็นมรดกร่วมทางวัฒนธรรม
เมื่อพูดถึง “เหยี่ยว” ภาพที่ปรากฏในใจหลายคนอาจเป็นนกนักล่าผู้สง่างาม โฉบเฉี่ยวกลางอากาศเหนือขุนเขาหรือทะเลทราย แต่ทราบหรือไม่ว่า “การฝึกเหยี่ยว” นั้นไม่ได้เป็นเพียงแค่กิจกรรมเชิงกีฬา แต่ยังเป็นศิลปะและวัฒนธรรมที่ได้รับการสืบทอดมาหลายร้อยปี และในวันนี้ ศิลปะการฝึกเหยี่ยวได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติจากองค์การยูเนสโก
จากการล่าสู่ศิลปะ
ย้อนกลับไปในยุคโบราณ การฝึกเหยี่ยวมีจุดเริ่มต้นจากความจำเป็นในการล่าสัตว์เพื่อยังชีพ โดยเฉพาะในพื้นที่แถบเอเชียกลางและตะวันออกกลาง เหล่านักล่าค้นพบว่า เหยี่ยวมีสายตาที่เฉียบคมและความเร็วเหนือธรรมชาติ จึงเริ่มฝึกนกชนิดนี้ให้ช่วยในการหาอาหาร แต่เมื่อเวลาผ่านไป การล่าเหยื่อด้วยเหยี่ยวกลับกลายเป็นศิลปะชั้นสูง แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และธรรมชาติ
ในตะวันออกกลาง การฝึกเหยี่ยวไม่ใช่แค่เรื่องของการล่า แต่ยังสะท้อนถึงความภูมิฐานของชนชั้นสูง เจ้าชายหรือกษัตริย์มักถือเหยี่ยวคู่ใจเป็นเครื่องหมายแห่งเกียรติยศ และในบางวัฒนธรรม เช่น ที่มองโกเลีย การฝึกเหยี่ยวยังถูกถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น ถือเป็นมรดกครอบครัวที่มีคุณค่าอย่างยิ่ง
กระบวนการฝึกเหยี่ยว มากกว่าแค่คำสั่ง
การฝึกเหยี่ยวไม่ใช่เรื่องง่าย และต้องใช้ทั้งความอดทน ความเชี่ยวชาญ และความเข้าใจในธรรมชาติของนกนักล่าชนิดนี้ ขั้นตอนเริ่มต้นตั้งแต่การคัดเลือกเหยี่ยวที่เหมาะสม การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างผู้ฝึกกับเหยี่ยว และการฝึกให้เหยี่ยวสามารถโฉบลงจับเหยื่อหรือกลับมาหาผู้ฝึกได้อย่างแม่นยำ
ในระหว่างการฝึก ความสัมพันธ์ของคนกับเหยี่ยวถูกสร้างขึ้นผ่านความไว้วางใจ ผู้ฝึกต้องเข้าใจนิสัยใจคอของเหยี่ยวแต่ละตัว และตอบสนองต่อพฤติกรรมของพวกมันอย่างเหมาะสม เช่น ถ้าเหยี่ยวรู้สึกตื่นตระหนก ผู้ฝึกต้องสงบสติอารมณ์มันด้วยความอ่อนโยน
การฝึกเหยี่ยว เป็นมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ที่ขึ้นทะเบียนกับยูเนสโก
เมื่อปี 2010 ศิลปะการฝึกเหยี่ยว (Falconry) ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติจากองค์การยูเนสโก (UNESCO) ด้วยความสำคัญที่เป็นมากกว่ากิจกรรมล่าสัตว์ แต่เป็นวิถีชีวิตและศิลปะที่สะท้อนถึงความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ ในบทความนี้ เราจะสำรวจศิลปะการฝึกเหยี่ยวในบริบทของแต่ละประเทศ และยกตัวอย่างวิธีการฝึกในบางวัฒนธรรมเพื่อให้เห็นความหลากหลาย
ความหลากหลายในวิธีการฝึกเหยี่ยว
1. มองโกเลีย
ในมองโกเลีย ไม่ได้ฝึกเหยี่ยวแต่ฝึกอินทรีทองคำ ถือเป็นประเพณีของชนเผ่าเร่ร่อน โดยเฉพาะกลุ่มชาวคาซัคที่อาศัยในแถบภูเขาอัลไต
กระบวนการเริ่มจากการจับลูกอินทรีที่อายุประมาณ 2-3 เดือน เพื่อให้สามารถปรับตัวและสร้างความสัมพันธ์กับผู้ฝึกได้ง่าย ผู้ฝึกจะสอนให้อินทรีกลับมาหาเจ้าของด้วยการใช้เสียงหรือสัญญาณ และจะให้อินทรีล่าสัตว์ เช่น กระต่ายหรือสุนัขจิ้งจอก การฝึกนี้ไม่ใช่เพียงเพื่อการล่า แต่ยังสะท้อนถึงความเคารพในธรรมชาติ โดยอินทรีจะถูกปล่อยคืนสู่ป่าหลังจากอายุประมาณ 10 ปี
2. สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
ในแถบตะวันออกกลาง การฝึกเหยี่ยวเป็นศิลปะที่แสดงถึงสถานะทางสังคมและเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่สำคัญ เหยี่ยวสายพันธุ์ที่นิยมฝึก ได้แก่ เหยี่ยวซาเกอร์ (Saker Falcon) และเหยี่ยวเปอร์กริน (Peregrine Falcon)
วิธีการฝึกเริ่มจากการใส่หน้ากากปิดตาเหยี่ยวเพื่อสงบสติอารมณ์ จากนั้นจะค่อยๆ สอนให้เหยี่ยวบินกลับมาหาเจ้าของโดยใช้เหยื่อล่อ เช่น นกหรือกระต่ายปลอมที่ผูกกับเชือกและหมุนให้เหยี่ยวบินเข้าจับ การฝึกนี้มักเกิดขึ้นในทะเลทรายซึ่งเป็นถิ่นอาศัยของเหยี่ยวตามธรรมชาติ
ปิดตาเหยี่ยว
3. ญี่ปุ่น
การฝึกเหยี่ยวในญี่ปุ่นเรียกว่า “ทากะกะริ” (Takagari) เป็นวัฒนธรรมที่ได้รับการสืบทอดมาตั้งแต่สมัยซามูไร ซึ่งเหยี่ยวเป็นสัญลักษณ์ของความกล้าหาญและเกียรติยศ
การฝึกเริ่มต้นจากการสร้างสายสัมพันธ์ระหว่างผู้ฝึกกับเหยี่ยว ผ่านการให้อาหารและการใช้เวลาร่วมกัน การฝึกในญี่ปุ่นมีพิธีกรรมที่ซับซ้อนและเน้นความสง่างามของเหยี่ยว เช่น การฝึกให้เหยี่ยวโฉบจับนกกระจอกในพื้นที่เปิด
การให้อาหารเพื่อความสัมพันธ์ในการฝึก
ความสำคัญของการฝึกเหยี่ยวในฐานะมรดกวัฒนธรรม
แม้กระบวนการฝึกในแต่ละประเทศจะมีความแตกต่าง แต่ทุกวัฒนธรรมล้วนมีจุดร่วมสำคัญคือความเคารพในธรรมชาติและการส่งต่อองค์ความรู้ระหว่างรุ่น การฝึกเหยี่ยวจึงไม่ใช่แค่กิจกรรม แต่เป็นเครื่องมือเชื่อมโยงผู้คนกับธรรมชาติ และสร้างความตระหนักถึงการอนุรักษ์สัตว์ป่าในยุคที่ทรัพยากรธรรมชาติถูกคุกคาม
อ้างอิง
• UNESCO. (2010). Falconry, a living human heritage. Retrieved from https://ich.unesco.org
• Dixon, S. (2013). Falconry: Celebrating the Art and Sport of Hunting with Birds of Prey. Harper Design.
• Ameen, A. (2021). “The Cultural Significance of Falconry in the Middle East.” Journal of Ethnobiology and Ethnomedicine.
• รูปภาพจาก freepik.com
โฆษณา