เมื่อวาน เวลา 00:00 • หนังสือ

สัมผัสอัศจรรย์แห่งชีวิต

นานปีมาแล้ว ขณะยืนเหนือหุบเขา แกรนด์ แคนยอน ที่สหรัฐฯ ผมทอดสายตามองดูเทือกผาตระหง่านกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ก็ให้รู้สึกอัศจรรย์ใจต่อพลังสร้างสรรค์ของธรรมชาติ เป็นความรู้สึกปีติผสมระทึกใจ
นานปีมาแล้วเช่นกัน ผมยืนกลางชายป่าในซีกโลกเหนือ ยามฤดูใบไม้ร่วงโอบกอดโลก ใบไม้สีแดงและเหลืองแต่งแต้มสีบนผืนป่าแทบทุกตารางนิ้ว ให้รู้สึกอัศจรรย์ จิตสงัดงันต่อภาพที่เห็น
อีกหลายหนในชีวิต ยามเงยหน้ามองฟ้าราตรี แลเห็นดวงดาราโปรยหว่านไปค่อนทางช้างเผือก ก็รู้สึกว่าตัวตนของเราช่างกระจิริด ยืนอยู่ ณ โลกใบเดิม แต่รู้สึกไม่เหมือนเดิม ความรู้สึกอัศจรรย์ผุดขึ้นอาบหัวใจ
ความรู้สึกแบบนี้ ภาษาอังกฤษใช้คำว่า awe แปลตรงตัวว่าความยำเกรง ครั่นคร้าม เคารพ แต่บริบทที่เรามักใช้กันคือความรู้สึกผสมปนเประหว่างความเคารพ ความยำเกรง ความทึ่ง ความตื่นตาที่เกิดจากการพบเห็นบางสิ่งที่น่าอัศจรรย์หรือศักดิ์สิทธิ์ เช่น ไปชมนครวัด หรือพีระมิด หรือภูเขาฟูจิ หรือมองดูป่าไม้แดงยักษ์ที่แคลิฟอร์เนีย หรือพบปะใครคนหนึ่งที่น่าทึ่งน่าอัศจรรย์
บางครั้งการมองสายฝนโปรยปราย ดวงอาทิตย์ตกดิน พระจันทร์เหนือผิวน้ำ ก็สามารถทำให้จิตเรารู้สึกอ่อนโยนลง สัมผัสอัศจรรย์แห่งธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ได้
อยู่กับปัจจุบัน รับรู้ความเป็นไปของจักรวาล
ธรรมชาติเป็นยารักษาใจอย่างหนึ่ง นี่เองที่ทำให้เรารู้สึกสงบสงัดเมื่ออยู่กับธรรมชาติ เพราะเราก็คือปาฏิหาริย์อย่างหนึ่งในจักรวาล
การเข้าป่า แลเห็นต้นไม้ใหญ่ ภูผาตระหง่าน สายน้ำ ทำให้เรารู้สึกเล็กนิดเดียว และรู้สึกเกรงขามต่อธรรมชาติ
ความงามมักสัมพันธ์กับ awe ไม่จำเป็นต้องเป็นรูปทางตาเสมอไป นี่เองที่เราอาจได้รับ awe จากเสียงดนตรี
เรามักใช้คำว่า awe กับสิ่งอัศจรรย์ ยิ่งใหญ่ หรือเหตุการณ์พิเศษ วันที่ลูกเกิดจากท้องแม่ เสียงร้องครั้งแรกของทารก การปีนเขาจนถึงยอด มันทำให้เราเติมเต็มตัวตนมากขึ้น
การพบความสงัดอัศจรรย์ใจมิเพียงดีต่อใจ ยังดีต่อสุขภาพ
งานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ชี้ว่า การสร้าง awe หรือสัมผัสมัน ทำให้สภาพจิตดีขึ้น มีชีวิตดีขึ้น และยิ่งเราประสบ awe บ่อยครั้งเท่าไร ก็ยิ่งทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของเราดีขึ้น
awe ก็อาจเกิดกับความเชื่อทางศาสนาหรือจิตวิญญาณ
นี่เองอาจเป็นคำอธิบายว่าคนบางคนมองศาสนาเป็นเรื่องอัศจรรย์ ทำให้จิตดีขึ้น เมื่อจิตดี ร่างกายก็พลอยดีไปด้วย
ตัวอย่างเหล่านี้มักเป็นเรื่องในสเกลใหญ่ ทว่าเราก็สามารถใช้กับสิ่งเล็ก ๆ เช่นกัน ขึ้นกับมุมมองและโลกทัศน์ของเรา
การมองสิ่งยิ่งใหญ่แล้วรู้สึกอัศจรรย์เป็นเรื่องหนึ่ง แต่หากสามารถมองสิ่งเล็ก ๆ ธรรมดาเป็น awe จึงถือว่าสุดยอด
เพราะทำให้มองโลกธรรมดาด้วยสายตาอัศจรรย์
ติช นัท ฮันห์ พระเซนชาวเวียดนาม มักพูดถึงความอัศจรรย์หรือปาฏิหาริย์ของการกระทำเรื่องง่าย ๆ เช่น เดินเหยียบบนยอดหญ้าด้วยเท้าเปล่า
เพียงเปลี่ยนวิธีคิด เรื่องธรรมดาก็น่าอัศจรรย์ได้
นี่ทำให้ชีวิตพิเศษ ทำให้วันธรรมดาเป็นวันพิเศษ
เราสามารถสร้างความรู้สึกอัศจรรย์ได้ในทุกวัน มันทำให้เรามองโลกใบเดิมต่างจากเดิม และทำให้เรารักชีวิตของเรามากขึ้น
ไอน์สไตน์สัมผัสอัศจรรย์ของจักรวาลตอนอายุราวห้าขวบ พ่อให้เข็มทิศเป็นของขวัญ เขารู้สึกทึ่งที่เข็มทิศชี้ไปทางเดียวกันเสมอ มันทำให้เขารู้สึกพิศวง และดึงเขาไปสู่โลกของวิทยาศาสตร์
แต่ท้ายที่สุด เขาก็รวมอัศจรรย์ทั้งสองนี้เข้าด้วยกัน
ไอน์สไตน์เคยบอกว่า ทฤษฎีสัมพัทธภาพของเขา “เกิดขึ้นมาจากการหยั่งรู้ และดนตรีเป็นพลังผลักดันของการหยั่งรู้นั้น การค้นพบของผมเป็นผลของการรับรู้ทางดนตรี”
เขาใช้ดนตรีเป็นเครื่องมือในการขบคิดทฤษฎีต่าง ๆ เขามองเห็นความงามของดนตรี เช่นที่มองเห็นความงามของโครงสร้างจักรวาล
มันเป็นเรื่องเดียวกัน
คนที่มีสัมผัสต่อสิ่งอัศจรรย์เช่นดนตรีอย่างลึกซึ้ง ก็อาจสัมผัสต่อความอัศจรรย์ของโครงสร้างจักรวาล กับสมการพิสดารที่คนอื่นมองไม่เห็น
หลายคนสงสัยว่าทำไมจึงมีคนเงยหน้าขึ้นดูดาว ไม่เข้าใจว่าดูไปทำไม มันก็เป็นแค่จุดสว่างกระจายไปทั่ว มองกี่ทีก็เหมือนเดิม แต่การดูดาวก็เหมือนกิจกรรมอื่น ๆ เช่น ดูฟุตบอล ดูกี่เกมก็เห็นคนใช้เท้าเตะบอล ดูสนุกเกอร์ไม่ว่ากี่เกม มันก็คือการใช้ไม้แทงลูกกลมลงหลุม แต่คนดูฟุตบอลและสนุกเกอร์ก็รู้ว่าแต่ละเกมไม่เหมือนกัน การดูดาวก็เช่นกัน หรืออาจไปไกลกว่านั้น มันเชื่อมเรากับดวงดาว และจมในสัมผัสแห่งความอัศจรรย์
นาทีนั้นเราก็รู้สึกว่าไร้ตัวตน เพราะเราเชื่อมกับอ้อมอกของจักรวาล ประหนึ่งอยู่ในท้องแม่
จาก ปฏิบัติการผ่าสมองไอน์สไตน์ / วินทร์ เลียววาริณ
สารคดีเกี่ยวกับวิถีชีวิตของไอน์สไตน์ มุมมองต่อโลกและชีวิต + ปรัชญาต่างๆ บางบทความอาจเปลี่ยนชีวิตคุณ
21 บทความ ราคา 290 = บทความละ 13.8 บาท (ไม่คิดค่าส่ง)
หนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้ว
มีโปรโมชั่นพิเศษไอน์สไตน์ + เล่มอื่น Shopee คลิกลิงก์ https://shope.ee/6KgvYw47A4?share_channel_code=6
โฆษณา