7 ม.ค. เวลา 04:05 • กีฬา

ลิเวอร์พูลในช่วงเวลาที่ทดสอบอาร์เน่อ

ผ่านวันอาทิตย์ที่ผ่านมา แบบเซ็งนิดหน่อยกับอารมณ์ฟุตบอล 2 คู่ในค่ำคืนวันอาทิตย์ที่แฟนหงส์ และทีมชาติไทย “ไม่สมหวัง”
กับทีมชาติไทยผมจะไม่เขียนอะไร แต่ผมเห็นข้อดีหลายอย่างเกี่ยวกับอนาคต แม้จะแพ้เวียดนาม แต่ในระยะยาวทีมชาติไทยอาจจะพัฒนากว่าในอดีต มันไม่ใช่การก้าวถอยหลังด้วยซ้ำ อย่างน้อยบอลอาเซียนยุคนี้ก็มีความเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดในหลายประเทศ
กลับไปที่ลิเวอร์พูลก่อน จริงๆ ต้องนับว่าหลังปีใหม่มายังไม่มีอารมณ์จะเขียน หลายๆ คนอาจจะเป็นเหมือนกันช่วงหลังวันหยุดยาว หรือไปเที่ยวแล้วกลับมาจะมีอาการซึมเศร้าหลังวันหยุด (Post-Vacation Blues)
นักท่องเที่ยวต่างชาติมักจะเป็นหลังมาเที่ยวเมืองไทย และกลับไปจนมีไวรัลว่ากระทั่งร้องไห้ หรือใดๆ ก็ตาม หลายคนกลับมาใช้ชีวิตทำงานปกติแล้วจะรู้สึกว่าตัวเองมาทำอะไรที่นี่ คิดถึงช่วงหยุด ช่วงพักที่มีความสุขมากๆ
พูดให้ง่ายคือ “ขี้เกียจทำงาน” แต่มันมีลักษณะแตกต่างออกไปหน่อยคือมันกระทบกับอารมณ์ความรู้สึก คล้ายกับซึมเศร้า วิธีแก้ที่ดี คือตั้งเป้าวางแผนสำหรับ “วันหยุด” ครั้งต่อไป ที่เขียนถึงตรงนี้เผื่อเป็นประโยชน์ว่ามันมีอาการแบบนี้
พอมาชนกับไทยไม่ได้แชมป์ เอาจริงๆ ทัวร์นาเมนต์นี้มาถึงตรงนี้ก็ดีแล้วกับนักเตะที่มี โปรแกรมที่เยอะเกินไป หลายคนเสนอใช้ชุดเล็กบ้าง อะไรบ้าง ผมคิดว่าจะแก้ควรทำแบบเนชันส์ ลีก ไป เอารอบแรกเป็นอุ่นเครื่องที่ปกติบางทีเราก็หาเกมอุ่นเครื่องดีๆ ยากอยู่แล้ว
แล้วค่อยเหลือ 4 นัดตั้งแต่รอบรองพอ สโมสรต่างๆ จะได้ไม่กระทบการปล่อยนักเตะหลัก แต่เรื่องของบอลไทยนี่พูดยากจริง ถ้าไม่มีอำนาจ เสียงดังพอ ก็อยากจะสร้างผลกระทบอะไรได้
จริงๆ การเสมอในเกมกับแมนฯ ยูไนเต็ดปีนี้ ไม่ใช่เรื่องเสียหายมาก อย่างน้อยเทียบกับฤดูกาลที่แล้วที่เราได้ 2 แต้ม ฤดูกาลนี้ได้มา 4 แต้ม ถือว่ากำไร แต่ถ้าคิดถึงฟอร์มระยะหลัง และสถานการณ์มันก็น่าเสียดาย
ถ้าลิเวอร์พูลชนะเกมดังกล่าว โอกาสเป็นแชมป์จะยิ่งเปิดกว้าง คือมันจะรู้สึกว่าฤดูกาลที่สมบูรณ์แบบรออยู่ แม้ใครจะบอกว่าแชมป์พรีเมียร์ลีกไม่มีทางได้มาโดยง่าย แต่จริงๆ มันมีแบบขาดลอย(เหมือนฤดูกาลโควิด) และต้องลุ้นถึงนัดสุดท้ายอยู่
ตอนนี้ลิเวอร์พูลอยู่ในจุดที่ดี แม้จะเสมอกับยูไนเต็ด ซูเปอร์คอมฯ หรือร้านพูลถูกกฎหมายของอังกฤษยังให้เป็นเต็ง 1 แบบไม่เห็นฝุ่น แต่สำหรับเด็กหงส์ความรู้สึกไม่แน่นอนยังคงมีเสมอ ลิเวอร์พูลเจอประสบการณ์ถูกแซงมาแล้วหลายครั้งในยุคพรีเมียร์ลีก
โชคดีในโชคร้ายคือสัปดาห์เดียวกัน อาร์เซนอล และเชลซีก็เสมอ ซิตี้อาจจะชนะ แต่ซิตี้ยังมีระยะห่างค่อนข้างมากกับ 12 แต้ม และเกมมากกว่า 1 นัด
ดังนั้นถ้ามองในแย่ก็เสียดาย อดเพิ่มระยะห่าง แต่ในเวลาเดียวกันทีมที่ตามมาก็คงเสียดายเช่นกัน ว่าลิเวอร์พูลพลาดแล้ว แต่พวกเขา(ที่เล่นก่อน) ดันพลาดไปก่อน ไม่อย่างนั้นมันจะเป็นสัปดาห์ที่พวกเขาลดช่องว่างลงมาได้
แปลว่าแข่งกันเพิ่มทีมละนัด ระยะห่างเท่าเดิม จริงๆ สัปดาห์ที่ผ่านมาถือว่าลิเวอร์พูล “กำไร” เพราะว่าเกมของทุกทีมจะน้อยลง (ถ้าไม่นับซิตี้ หรือฟอเรสต์)
ไหนๆ ก็แวะแล้ว ฟอเรสต์เป็น “ม้ามืด” อย่างแท้จริงในฤดูกาลนี้ โอกาสไม่น้อยที่นูโน่จะได้ผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมประจำเดือนธันวาคมก่อนเปิดบ้านรับมือลิเวอร์พูลพุธหน้า
มันจะเหมือนกับเชลซีก่อนหน้านี้ที่เคยมีโอกาสเข้ามาใกล้จ่าฝูง หรือแม้แต่อาร์เซนอลในวันเสาร์ที่ผ่านมา ที่ถ้าพวกเขาชนะจะตามจ่าฝูงเข้ามาเหลือ 3 แต้ม(โดยไม่นับเกมตกค้าง)
เชลซีไม่ผ่านโจทย์นี้ทำให้ตอนนี้พวกเขาหล่นไปเป็นเต็ง 5 ด้วยซ้ำ ขณะที่ฟอเรสต์ที่แซงขึ้นมาเป็นเต็ง 4 บางทีถ้ามองในแง่ดี พวกเขาอาจจะกำลังมั่นใจที่ชนะมา 5 เกมรวด นั่นอาจจะทำให้เกมกับลิเวอร์พูลเปิดแลกมากกว่า และนั่นเป็นเรื่องที่ดีต่อลิเวอร์พูลมากกว่า
การเสมอมากเกินไปไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก ให้ชนะ 2 แพ้ 1 ดีกว่าเสมอ 2-3 นัดแน่ๆ
เราจะเห็นวิธีเล่นของแมนฯ ยูไนเต็ดกับลิเวอร์พูล ใช่ ที่ท้ายเกมเปิดแลก แต่จริงๆ ต้นเกม หรือครึ่งแรกแมนฯ ยูไนเต็ดเน้นรับรอโต้ คล้ายๆ กับวิธีที่อโมริมใช้ตอนที่นำลิสบอนชนะซิตี้ได้ในครึ่งหลัง และแมนฯ ยูไนเต็ดเกือบทำได้จากแม็คไกวร์ท้ายเกมจริงๆ
ในความหมายคือแมนฯ ยูไนเต็ดพอใจกับสถานการณ์ที่พวกเขาได้ 1 แต้ม แต่ถ้าวีกถัดไปพวกเขาถึงกับเอาชนะเซาท์แฮมป์ตันไม่ได้(หลังเจออาร์เซนอลในเอฟเอ คัพด้วย) แมนฯ ยูไนเต็ดก็จะวิกฤติต่อเนื่อง
ยิ่งการเสมอ 2-2 อาจจะเรียกสปิริตได้ แต่ความจริงคือเกมรับพวกเขาก็ยังเสียไป 2 ประตู และพวกเขาจะเล่นแผนนี้ไปเรื่อยๆ ตลอดทั้งฤดูกาล อาจจะเป็นการส่งสัญญาณที่ผิดสำหรับยูไนเต็ดก็ได้ แต่นั่นก็ต้องรอดูต่อไป
ถ้ามันจะเป็นสปริงบอร์ดให้แมนฯ ยูไนเต็ดกลับมาเล่นดี มันก็อาจจะดีต่อลิเวอร์พูลเช่นกัน เพราะลิเวอร์พูลเล่นกับแมนฯ ยูไนเต็ดไปครบ 2 นัดในฤดูกาลนี้แล้ว ดังนั้นหลังจากนี้ก็มีสองแบบ พวกเขาไปช่วยตัดแต้มทีมอื่นๆ ให้ หรือถ้าแพ้ก็จะเป็นผลเสียกับพวกเขาเอง
แม้จะเสียดาย แต่หลังจากนี้ลิเวอร์พูลจะดูแมนฯ ยูไนเต็ดแบบได้กับได้เท่านั้น!
ส่วนลิเวอร์พูลเองก็หลังๆ ก็เริ่มเสมอถี่ไป มันอาจจะเป็นการเตือนตัวเองที่ดีเช่นกัน เรื่องสัญญาของนักเตะ 3 คน เคยเขียนไปนานแล้ว และยังมีความเห็นแบบเดิม อย่างไรก็ตามหลังจากได้ดูทีมชาติไทย มันก็ทำให้ต้องคิดเหมือนกันว่าถ้าถึงเวลาต้อง “ผลัดใบ” มันก็จำเป็น
มันอาจจะเป็นบทพิสูจน์ที่ดีที่สุดว่าอาร์เน่อ ชล็อตเก่งแค่ไหน? ถ้าเกิดกรณีต้องเสียนักเตะทั้ง 3 คนจริงๆ แน่นอนผมว่าอยากให้ต่อสัญญากับทั้ง 3 คน มันเป็นเรื่องทั้งความผูกพัน และความสำเร็จในสนาม เพราะทั้ง 3 คนเป็นนักเตะแถวหน้าของวงการฟุตบอล
 
อย่างไรก็ตามในอดีต แม้แต่ยุคคล็อปป์เอง บางเรื่องต้องตัดสินใจเด็ดขาดที่สุด ซึ่งคล็อปป์ก็ยอมรับว่าเขาผลัดใบแดนกลางของทีมช้าเกินไปบิลล์ แชงคลีก็ยังเจอเหตุการณ์แบบนี้กับการตัดสินใจไม่ยกเครื่องทีมยุคแรกของเขา
กรณีนี้อาจจะแตกต่างจากยุคปัจจุบัน ที่มุมมองของแฟนบอลหงส์แดงทั่วโลกยังเห็นว่า ซาลาห์ และฟาน ไดค์น่าจะเล่นได้อีกหลายฤดูกาล แน่นอนว่าทุกคนอยากให้พวกเขาอยู่ต่อ แต่แตกต่างกับกรณีของเทรนต์เล็กน้อยที่ตัวเลขค่าเหนื่อยในข่าวเทียบกับฟอร์มของเทรนต์ในแดงเดือด
ตัวเลขที่เรียกร้องอาจจะมากเกินไป!
แต่นั่นก็เป็นเพียงข่าวบนหน้ากระดาษ จนกว่าจะมีความชัดเจนว่าทั้ง 3 คนจะอยู่ต่อ อยู่ทั้งหมด อยู่กี่คน หรือประกาศว่าจะย้ายแน่ๆ ย้ายไปไหน ส่วนนี้แม้นักเตะจะเชื่อว่าไม่กระทบกับฟอร์มในสนาม แต่ผมว่าเราทุกคนรู้ว่ามัน “กระทบ”
ไม่ว่าจะเป็นแง่ดีหรือแย่ สำหรับบางคนอาจจะพยายามเต็มที่เพื่อให้ได้สัญญาใหม่ แต่เราเห็นแล้วว่ากับฟาน ไดค์ หรือซาลาห์มันไม่มีผล หรืออาจจะยิ่งทำให้มีผลดีมากกว่าผลเสีย ฟอร์มของพวกเขาไม่ได้ผลกระทบจากข่าวสัญญาใดๆ แต่อย่างใด
ส่วนเทรนต์นั้นจริงๆ เขาทำได้ดีมาตลอด อาจจะดร็อปเยอะในเกมกับแมนฯ ยูไนเต็ดจริงๆ แต่ถ้าเทียบค่าเฉลี่ยฟอร์มตลอดหลายปีทีผ่านมากับฟาน ไดค์ หรือโม จริงๆ เทรนต์ก็มีช่วงขึ้นๆ ลงๆ ตลอดหลายฤดูกาลที่ผ่านมาอยู่แล้ว
เพียงแต่ในฤดูกาลนี้อย่างน้อยในส่วนของเกมรับ ผมว่าเขาทำได้ดีกว่าร็อบโบ้อีกฝั่ง หรืออย่างน้อยจุดเด่นในเกมรุกก็ไม่ได้หายไป
น่าคิดอยู่เหมือนกันว่าถ้าข้างหน้าของเทรนต์ไม่ใช่ ซาลาห์ เขาจะแสดงประสิทธิภาพออกมาได้ขนาดนี้ไหม ทำไมเวลาอยู่ในทีมชาติอังกฤษเทรนต์ทำได้ไม่ดีเท่าอยู่กับลิเวอร์พูล(แต่ก็ว่าไม่ได้อีก เพราะก่อนหน้านี้เซาท์เกตก็จับไปเล่นกลางมากกว่า)
หรือต่อให้ไปเรอัล มาดริด ข้างหน้าเขาก็จะเป็นนักเตะชั้นยอดอยู่ดี หรือรวมทีมชาติอังกฤษด้วยถ้าเทรนต์ได้เล่นแบ็กขวาต่อในยุคของโธมัส ทูเคิล ข้างหน้าของเขาก็จะเป็นนักเตะชั้นยอดแน่ๆ ดังนั้นไม่มีอะไรต้องห่วงเทรนต์หรอกถ้าคิดไปคิดมา แต่ผมก็เชื่อว่าใครเหล่านั้นจะไม่ทำให้เทรนต์เล่นงานขนาดโมแน่ๆ
ดังนั้นหวังว่าเทรนต์จะคิดให้ดี แต่ไม่ต้องมองไปไกล ถ้าเล่นได้อย่างเกมล่าสุดเท่านั้น เขาจะเสียตำแหน่งให้คอเนอร์ แบรดลีย์!
ก่อนบททดสอบในเรื่องของอนาคตสำหรับอาร์เน่อ ฤดูกาลหน้าจะเป็นยังไง แฟนหงส์คงไม่แคร์เท่ากับตอนนี้ก่อน
มันมีจุดเปลี่ยนสำคัญรออยู่ 3 นัดข้างหน้า เริ่มตั้งแต่ลีก คัพ ที่ต้องไปเยือนสเปอร์สในรอบรองชนะเลิศ นัดแรก และตามด้วยเอฟเอ คัพ ในบ้าน ก่อนไปเยือนฟอเรสต์
ถ้าลิเวอร์พูลสะดุดทันทีจะเป็นโอกาสให้เด็กผีฮึกเหิม เหิมเกริมทันทีว่าพวกเขาคือจุดเปลี่ยนที่ทำให้ลิเวอร์พูลดิ่งลง ซึ่งในฤดูกาลที่แล้วมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ การแพ้ต่อแมนฯ ยูไนเต็ดในเอฟเอ คัพ และสะดุดในลีกทำให้หงส์แดงช็อตหลังจากนั้นจริงๆ
แต่ครั้งนี้อาร์เน่อจะควบคุมความเสียหายได้หรือไม่ ความจริงคือสัปดาห์ที่ผ่านมาลิเวอร์พูลไม่ได้เสียหายอะไร ถ้าเรียกโมเมนตัมกลับไปเป็นบวกก็จะเหมือนเกมที่ผ่านมาไม่ได้มีอะไรเสียหาย แต่ถ้ามันเริ่มแย่ นั่นจะเป็นสัญญาณ “อันตราย”
เกมกับสเปอร์สอาจจะไม่ได้สำคัญมาก เพราะยังมีเกมที่แอนฟิลด์นัดที่สอง อาจจะเป็นอีกนัดที่พูดตรงๆ ว่า “เสมอได้” และทีมอาจจะต้องหมุนเวียนนักเตะไม่น้อย ขณะที่เกมกับแอคริงตันก็จะต้องคิดให้ดีกว่าจะใช้ชุดไหน ก่อนที่จะไปเยือนฟอเรสต์
นั่นคือ “สมดุล” ที่อาร์เน่อจะต้องวางแผนไว้ให้ดี ซึ่งผมคิดว่าลิเวอร์พูลน่าจะใช้ชุดผสมทั้งสองเกมนั่นแหล่ะ โดยที่สำคัญที่สุดคือการ “ให้เวลา” ที่เหมาะสมกับสองนักเตะที่เพิ่งหายเจ็บกลับมา และไม่เสี่ยงให้พวกเขาเจ็บเพิ่ม รวมถึงรักษามาตรฐานของทีม
จริงๆ แล้ว หากเกิดอะไรกับลีก คัพ หรือเอฟเอ คัพ แฟนหงส์รับได้หากแลกกับผลการแข่งขันในเกมเยือนฟอเรสต์ แต่ฟุตบอลมันไม่มีที่เราสามารถเอาเกมนั้นแลกเกมนี้ได้ ดังนั้นลิเวอร์พูลจะต้องเอาจริงทั้งหมด แต่ในความหมายไม่ได้แปลว่าต้องจัดชุดที่ดีที่สุดทุกนัด
ถ้าคิดเล่นๆ ผมจะให้ซาลาห์ หรือฟาน ไดค์ พักทั้งสัปดาห์ไปเลย แล้วให้โอกาสเอลเลียตต์ หรือเอ็นโดรับหน้าที่แทนไป
แม้ว่าช่วงเทศกาลที่ผ่านมา ปีนี้ฟุตบอลอังกฤษไม่ได้เตะถี่มากเหมือนหลายปีก่อน แต่นักเตะลิเวอร์พูลไม่ได้เบรกหนีหนาวเหมือนกับลีกอื่นๆ อาจจะมีช่วงพักเล็กๆ ปีใหม่ก่อนเกมแดงเดือด
ดังนั้น 2 เกมข้างหน้าเป็นช่วงที่ดีมากสำหรับฟื้นฟูร่างกาย พักใจเล็กๆ ไม่ให้เครียดเกินไปก่อนช่วงสำคัญที่รออยู่
อารมณ์ตอนนี้มันจะเหงาๆ นิดหน่อย ผมเชื่อว่าหลายคนจะรู้สึกแบบนั้นตอนบอลถ้วย 2 นัดนี้ จนกว่าพรีเมียร์ลีกจะกลับเตะอีกครั้งกลางสัปดาห์หน้า
ก่อนจะถึงวันนั้นหวังว่าจะมีข่าวดีเรื่องสัญญานักเตะสักที แฟนหงส์อยากได้มันมากกว่าอยากได้นักเตะใหม่เสียอีก แต่ตอนนี้ให้ได้มาสักอย่างก็ยังดี
ความจริงถึงจะบอกว่าเป็นช่วงทดสอบอาร์เน่อ แต่ครึ่งฤดูกาลกับผลงานขนาดนี้ เรื่องแท็กติก และการบริหารการจัดการในสนาม อาร์เน่อไม่ต้องพิสูจน์อะไรแล้วว่าเขาดีพอไหม เหลือแค่ต้องผ่านช่วงเวลาสถานการณ์ที่กดดัน และชี้วัดว่าจะ “ไปต่อ” เพื่อถึงเป้าหมายถึงถ้วยรางวัล และช่วงที่กดดันที่สุดได้หรือไม่
ถ้าผ่าน 3 เกมนี้ไปสวยๆ นักเตะสมบูรณ์เต็มร้อย โดยเฉพาะถ้าบุกชนะฟอเรสต์กลางสัปดาห์หน้าได้ อารมณ์เบื่อๆ เซ็งๆ ตอนนี้อาจจะหายไปได้ และหลังจากนี้ฤดูกาลที่เร้าใจจะรออยู่
หวังว่านะ...
จินตะปัญญา
โฆษณา