Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Meet To Yiw
•
ติดตาม
8 ม.ค. เวลา 11:00 • ไลฟ์สไตล์
5 หลักการที่จะทำงานเข้าสู่สภาวะ flow state และนำไปใช้ได้จริง
Flow State คือสภาวะที่เราทำงานหรือกิจกรรมได้อย่างเต็มที่ มีสมาธิสูง และรู้สึกเพลิดเพลินจนเวลาเหมือนผ่านไปเร็ว หลักการที่จะช่วยให้เราเข้าสู่สภาวะนี้ได้มีดังนี้
1. เลือกงานที่มีความท้าทายเหมาะสมกับความสามารถ
หลักการ: Flow State เกิดขึ้นเมื่อเราทำงานที่ท้าทายกำลังดี หากงานง่ายเกินไป เราจะรู้สึกเบื่อ (Boredom) และหากงานยากเกินไป เราจะรู้สึกเครียดหรือวิตกกังวล (Anxiety) ดังนั้น การเลือกงานต้องสมดุลระหว่างความสามารถที่เรามีอยู่และระดับความท้าทายของงานนั้น
ทำไมต้องสมดุล?
งานที่ ง่ายเกินไป:
ตัวอย่างเช่น คุณเป็นนักพัฒนาซอฟต์แวร์ที่มีประสบการณ์ แต่ถูกให้แก้ไขปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ ในระบบ เช่น แก้บั๊กพื้นฐาน นี่อาจทำให้คุณเบื่อและหมดแรงจูงใจ
งานที่ ยากเกินไป:
เช่น คุณเป็นนักพัฒนามือใหม่ แต่ถูกมอบหมายให้เขียนระบบซับซ้อนสำหรับบริษัทโดยไม่มีแนวทางหรือผู้ช่วย สิ่งนี้อาจทำให้คุณรู้สึกหนักใจจนสูญเสียความมั่นใจนะครับ
วิธีเลือกงานให้เหมาะสมกับความสามารถ
1.1 ประเมินตนเอง
ดูว่าคุณมีความรู้และประสบการณ์ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับงานแค่ไหน
ใช้คะแนนจาก 1-10 ให้ตัวเอง เช่น ถ้าคุณเขียนโค้ดได้ระดับ 6/10 งานที่เหมาะสมควรมีความท้าทายระดับ 6-8
1.2 เพิ่มความท้าทายทีละขั้น
เริ่มจากงานที่คุณคุ้นเคย แล้วเพิ่มความยากขึ้นทีละเล็กน้อย
ตัวอย่าง: หากคุณเป็นนักเขียนบทความที่เขียนเกี่ยวกับหัวข้อทั่วไป ลองเปลี่ยนมาเขียนหัวข้อเชิงวิชาการที่ต้องค้นคว้ามากขึ้น แบบนี้จะได้ทั้งบทความและเพิ่มความสามารถในการเขียนและความรู้ด้วย
1.3 ปรับงานให้ท้าทาย
หากงานง่ายเกินไป ให้เพิ่มเป้าหมายย่อย เช่น ทำให้เสร็จเร็วขึ้น หรือใช้เทคนิคใหม่ในการทำงาน
ตัวอย่าง: หากคุณต้องจัดทำพรีเซนเทชันธรรมดา ลองใช้ซอฟต์แวร์หรือรูปแบบที่คุณไม่เคยลอง เพื่อให้พรีเซนเทชันของเรามีความแปลกใหม่ขึ้น
1.4 ขอคำแนะนำหรือขอทรัพยากร
ถ้างานยากเกินไป ขอคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญหรือหาคอร์สเรียนเพิ่มเติมก็ได้นะครับ
ตัวอย่าง: หากคุณต้องเรียนรู้ภาษาโปรแกรมใหม่ ให้เริ่มจากการเรียนผ่านบทเรียนพื้นฐานก่อนเข้าทำงานจริง
ตัวอย่างสถานการณ์ที่ชัดเจน
งานที่ง่ายเกินไป
คุณสมบัติของคุณ: คุณเป็นนักออกแบบกราฟิกที่ชำนาญโปรแกรม Adobe Photoshop ระดับสูง
งานที่ได้รับ: ออกแบบแบนเนอร์ธรรมดาโดยใช้เทมเพลตสำเร็จรูป
ผลลัพธ์: คุณรู้สึกเบื่อและทำงานแบบขาดแรงบันดาลใจ
วิธีแก้: เพิ่มความท้าทายด้วยการนำเสนอแนวคิดใหม่ หรือใช้เทคนิคการออกแบบที่คุณยังไม่เคยลอง เช่น การสร้างภาพแบบ 3D
งานที่ยากเกินไป
คุณสมบัติของคุณ: คุณเป็นนักพัฒนาซอฟต์แวร์มือใหม่
งานที่ได้รับ: สร้างระบบอีคอมเมิร์ซตั้งแต่ต้น โดยไม่มีคู่มือหรือทีมช่วย
ผลลัพธ์: คุณรู้สึกหนักใจและหมดกำลังใจ
วิธีแก้: แบ่งงานออกเป็นส่วนเล็ก ๆ ที่คุณพอทำได้ และขอคำแนะนำจากหัวหน้าหรือเพื่อนร่วมทีม
Key Takeaways
เลือกงานที่คุณรู้สึกว่า "ท้าทายพอจะสนุก แต่ไม่ยากเกินไปจนเครียด"
ค่อย ๆ ปรับระดับความท้าทายให้สูงขึ้น เพื่อให้ทักษะพัฒนาตามไปด้วย
เมื่อเจองานง่ายไป ให้หาเป้าหมายใหม่ในงานนั้น เมื่อเจองานยากไป ให้ขอความช่วยเหลือและเรียนรู้การทำงานนั้น
การจัดการระดับความท้าทายได้อย่างเหมาะสม จะช่วยให้คุณเข้าสู่ Flow State ได้ง่ายขึ้นและทำงานอย่างมีความสุขนะครับ
2. ขจัดสิ่งรบกวน (Eliminate Distractions)
หลักการ:
สิ่งรบกวน (Distractions) เป็นอุปสรรคสำคัญต่อการเข้าสู่ Flow State เพราะมันทำให้สมาธิขาดช่วงและยากที่จะดึงตัวเองกลับมาสู่การทำงาน ดังนั้น การสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมและลดปัจจัยที่ทำให้เราเสียสมาธิจึงเป็นสิ่งจำเป็น
ประเภทของสิ่งรบกวนที่พบบ่อย
สิ่งรบกวนทางดิจิทัล
การแจ้งเตือนจากโทรศัพท์ อีเมล หรือโซเชียลมีเดีย
การเปลี่ยนหน้าจอไปดูสิ่งอื่น ๆ เช่น วิดีโอหรือข้อความที่ไม่เกี่ยวข้องกับงาน
สิ่งรบกวนทางสิ่งแวดล้อม
เสียงดัง เช่น การพูดคุยของคนรอบข้าง เสียงเพลงที่ไม่เข้ากับงาน
พื้นที่ทำงานที่ยุ่งเหยิงหรือมีคนเดินผ่านไปมา
สิ่งรบกวนทางจิตใจ
ความคิดฟุ้งซ่าน เช่น กังวลเรื่องส่วนตัว หรือคิดเรื่องอื่นระหว่างทำงาน
ความเหนื่อยล้าทางจิตใจที่ทำให้ยากจะโฟกัส
วิธีการขจัดสิ่งรบกวน
จัดการสิ่งรบกวนทางดิจิทัล
ปิดการแจ้งเตือน:
ใช้โหมด “Do Not Disturb” ในโทรศัพท์และคอมพิวเตอร์
ปิดเสียงการแจ้งเตือนทุกชนิด เช่น อีเมลหรือแอปโซเชียลมีเดีย
ตั้งเวลาเช็คข้อความ:
กำหนดช่วงเวลาเฉพาะ เช่น เช็คอีเมลวันละ 2-3 ครั้งเท่านั้น
ใช้แอปช่วยจัดการ:
ใช้แอป เช่น Forest หรือ Focus@Will เพื่อช่วยโฟกัสงาน
ตัวอย่าง:
หากคุณต้องเขียนรายงานและมักถูกขัดจังหวะด้วยการแจ้งเตือนจาก LINE ให้ปิดแอป LINE ชั่วคราว หรือใช้แอปช่วยบล็อกการเข้าถึง
สร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม
จัดพื้นที่ทำงานให้เป็นระเบียบ:
เก็บของที่ไม่จำเป็นออกจากโต๊ะ เช่น โทรศัพท์ เอกสารที่ไม่เกี่ยวข้อง
เลือกพื้นที่ที่เงียบสงบ:
หากทำงานที่บ้าน ให้แจ้งสมาชิกในครอบครัวว่าไม่ควรรบกวนช่วงเวลานั้น
ใช้หูฟังลดเสียงรบกวน (Noise-Cancelling Headphones):
เปิดเพลงบรรเลงที่ช่วยโฟกัส เช่น Lo-fi หรือดนตรีคลาสสิก
ตัวอย่าง:
ถ้าคุณต้องเตรียมพรีเซนเทชันในที่ทำงานที่มีเสียงดัง ให้ย้ายไปห้องประชุมว่าง หรือใส่หูฟังเพื่อลดเสียงรบกวน
จัดการสิ่งรบกวนทางจิตใจ
จดบันทึกความคิดที่ฟุ้งซ่าน:
หากมีเรื่องรบกวนในใจ ให้จดไว้ในกระดาษเพื่อกลับมาคิดภายหลัง
พักผ่อนอย่างเพียงพอ:
พักสมองเมื่อรู้สึกเหนื่อย เช่น ใช้เทคนิค Pomodoro (โฟกัส 25 นาที พัก 5 นาที)
ฝึกสมาธิ (Mindfulness):
ใช้การหายใจลึก ๆ หรือทำสมาธิสั้น ๆ 5-10 นาทีเพื่อปรับจิตใจ
ตัวอย่าง:
หากคุณกำลังเครียดเรื่องงานอื่นที่ยังไม่ถึงกำหนด ให้จดไว้ใน To-Do List แล้วโฟกัสกับงานปัจจุบัน
ตัวอย่างสถานการณ์ชัดเจน
สถานการณ์: นักเรียนเตรียมสอบ
ปัญหา: เสียงจากโทรศัพท์และการแจ้งเตือนโซเชียลทำให้เสียสมาธิ
วิธีแก้: ปิด Wi-Fi หรือเปิดโหมดเครื่องบิน ตั้งโต๊ะอ่านหนังสือในห้องที่ไม่มีคนเดินผ่าน ใช้หูฟังเปิดเสียงดนตรีบรรเลงเบา ๆ
สถานการณ์: พนักงานเขียนรายงาน
ปัญหา: เสียงพูดคุยของเพื่อนร่วมงานและอีเมลที่เด้งเข้ามาตลอดเวลา
วิธีแก้: ย้ายไปทำงานในห้องประชุมส่วนตัว ตั้งเวลาตรวจอีเมลวันละ 2 ครั้ง ใช้แอป Pomodoro เพื่อทำงานในช่วงเวลาสั้น ๆ อย่างมีสมาธิ
Key Takeaways
ขจัดสิ่งรบกวนทั้งภายนอก (ดิจิทัลและสิ่งแวดล้อม) และภายใน (ความคิดฟุ้งซ่าน)
ใช้เครื่องมือและเทคนิคช่วย เช่น การปิดแจ้งเตือน การจัดพื้นที่ และการพักผ่อน
เมื่อสิ่งรบกวนลดลง สมาธิจะดีขึ้น และเข้าสู่ Flow State ได้ง่ายขึ้น
3.ฝึกโฟกัสทีละอย่าง
3.1 ตั้งเป้าหมายเฉพาะเจาะจง
ตั้งเป้าหมายงานที่ต้องทำให้ชัดเจน เช่น "เขียนรายงานสรุป 2 หน้า" แทนที่จะบอกว่า "ทำงานเกี่ยวกับรายงาน" งานที่ชัดเจนช่วยให้คุณรู้ว่าต้องทำอะไรและตัดสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องออกไป
ตัวอย่าง: แทนที่จะเปิดอีเมลและพยายามตอบกลับทุกฉบับพร้อมกับทำสไลด์พรีเซนเทชัน ให้ตั้งเป้าว่าจะ “ตอบอีเมล 10 ฉบับให้เสร็จก่อน 10 โมงเช้า”
3.2 ใช้เทคนิค Pomodoro
เทคนิคนี้แบ่งเวลาเป็นช่วง ๆ เช่น ทำงาน 25 นาที แล้วพัก 5 นาที ในช่วงเวลาทำงาน ห้ามทำสิ่งอื่น เช่น เช็คโทรศัพท์หรือคุยกับคนรอบข้าง
ตัวอย่าง: หากคุณต้องอ่านเอกสารยาว 30 หน้า ให้ตั้งเวลา 25 นาทีเพื่ออ่านโดยไม่หยุด เมื่อหมดเวลาให้พัก 5 นาที
3.3 จัดลำดับความสำคัญ
จัดลำดับว่างานใดต้องทำก่อน และทำทีละงานตามลำดับ ใช้เครื่องมือช่วย เช่น To-Do List หรือ แอปจัดการงาน (เช่น Trello หรือ Notion)
ตัวอย่าง: หากคุณต้องจัดทำรายงานและเตรียมประชุม ให้โฟกัสกับการเตรียมข้อมูลรายงานก่อน แล้วจึงจัดเตรียมสไลด์สำหรับประชุม
3.4 ปิดสิ่งรบกวนที่ไม่เกี่ยวข้อง
ปิดการแจ้งเตือนจากโทรศัพท์และคอมพิวเตอร์ ปิดโปรแกรมหรือเว็บไซต์ที่ไม่เกี่ยวข้อง
ตัวอย่าง: หากคุณกำลังเขียนบทความบน Microsoft Word ให้ปิดเบราว์เซอร์ที่อาจดึงดูดให้คุณเปิดดูข่าวหรือโซเชียลมีเดีย
3.5 ฝึกสติ (Mindfulness)
การฝึกสมาธิช่วยให้คุณอยู่กับปัจจุบันและหลีกเลี่ยงการฟุ้งซ่าน
เทคนิคง่าย ๆ คือ การหายใจเข้าลึก ๆ และตั้งใจทำสิ่งที่อยู่ตรงหน้าด้วยความเต็มใจ
ตัวอย่าง: ก่อนเริ่มงาน ให้ใช้เวลาสัก 1-2 นาทีหายใจเข้าออกลึก ๆ และบอกตัวเองว่า “ตอนนี้ฉันจะทำงานนี้เพียงอย่างเดียว”
ตัวอย่างสถานการณ์ที่ชัดเจน
สถานการณ์: เขียนบทความ
ปัญหา: คุณเปิดเบราว์เซอร์เพื่อค้นคว้า แต่สลับไปดูโซเชียลมีเดียระหว่างการเขียน
วิธีแก้: ใช้เทคนิค Pomodoro เขียนต่อเนื่อง 25 นาที โดยปิดการแจ้งเตือน
เตรียมข้อมูลที่ต้องใช้ค้นคว้าไว้ล่วงหน้า
สถานการณ์: เตรียมพรีเซนเทชัน
ปัญหา: คุณพยายามเตรียมเนื้อหาไปพร้อมกับแก้ไขรูปแบบสไลด์ ซึ่งทำให้เสียเวลาและไม่เสร็จสักอย่าง
วิธีแก้: แยกงานเป็น 2 ขั้นตอน: (1) รวบรวมเนื้อหา (2) แก้ไขรูปแบบ โฟกัสกับการทำทีละขั้นตอนให้เสร็จ
เคล็ดลับเพิ่มเติม
ใช้เครื่องมือช่วยโฟกัส เช่น Focus To-Do หรือ RescueTime
กำหนดช่วงเวลาสำหรับ "งานเดียว" เช่น เช้า 9:00-11:00 เป็นช่วงที่ทำงานเฉพาะอย่าง ฝึก Single-Tasking ทุกวัน เพื่อให้สมองปรับตัวและเลิกนิสัย Multitasking
Key Takeaways
การโฟกัสทีละอย่างช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดความเครียด
ใช้เทคนิค Pomodoro หรือจัดลำดับความสำคัญเพื่อช่วยฝึก Single-Tasking
การฝึก Single-Tasking อย่างต่อเนื่องจะช่วยให้คุณเข้าสู่ Flow State ได้ง่ายขึ้น
เมื่อคุณฝึกโฟกัสทีละอย่างจนคล่อง จะพบว่าการทำงานมีความเร็วและคุณภาพมากขึ้นกว่าที่เคย
4.ใช้พลังงานในช่วงเวลาที่เหมาะสม (Work in Your Peak Energy Times)
หลักการ:
ระดับพลังงานและความตื่นตัวของเรามีความผันผวนตลอดทั้งวัน ซึ่งเรียกว่า Circadian Rhythm หรือวัฏจักรการตื่นและนอนของร่างกาย การเลือกทำงานที่ต้องใช้สมาธิและความคิดสร้างสรรค์ในช่วงที่พลังงานของเราสูงสุด จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและช่วยให้เข้าสู่ Flow State ได้ง่ายขึ้น
ทำไมต้องทำงานในช่วงพลังงานสูงสุด?
สมองทำงานได้ดีขึ้น:
เมื่อระดับพลังงานและความตื่นตัวสูง สมองจะสามารถประมวลผลและจดจ่อกับงานที่ซับซ้อนได้ดีขึ้น
ลดความเหนื่อยล้าและความผิดพลาด: หากทำงานหนักในช่วงที่ร่างกายและสมองอ่อนล้า คุณจะใช้เวลาและพลังงานมากขึ้น แต่ได้ผลลัพธ์ที่น้อยลง
เพิ่มโอกาสเข้าสู่ Flow State: ในช่วงที่คุณมีพลังงานและโฟกัสสูง การทำงานที่ท้าทายจะช่วยให้ Flow State เกิดขึ้นได้ง่าย
วิธีค้นหาช่วงเวลาที่เหมาะสมของคุณ
สังเกตพลังงานของตัวเองในแต่ละวัน
ใช้เวลา 1-2 สัปดาห์จดบันทึกระดับพลังงานของตัวเองในช่วงเช้า กลางวัน และเย็น
ระบุว่าเวลาใดคุณรู้สึกตื่นตัวที่สุด เช่น ช่วงเช้า 8:00-10:00 น. หรือช่วงเย็น 16:00-18:00 น.
ตัวอย่าง: คุณอาจพบว่าคุณมีพลังงานสูงสุดในช่วงเช้าตรู่และอ่อนล้าในช่วงบ่าย
แบ่งประเภทงานตามระดับพลังงาน
งานที่ต้องใช้สมาธิสูง: ทำในช่วงพลังงานสูงสุด เช่น การวางแผน เขียน หรือวิเคราะห์ข้อมูล
งานที่ใช้พลังงานต่ำ: ทำในช่วงพลังงานลดลง เช่น ตอบอีเมล หรืองานที่ทำซ้ำ ๆ
ตัวอย่าง: หากคุณมีพลังงานสูงในช่วงเช้า ให้ใช้เวลานั้นเขียนรายงานที่ซับซ้อน และเก็บการตอบอีเมลไว้ช่วงบ่าย
ทดลองปรับเวลา
หากคุณรู้สึกว่าพลังงานลดลงในช่วงบ่าย ให้ลองเปลี่ยนเวลาพัก เช่น ออกกำลังกายเบา ๆ หรือดื่มน้ำเพิ่ม ลองปรับเวลาเริ่มต้นและจบงานที่สำคัญเพื่อให้เหมาะกับระดับพลังงาน
เคล็ดลับเพื่อเพิ่มพลังงานให้เหมาะสม
ตื่นนอนและเข้านอนสม่ำเสมอ
รักษาเวลาเข้านอนและตื่นนอนให้คงที่ เพื่อช่วยให้ร่างกายปรับตัวเข้าสู่วงจร Circadian Rhythm
ตัวอย่าง: หากคุณต้องการทำงานที่ใช้สมองในช่วงเช้า ควรเข้านอนเวลา 22:00 น. และตื่นเวลา 6:00 น. เพื่อให้มีเวลาเตรียมตัว
กินอาหารที่เพิ่มพลังงานอย่างเหมาะสม
หลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้พลังงานลดลง เช่น อาหารน้ำตาลสูง หรือไขมันเยอะ
เลือกอาหารที่ให้พลังงานยาวนาน เช่น โปรตีน ธัญพืช และผักผลไม้
ตัวอย่าง:แทนที่จะกินของหวานในช่วงบ่าย ให้ลองกินถั่วหรือโยเกิร์ตเพื่อรักษาระดับพลังงาน
พักผ่อนระหว่างวัน
ใช้เทคนิค Pomodoro เพื่อพักระหว่างการทำงาน
หากพลังงานลดลงมากในช่วงบ่าย ให้ลองงีบสั้น ๆ 10-20 นาที
ตัวอย่าง:หากคุณทำงานต่อเนื่อง 2 ชั่วโมงช่วงเช้า ให้พักเดินเล่น 5-10 นาทีเพื่อลดความล้า
ตัวอย่างสถานการณ์ที่ชัดเจน
สถานการณ์: ผู้จัดการที่ต้องตัดสินใจสำคัญ
ปัญหา: คุณรู้สึกเหนื่อยและตัดสินใจได้ไม่ดีเมื่อประชุมในช่วงบ่าย
วิธีแก้:
จัดประชุมหรือทำงานวางแผนในช่วงเช้า 9:00-11:00 น.
เก็บงานที่ใช้พลังงานน้อย เช่น ตรวจเอกสาร ไว้ทำในช่วงบ่าย
สถานการณ์: นักเรียนเตรียมสอบ
ปัญหา: คุณอ่านหนังสือช่วงดึกแต่กลับรู้สึกเหนื่อยและจำไม่ได้
วิธีแก้:
เปลี่ยนเวลาทบทวนบทเรียนเป็นช่วงเช้า 6:00-8:00 น. ซึ่งเป็นช่วงที่สมองตื่นตัว
ใช้ช่วงบ่ายที่พลังงานลดลงสำหรับการทำแบบฝึกหัด
Key Takeaways
ระบุและทำงานในช่วงที่พลังงานและสมาธิสูงที่สุด เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
ใช้ช่วงพลังงานต่ำทำงานง่าย ๆ หรืองานที่ใช้แรงกายมากกว่าสมอง
การจัดการพลังงานในแต่ละวันอย่างเหมาะสมช่วยให้คุณเข้าสู่ Flow State ได้ง่ายขึ้นและรักษาประสิทธิภาพการทำงานในระยะยาว
เมื่อคุณเข้าใจจังหวะพลังงานของตัวเอง คุณจะสามารถทำงานได้อย่างชาญฉลาดและมีประสิทธิภาพสูงสุด
5.ใช้การตอบสนองทันที (Immediate Feedback)
หลักการ:
การได้รับข้อมูลย้อนกลับ (Feedback) ทันทีเกี่ยวกับผลลัพธ์ของสิ่งที่เราทำ ช่วยให้เราเข้าใจว่าเรากำลังทำสิ่งนั้นถูกต้องหรือไม่ ต้องปรับปรุงอะไร และช่วยให้เราปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว การตอบสนองทันทีทำให้เราโฟกัสกับงานและรักษาความก้าวหน้า ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยเข้าสู่ Flow State
ทำไม Immediate Feedback จึงสำคัญ?
ช่วยให้รู้ว่ากำลังเดินไปในทิศทางที่ถูกต้อง
หากคุณได้รับการยืนยันว่าทำสิ่งนั้นถูกต้อง จะรู้สึกมั่นใจและมีกำลังใจทำต่อไป
ปรับปรุงและแก้ไขข้อผิดพลาดได้เร็ว
Feedback ทันทีช่วยลดการเสียเวลาทำสิ่งผิดซ้ำ ๆ
สร้างความเชื่อมโยงกับงาน
เมื่อคุณเห็นผลลัพธ์ของงานในทันที จะรู้สึกว่าสิ่งที่กำลังทำมีความสำคัญและกระตุ้นให้ทำต่อ
ประเภทของ Immediate Feedback
Feedback จากตัวงาน (Intrinsic Feedback)
ผลลัพธ์ของงานที่แสดงออกโดยตรง เช่น การเล่นดนตรี เมื่อเล่นผิดโน้ต คุณจะได้ยินเสียงผิดทันที
Feedback จากผู้อื่น (Extrinsic Feedback)
คำแนะนำจากเพื่อนร่วมงาน หัวหน้า หรือโค้ช เช่น การตรวจงานหรือการให้คะแนน
Feedback จากเครื่องมือ/เทคโนโลยี
ระบบอัตโนมัติที่ให้ข้อมูลกลับมาทันที เช่น การเขียนโปรแกรมที่แสดงผลลัพธ์แบบเรียลไทม์
วิธีใช้ Immediate Feedback ในการทำงาน
กำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนและตรวจสอบได้
ตั้งเป้าหมายที่สามารถวัดผลได้ในทันที เช่น “เขียนบทความให้ครบ 500 คำใน 1 ชั่วโมง”
ใช้ตัวชี้วัดง่าย ๆ เพื่อตรวจสอบว่าเป้าหมายของคุณสำเร็จหรือยัง
ตัวอย่าง:หากคุณกำลังเขียนโค้ด ให้เขียนส่วนเล็ก ๆ และรันโปรแกรมเพื่อดูผลทันที
ใช้เครื่องมือที่แสดงผลลัพธ์ในทันที
เลือกใช้เครื่องมือที่ให้ผลลัพธ์แบบเรียลไทม์ เช่น โปรแกรมตรวจคำผิดอัตโนมัติ (Grammarly) หรือเครื่องมือออกแบบที่แสดงตัวอย่างผลงานทันที
ตัวอย่าง: นักออกแบบกราฟิกสามารถใช้ Adobe Photoshop เพื่อเห็นผลลัพธ์การปรับแต่งแบบเรียลไทม์
ขอคำแนะนำจากผู้อื่นในทันที
หากทำงานเป็นทีม ให้เสนอผลงานในขั้นตอนย่อย ๆ เพื่อรับ Feedback เร็วที่สุด
ใช้เทคนิค "Feedback Loop" เช่น การประชุมสั้น ๆ (Stand-up Meeting) เพื่อให้ทีมตรวจสอบความคืบหน้า
ตัวอย่าง: ในการสร้างแอปพลิเคชัน คุณอาจนำเสนอฟีเจอร์ใหม่ให้หัวหน้าดูเป็นระยะ เพื่อปรับแก้ก่อนจะทำจนเสร็จ
เรียนรู้จากผลลัพธ์ของตัวเองทันที
สังเกตข้อผิดพลาดและผลลัพธ์ของสิ่งที่ทำ
พยายามปรับปรุงในขณะนั้นแทนที่จะรอจนจบงาน
ตัวอย่าง: นักกีฬาบาสเกตบอลที่ฝึกชูตลูก จะปรับวิธีชูตตามผลลัพธ์ของแต่ละครั้ง (ลูกเข้าหรือไม่)
ตัวอย่างสถานการณ์ที่ชัดเจน
สถานการณ์: นักเขียนบทความ
ปัญหา: เขียนเนื้อหาไปเรื่อย ๆ โดยไม่รู้ว่าถูกใจผู้อ่านหรือไม่
วิธีแก้:ใช้เครื่องมือ Grammarly เพื่อแก้ไขคำผิดทันที
ส่งงานตัวอย่างย่อให้บรรณาธิการตรวจสอบระหว่างเขียน
สถานการณ์: การเรียนดนตรี
ปัญหา: เล่นเปียโนผิดคอร์ดบ่อย ๆ แต่ไม่รู้จนกระทั่งเล่นจนจบ
วิธีแก้:ฟังเสียงตัวเองทันทีเมื่อกดแต่ละคีย์ ใช้ครูผู้สอนหรือแอปพลิเคชันที่ให้ Feedback แบบเรียลไทม์
สถานการณ์: การพัฒนาแอปพลิเคชัน
ปัญหา: เขียนโปรแกรมยาวโดยไม่ทดสอบ จนพบข้อผิดพลาดมากเมื่อรัน
วิธีแก้: รันโค้ดเป็นส่วนเล็ก ๆ เพื่อหาข้อผิดพลาดทันที ใช้เครื่องมือ Debugging เช่น Visual Studio Code
เคล็ดลับเพิ่มเติม
แบ่งงานใหญ่เป็นงานย่อยที่สามารถวัดผลได้ในทันที
สร้างช่องทางรับ Feedback เช่น การทดสอบผลงานกับกลุ่มเป้าหมาย
ใช้ความผิดพลาดเป็น Feedback เพื่อเรียนรู้และปรับปรุง
Key Takeaways
การได้รับ Feedback ทันทีช่วยเพิ่มความมั่นใจและปรับปรุงคุณภาพงาน
ใช้ทั้ง Feedback จากตัวงาน ผู้อื่น และเครื่องมือช่วย
Immediate Feedback ทำให้คุณโฟกัสอยู่กับงานและเข้าสู่ Flow State ได้ง่ายขึ้น
การตอบสนองทันทีเหมือนกับการถือกระจกไว้ข้างหน้า คุณจะรู้ว่าต้องปรับปรุงอะไรและเดินไปข้างหน้าได้เร็วขึ้น
นี่เป็นแค่ส่วนหนึ่งที่จะทำให้ทุกคนสามารถเข้าโหมดการงานแบบ Flow State ได้เป็นอย่างดี ซึ่งสำคัญมากต่อการทำงานทุกประเภท ยิ่งเข้าสภาวะนี้มากเท่าไหร่ยิ่งทำให้เรากลายเป็นคนที่มีศักยภาพมากขึ้นเท่านั้น
ขอบที่ติดตามกันนะครับ
วันนี้ Meet To Yiw ขอลาไปก่อน เจอกันใหม่บทความหน้า สวัสดีครับ
พัฒนาตัวเอง
แนวคิด
missiontothemoon
บันทึก
1
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย