7 ม.ค. เวลา 05:56 • ประวัติศาสตร์

'การล่าแม่มด' สู่โศกนาฏกรรมที่มนุษย์ไล่ล่ากันเอง!

การล่าแม่มดเกิดขึ้นในยุคกลางในยุโรป ใครที่ปฏิบัติตัวเป็นกบฎจะถูกกำจัดด้วยเครื่องมือล่าแม่มด! มีชายหญิงมากมายที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มดอันชั่วร้าย ก่อนที่จะถูกจับไปเผาทั้งเป็นเพื่อกำจัดคุณไสยในตัวของหญิงสาวผู้นั้น! ทั้งหมดทั้งมวลล้วนแต่เป็นความผิดที่เยอรมนีซ่อนความผิดเอาไว้ใต้พรมมานานกว่าหลายร้อยปี!
ในยุคมืดจะมีผู้คนจำนวนมากถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มดและถูกสังหารไปมากกว่า 60,000 ชีวิตในยุโรป แน่นอนว่าเหยื่อส่วนมากจะเป็นหญิงสาวใบหน้างดงามเหนือใคร เพราะทุกคนต่างลงความเห็นเดียวกันว่าพวกหล่อนขายวิญญาณให้กับซาตานเพื่อให้ได้ใบหน้าที่งดงามให้แก่ตัวเอง
หากไม่ใช่หญิงสาวก็จะเป็นเด็กและคนแก่ใบหน้าอัปลักษณ์ หรือเรียกง่าย ๆ ว่าเป็นบุคคลที่แปลกแยกจากผู้อื่นจะถือว่าเป็นแม่มดในยุคสมัยนั้นทั้งหมด แต่ใช่ว่าผู้หญิงจะโดนแค่เพศเดียว ผู้ชายก็ถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มดเช่นเดียวกัน เพียงแต่ในยุคสมัยนั้นไม่มีความเท่าเทียมกันเหมือนในสมัยนี้ นั่นเลยเป็นเหตุผลที่สตรีจะถูกกล่าวหามากกว่าเพศอื่น ๆ
หากไม่ใช่เรื่องของศาสนาที่ผู้คนต่อต้านในเรื่องของกบฎ แต่ในหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ความรู้และวิทยาศาสตร์เข้าไม่ถึงคนที่แตกต่างจากผู้อื่นก็ถูกจับมาเผาทั้งเป็นเช่นเดียวกัน แม้แต่นักวิทยาศาสตร์ผู้อัจฉริยะในสมัยนั้นก็ไม่ถูกละเว้น หรือแม้แต่ผู้ทำนายดวงให้กับผู้อื่นก็ถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มดเช่นกัน และบางครั้งก็ไม่เกี่ยวกับตัวบุคคล แต่การเกิดภัยธรรมชาติก็ยังมีการจับผู้สงสัยไปประหารด้วยการเผาไฟเช่นเดียวกัน!
นับว่าเหตุการณ์ทั้งหมดบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่ามนุษย์ในอดีตไม่ได้รับความรู้ที่ถูกต้องหรือความรู้เข้าไม่ถึงชาวบ้านทุกคน และหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีเหตุการณ์ล้างสมองหรือลัทธิเกิดขึ้นในสมัยยุคกลางจริง ๆ
ที่รัฐบาวาเรีย ประเทศเยอรมนีเป็นอีกหนึ่งจุดที่สังหารเหล่าแม่มดที่สำคัญ ในศตวรรษที่ 15-18 มีผู้บริสุทธิ์ถึง 400 ชีวิตที่ถูกฆ่าทิ้งเพราะถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มด และคริสตจักรคาทอลิกในเมือง Eichstätt ได้หลีกเลี่ยงความจริงในเรื่องนี้มาตลอด 400 ปี แม้ว่าจะถูกเรียกร้องจากเหล่านักรณรงค์ให้ออกมาสำนึกผิดก็ตาม!
และเพราะการประหารแม่มดได้ยอมรับจากศาลที่ไม่ต่างจากศาลเตี้ยในยุโรป นับว่าวิธีการสังหารถูกยอมรับและเป็นที่นิยมในสมัยนั้นเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่หญิงสาวอย่าง แจน ดาร์ก แม่ทัพหญิงที่เก่งกาจเกินชายที่รบชนะกองทัพอังกฤษก็ถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มดเพียงเพราะรบเก่งกว่าผู้ชาย หากสะท้อนในความตรงนี้สิ่งที่ทำให้เรามองเห็นได้ก็คือการที่ชายเป็นใหญ่ในยุคสมัยนั้น และสะท้อนถึงความไม่เท่าเทียมทางเพศในยุคกลางอีกด้วย!
อีกตัวอย่างที่เกิดขึ้นในประเทศเยอรมนี นับว่าเป็นการสังหารหมู่ครั้งแรกของโลก ค.ศ. 1603 สตรีผู้รํ่ารวยในเยอรมนี "Merga Bien" ถูกกล่าวหาว่าฆ่าสามีคนที่สองและลูก ๆ ของตัวเอง และยังมีเพศสัมพันธ์กับปิศาจ อีกทั้งยังถูกเผารวมกับคนใช้ของเธอในขณะที่ตั้งครรภ์อยู่ หลังจากนั้นก็มีการสังหารหมู่แม่มดจำนวนมากขึ้น 900 ชีวิต!
และมีหญิงสาวอีกหลายชีวิตที่เลือกจะจบชีวิตของตัวเองด้วยการฆ่าตัวตาย ดีกว่าไปถูกทรมานโดยการเผาทั้งเป็นจนตาย วิธีที่พวกเธอใช้หนทางเอาตัวรอดสำหรับพวกเธอคือตายด้วยตัวเอง ดีกว่าเอาร่างกายที่ได้พรจากพระเจ้าไปให้เหล่าเดนมนุษย์เผาทิ้งอย่างไร้เหตุผล สุดท้ายแล้วที่น่ากลัวกว่าปีศาจและซาตานก็คือมนุษย์ด้วยกันเองทั้งสิ้น!
นอกจากการเผาทั้งเป็นแล้ว การล่าแม่มดยังมีวิธีการอื่น ๆ ที่แตกต่างกันไป เช่น การล่าแม่มดโดยการแขวนคอ เพราะการแขวนคอใช้อุปกรณ์ไม่มากนัก มีแค่เสากับเชือกก็มากพอที่จะประหารคนคนหนึ่งได้อย่างง่ายดาย โดยวิธีการจะนำถุงมาครอบหัวของแม่มดและให้เหยื่อผู้โชคร้ายทิ้งตัวจากที่สูง นับว่าเป็นการทารุณกรรมได้อย่างโหดร้ายและทารุณสุดๆ!
และวิํธีการล่าแม่มดที่ร้ายแรงและค่อนข้างทรมานคงไม่พ้นการการแม่มดโดยการขว้างหินและผู้ที่ขว้างหินจะเป็นประชาชนรุมใช้หินในการขว้างใส่ผู้ถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มด วิธีการนี้ใช้กับผู้ที่ไม่ยอมรับว่าตัวเองเป็นแม่มด หรือคนที่เรียกร้องเพื่อขอพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง เรียกง่าย ๆ ว่าในยุคสมัยนั้นผู้ถูกกล่าวหาไม่มีสิทธิ์ได้เรียกร้องความเป็นธรรมให้กับตัวเองเลยแม้แต่น้อย
วิธีต่อมาคือการล่าแม่มดโดยการใช้หินขนาดใหญ่กดทับจนตาย วิธีนี้ถูกใช้เพราะต้องการรีดข้อมูลหรือทำให้สารภาพความผิดออกมา โดยวิธีการจะใช้หินก้อนใหญ่ทับตัวผู้ถูกกล่าวหาให้นํ้าหนักเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
วิธีล่าแม่มดสุดคลาสสิคที่เห็นได้บ่อยคงไม่พ้นการจับถ่วงนํ้า มักเกิดขึ้นในขณะที่ทำการสอบสวนมากกว่าโดยการโยนผู้ถูกกล่าวหาลงแม่นํ้าและทำให้พวกเขาช่วยเหลือตัวเองไม่ได้
วิธีที่โหดร้ายที่สุดและเป็นที่นิยมใน USA คือการใช้ขวานตัดคอ หรือสับแยกชิ้นส่วนผู้ถูกกล่าวหาออกมาเป็นชิ้น ๆ ก่อนที่จะนำร่างไปเผาซํ้าให้สิ้นซาก นับว่าเป็นวิธีที่โหดเหี้ยมและใจร้ายมากที่สุดในบรรดาวิธีการสังหารแม่มดทั้งหมดที่กล่าวมา เพราะวิธีนี้ผู้คนแทบไม่เหลือศพให้ครอบครัวดูต่างหน้าแม้แต่ชิ้นเดียว!
ต่างฝ่ายต่างตั้งคำถามว่าการสังหารมนุษย์ด้วยกันทั้งโหดเหี้ยมแบบนี้ได้รับการยอมรับในศาลยุโรปได้อย่างไร? หรือเพราะเป็นการชักจูงจากผู้คนให้เชื่อในศาสนากันแน่? ไม่มีใครรู้ในข้อเท็จจริงในเรื่องนี้แม้แต่น้อย!
แต่สุดท้ายสิ่งที่น่ากลัวที่สุดกลับไม่ใช่ผีสางหรือซาตาน แต่เป็นมยุษย์ด้วยกันเองนี่แหละที่น่ากลัวกว่าสัตว์เดนทั้งปวง!
สิ่งที่น่ากลัวกว่าซาตาน ไม่ใช่การขายแลกวิญญาณ แต่เป็นมนุษย์ด้วยกันเองต่างหาก
เรื่องแปลกๆในต่างแดน!
โฆษณา