9 ม.ค. เวลา 00:03 • ปรัชญา

ฤทธิ์อำนาจของเลือดพระเยซู

ฮีบรู 10:14-16 TH1971
[14] โดยการถวายบูชาเพียงครั้งเดียว พระองค์ก็ได้ทรงกระทำให้คนทั้งหลายที่ได้รับการทรงชำระให้บริสุทธิ์แล้วนั้นถึงความสมบูรณ์เป็นนิตย์ [15] และพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ทรงเป็นพยานให้แก่เราด้วย เพราะว่าพระองค์ได้ตรัสไว้แล้วว่า [16] <<องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า นี่คือพันธสัญญาซึ่งเราจะกระทำกับเขาทั้งหลาย หลังจากสมัยนั้น เราจะบรรจุพระธรรมไว้ในใจของเขาทั้งหลาย และเราจะจารึกพระธรรมนั้นไว้ในจิตใจของเขาทั้งหลาย>>
ถ้าผมไม่เชื่อว่าเลือดพระเยซูมีฤทธิ์อำนาจมากเพียงพอที่จะลบล้างความผิดบาปทั้งหมดไม่ว่าจะใหญ่เพียงใดก็ตาม..ถ้าผมไม่เชื่อ ผมมั่นใจครับว่าผมต้องจบลงที่เป็นบ้าหรือฆ่าตัวตายเท่านั้นครับ เพราะรับสภาพตัวเองไม่ได้ มันเลวร้าย ลามก เย่อหยิ่งเห็นแก่ตัว ก้มหัวยอมให้กับใครไม่ได้เลย มันเต็มด้วยความกลัว หวาดวิตกกังวล เพราะถ้าใช้ชีวิตแบบนี้ปกติจะต้องพินาศเท่านั้นครับ
ยิ่งตอนนี้มีภรรยาลูกกับสมาชิกและคนใหม่ที่กำลังทยอยกันเข้ามาให้จูงนำชีวิตพวกเขา ถ้าผมมองแค่ตัวเองมันไม่ได้ครับ แต่มันก็อยู่มาได้ย่างเข้าสิบสองปีแล้วนับตั้งแต่ได้แต่งงาน
ผมก็เลยคิดทบทวนครับว่าสิ่งเดียวที่ทำให้ผมมาถึงณ จุดนี้ได้คือด้วยฤทธิ์อำนาจของเลือดพระเยซูนี้ครับที่ได้ทำให้ผมกับครอบครัวหรือสมาชิกที่ติดตามมาอยู่รอดปลอดภัยมาถึงทุกวันนี้ได้
บ่อยครั้งมากที่สถานการมาทำให้ผมรู้สึกว่าไปต่อไม่ไหวแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่คนอย่างผมจะก้าวต่อไปบนเส้นทางของการเป็นผู้เผยแพร่ข่าวประเสริฐหรือคนแห่งพระเจ้า
แต่พอคิดลึกๆ หรือพอได้พูดคุยกับคนในคริสตจักรแล้วได้คิดลึกๆ มันก็ได้รู้สึกตัวครับว่าปัญหาที่ทำให้ผมไม่อยากที่จะไปต่อ เพราะผมกำลังถูกมารซาตานหลอกว่าตัวเองเป็นคนทำเป็นคนที่รับผิดชอบเองอยู่ ไม่ได้เชื่อว่าตัวเองได้ตายไปพร้อมกัยพระเยซูที่บนกางเขนเมื่อสองพันปีที่แล้ว ตัวผมเองทำอะไรไม่ได้แล้ว ตอนนี้มีเพียงพระเยซูที่ฟื้นคืนมาและกำลังทำทุกสิ่งในชีวิตของผมอยู่ครับ
แต่เพราะเริ่มเชื่อกับจิตสำนึกดีชั่วที่มารซาตานคอยให้ตลอดเวลา ใจมันก็เลยเริ่มหวั่นไหว เริ่มกลัว ถ้าเป็นแบบนี้ต้องพินาศแน่ แล้วก็เริ่มที่จะหาทางปกป้องแก้ไขเองครับ ถ้าไม่ได้หันกลับมาคิดทบทวนกับพระคำความจริง มันก็จะถูกความคิดคำโกหกของมารซาตานหลอกลากไปเรื่อยๆ ครับ
แต่เพราะมีคริสตจักรกับพระคัมภีร์ฯ อยู่ด้วย สองสิ่งนี้เป็นพระผู้ช่วยจากพระเจ้าที่คอยปกคลุมดูแลให้ด้วย ตอนที่ผมเริ่มบิดเบี้ยวเริ่มถูกมารซาตานลากให้ออกไปจากพระเจ้า พวกเขาก็จะช่วยดึงใจให้หันกลับเข้ามาแบบนี้ครับ
กับทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นในชีวิตของผมมันจึงกลายมาเป็นข่าวประเสริฐใช้เผยแพร่กับผู้คน ทุกเรื่องที่เกิดกับผมจึงดีหมดเพราะมาจากพระเจ้าทั้งหมด แต่ถ้าเป็นอดีตตอนที่ยังไม่รู้จักกับพระเจ้า มันก็มีเรื่องดีกับไม่ดีใช่ไหมครับ ใจเราก็จะจมอยู่แต่กับเรื่องที่ว่าดีสำหรับเราแล้วก็พยายามจะหนีให้เร็วที่สุดกับเรื่องที่เรารู้สึกว่าไม่ดีกลัวมันจะทำให้เราต้องพินาศแบบนี้ครับ
มันเป็นผลสืบเนื่องมาตั้งแต่อาดัมมนุษย์คนแรกเขาทำผิดต่อพระเจ้าไปกินผลไม้ต้องห้ามที่สวนเอเดนครับ คือกินผลของต้นสำนึกดีและชั่ว ตั้งแต่ตอนนั้นจิตใจที่เคยจดจ่อสนใจเพียงพระเจ้าทางเดียวก็มีสติปัญญารู้ดีรู้ชั่วเข้ามาเพิ่มให้อีกทาง ตอนนั้นพระเจ้าก็ถูกแยกออกไป มนุษย์เราก็เลยกลายมาเป็นอย่างที่เห็นกันอยู่ทุกวันนี้ครับคือเชื่อในสติปัญญาของตัวเองแทนเชื่อในพระเจ้าทางเดียว มารซาตานจึงล่อลวงง่ายแบบนี้ครับ
ถ้าพระเจ้าไม่ทำอะไรปล่อยไปเฉยๆ มนุษย์ก็ต้องถูกมารซาตานหลอกลากไปจนถึงนรกปลายทางสุดท้ายของดวงวิญญาณ ก็เป็นที่ๆพระเจ้าสร้างขึ้นมาเพื่อมารซาตานกับสมุนครับ
แต่ตอนนี้กับช่วงเวลาที่เหลืออยู่ก่อนจะถึงวันพิพากษา วันที่จะถูกแยกออกระหว่างสวรรค์กับนรก ส่วนโลกนี้ก็จะถูกเผาทิ้งทั้งหมดไม่เหลือทราก กับช่วงเวลาที่เหลืออยู่บนโลกตอนนี้จึงเป็นช่วงเวลาให้ทุกคนได้เลือกตัดสินใจครับว่าจะไปอยู่กับใครอยู่สวรรค์กับพระเจ้าหรือไปอยู่นรกกับมารซาตานแบบนี้ครับ
มีใจบริสุทธิ์คือเงื่อนไขเดียวที่พระเจ้าต้องการสำหรับผู้ที่ต้องการกลับไปอยู่กับพระเจ้า คือใจที่ยอมรับในการไถ่บาปของพระเจ้าที่ส่งพระเยซูมาลบล้างความผิดบาปให้ทั้งหมดแล้วแบบนี้ครับ
ผมมองในกลุ่มของคนที่เชื่อว่ามีพระเจ้าตอนนี้ก็มีคนสองประเภทครับ คือประเภทที่ยังคงพยายามควบคุมตัวเองให้ทำแต่ความดีต่อไป กับอีกประเภทคือทิ้งเลยกับการพยายามควบคุมการประพฤติให้ออกมาดีๆ แต่ย้ายมาสนใจกับจิตใจพระเจ้าพระเยซูผู้ทำเรื่องเหล่านั้นแทนครับ
แม้แต่เรื่องที่มาตรฐานโลกตัดสินว่าเป็นเรื่องชั่วร้าย แต่พระเจ้าก็คือผู้ที่รับผิดชอบให้เกิดขึ้น ซึ่งมีคำตอบถึงเหตุผลให้ด้วยในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลครับ เพราะมารซาตานพ่อของความชั่วร้ายก็เป็นเครื่องมือของพระเจ้าใช้ในการนำมนุษย์ให้กลับมาสู่การเชื่อวางใจเพียงพระเจ้านี้ครับ
เหมือนกับโยบเขาทุกข์ทรมานมากตอนที่มีภัยพิบัติเข้ามาเพราะไม่รู้ใจพระเจ้าผู้ให้เกิดเรื่องนี้ครับ พระเจ้าใช้มารซาตานมาสอนโยบด้วยการให้ภัยพิบัติ เพราะโยบกำลังหลงผิดเชื่อว่าตัวเองสามารถควบคุมตัวเองหรือสถานการได้ ตอนที่เกิดภัยพิบัติเขาก็เลยตกใจและคิดแต่ว่าเขาพลาดตรงไหน เขาทำยังไม่ดีพอตรงไหน จมอยู่กับตรงนี้? แต่หลังจากพระเจ้าให้เขาได้สามัคคีธรรมกับเพื่อนๆและเอลีฮูเด็กรุ่นลูก เขาเริ่มเห็นกับความผิดของตัวเอง จิตใจจึงสามารถพักสงบได้ครับ
ผมก็เลยได้เห็นตัวเองแบบนี้ด้วยครับว่าใช่นะ ใจผมมันพร้อมจะกลับไปเชื่อตัวเองครับ ตอนนั้นมันก็จะเริ่มพยายามเข้าไปควบคุมสถานการด้วยกำลังความสามารถของตัวเอง เพื่อให้ผลมันออกมาเป็นดั่งใจ ผลคือคนรอบข้างก็จะเริ่มเครียดตาม แทนที่ผมจะเรียนรู้จิตใจพระเจ้ากำลังสอนอะไรผ่านทางพวกเขาแล้วประกาศออกไปแต่กลับพยายามจะเข้าไปควบคุมพวกเขาซึ่งเป็นตัวแทนของพระเจ้าแบบนี้ครับ
มาระโก 5:1-16, 18-19 TH1971
[1] ฝ่ายพระองค์กับเหล่าสาวก ก็ข้ามทะเลไปยังแดนเมืองชาวเก-ราซา [2] พอพระองค์เสด็จขึ้นจากเรือ มีคนหนึ่งออกจากอุโมงค์ฝังศพ มีผีโสโครกสิงได้มาพบพระองค์ [3] คนนั้นอาศัยอยู่ตามอุโมงค์ฝังศพ และไม่มีผู้ใดจะผูกมัดตัวเขาอีกได้ แม้จะล่ามด้วยโซ่ตรวนก็ไม่อยู่ [4] เพราะว่าได้ล่ามโซ่ใส่ตรวนหลายหนแล้ว เขาก็หักโซ่และฟาดตรวนเสีย ไม่มีผู้ใดมีแรงพอที่จะทำให้เขาสงบได้
[5] เขาคลั่งร้องอึงอยู่ตามอุโมงค์ฝังศพ และที่ภูเขาทั้งกลางคืนกลางวันเสมอ และเอาหินเชือดเนื้อของตัว [6] ครั้นเขาเห็นพระเยซูแต่ไกลก็วิ่งเข้ามากราบไหว้พระองค์ [7] แล้วร้องเสียงดังว่า <<ข้าแต่พระเยซูพระบุตรของพระเจ้าสูงสุด พระองค์มายุ่งกับข้าพระองค์ทำไม ข้าพระองค์ขอให้พระองค์สาบานในพระนามของพระเจ้าว่า จะไม่ทรมานข้าพระองค์>> [8] ที่พูดเช่นนี้ เพราะพระองค์ได้ตรัสแก่มันว่า <<อ้ายผีโสโครก จงออกมาจากคนนั้นเถิด>>
[9] แล้วพระองค์ตรัสถามชายนั้นว่า <<เอ็งชื่ออะไร>> มันตอบว่า <<ชื่อกอง เพราะว่าพวกข้าพระองค์หลายตนด้วยกัน>> [10] มันจึงอ้อนวอนพระองค์เป็นอันมาก มิให้ขับไล่มันออกจากแดนเมืองนั้น [11] มีสุกรฝูงใหญ่กำลังหากินอยู่ที่ไหล่เขาตำบลนั้น [12] ผีเหล่านั้นก็อ้อนวอนพระองค์ว่า <<ขอโปรดให้ข้าพระองค์ทั้งหลายเข้าในสุกรเหล่านี้เถิด>> [13] พระองค์ก็ทรงอนุญาต แล้วผีโสโครกนั้นจึงออกไปเข้าสิงอยู่ในสุกร สุกรทั้งฝูงประมาณสองพันตัวก็วิ่งกระโดดจากหน้าผาชันลงไปในทะเลสำลักน้ำตาย
[14] ฝ่ายคนเลี้ยงสุกรนั้น ต่างคนต่างหนีไปเล่าเรื่องทั้งในนครและบ้านนอก แล้วคนทั้งปวงก็ออกมาดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น [15] เมื่อเขามาถึงพระเยซูก็เห็นคนที่ผีทั้งกองได้สิงนั้น นุ่งห่มผ้านั่งอยู่มีสติอารมณ์ดี เขาจึงเกรงกลัวนัก [16] แล้วคนที่ได้เห็น ก็เล่าเหตุการณ์ซึ่งบังเกิดแก่คนที่ผีสิงนั้น และซึ่งบังเกิดแก่ฝูงสุกรให้เขาฟังมาระโก 5:17 TH1971
[17] คนทั้งหลายจึงพากันอ้อนวอนพระองค์ให้เสด็จไปเสียจากเขตแดนเมืองของเขา
[18] เมื่อพระองค์กำลังเสด็จลงเรือ คนที่ผีได้สิงแต่ก่อนนั้นได้อ้อนวอนขอติดตามพระองค์ไป [19] พระองค์ไม่ทรงอนุญาต แต่ตรัสแก่เขาว่า <<จงไปหาพวกพ้องของเจ้าที่บ้าน แล้วบอกเขาถึงเรื่องเหตุการณ์ใหญ่ ซึ่งพระเป็นเจ้าได้ทรงกระทำแก่เจ้า และได้ทรงพระเมตตาแก่เจ้าแล้ว>>
เมื่อเช้าได้ฟังพระคำเรื่องนี้ก็ทำให้ผมได้คิดถึงอดีตตอนที่ยังไม่ได้พบพระเยซูก็ถูกผีสิงยังไง? ชอบอยู่ตามอูโมงค์ฝังศพคนเดียว ไม่ชอบอยู่บ้านร่วมกับครอบครัวคือการที่ชอบหลบมุมเพื่อได้อยู่กับโลกความคิดจินตนาการของตัวเองไม่ชอบการใช้ชีวิตร่วมกับคนอื่น ไม่ชอบการพูดคุยร่วมเสวนาคุยเรื่องจิตใจกับคนอื่นครับ
เอาโซ่ล่ามก็ไม่อยู่คือไม่ยอมไม่เอาเลยครับกับชีวิตที่ต้องอยู่ใต้ใคร อยากเป็นกษัตริย์เป็นพระเจ้าเอง ก็เลยทำงานเป็นลูกน้องใครไม่ได้ครับ
ชอบเอาหินกรีดตัวทรมานตัวเอง คือชอบที่จะใช้ชีวิตอยู่ด้วยการพึ่งพารับผิดชอบกับชีวิตตัวเองครับ ทำตามความคิดตามกฏเกณฑ์ต่างๆของโลก อิสรไม่ต้องอยู่ใต้ใครทำอะไรตามใจตัวเอง แต่ความจริงมันไม่ได้อิสรจริงแต่กำลังถูกผีมารควบคุม และให้ความคิดที่โกหก กำลังพาไปสู่การถูกฆ่าทำลายครับ
กรีดร้องโหยหวน เพราะมันต้องระบายออกมากับความทุกข์ทรมานในจิตใจที่ไม่มีพระเจ้านี้ครับ จริงๆ ถ้าได้กลับไปหาพระเจ้าปัญหานี้ก็จบครับ แต่ตอนที่ยังไม่ได้กลับไปหาพระเจ้าสำหรับผมตอนนั้นมันระบายออกด้วยอบายมุขครับ เหล้ายาผู้หญิงเที่ยวเล่นซึ่งมันมีแต่ต้องการมากขึ้นๆ ไม่จบไม่สิ้นครับ
ตอนที่พระเยซูเข้ามาหาก็ขับไล่พระเยซู ครับผมก็เป็นแบบนั้น มันไม่ชอบครับกับคนที่พยายามจะเข้ามาคุยเรื่องจิตใจกับผม แต่คนของพระเจ้าก็จะพยายามเข้ามาคุยเรื่อยๆ จนผมเริ่มได้สติคือผีออกนี้ครับ แล้วมันก็ได้เห็นความจริงแบบนี้และรู้สึกขอบคุณได้กับพวกเขาที่อดทนรอคอยกับผมครับ
โฆษณา