9 ม.ค. เวลา 09:49 • ประวัติศาสตร์
Shin-Yokohama Ramen Museum

(ต่อ)เรื่องราวการเดินทางของ “ราเม็ง” และการเกิดขึ้นของพิพิธภัณฑ์ shin yokohama ramen museum

จาก block ที่แล้ว เล่าถึงความเป็นมาของ ราเม็ง จากจุดเริ่มต้น แต่เพราะสตอรี่ที่ยาวววเหมือนเส้นราเม็ง
block นี้จึงขอมาเล่าต่อถึง ราเม็ง ที่มาถึงในช่วงเฟื่องฟูของราเม็ง จนถึงปัจจุบันกันครับ
1950-1970…การพัฒนาวัฒนธรรมราเม็งในญี่ปุ่น
ต้นกำเนิดตรอกราเม็งซัปโปโร (1951): จุดเริ่มต้นที่สร้างประวัติศาสตร์
หลังจากสงครามสิ้นสุดลงในปี 1948 เมืองซัปโปโรเริ่มจัดระเบียบพื้นที่ใหม่ โดยร้านอาหารแผงลอยที่เคยตั้งอยู่ริมแม่น้ำซุซุกิกาวะถูกย้ายไปยังพื้นที่ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ในตัวเมือง จุดเด่นของพื้นที่ใหม่นี้คืออยู่ติดกับโรงภาพยนตร์ชื่อดัง “ซัปโปโรเกคิโจ” ซึ่งเป็นแหล่งรวมผู้คนมากมาย
ในปี 1951 ร้าน Koraku Ramen Meitenkai ได้ถือกำเนิดขึ้นและกลายเป็นร้านราเม็งแห่งแรกในตรอกนี้ การเปิดร้าน Koraku เป็นจุดเริ่มต้นที่ดึงดูดร้านราเม็งอื่นๆ ให้เข้ามารวมตัวกัน ตรอกแห่งนี้จึงค่อยๆ พัฒนาเป็น ตรอกราเม็ง ที่รวบรวมร้านราเม็งหลายสไตล์ไว้ในที่เดียว สร้างความแตกต่างและเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใคร
ตรอกราเม็งซัปโปโรไม่เพียงแต่เป็นสถานที่รับประทานอาหาร แต่ยังกลายเป็นจุดหมายสำคัญที่แสดงถึงการพัฒนาวัฒนธรรมอาหารในญี่ปุ่นในยุคนั้น ด้วยความหลากหลายของรสชาติ
ราเม็งที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ตรอกนี้จึงเป็นมากกว่าแหล่งอาหาร แต่เป็น “ประสบการณ์” ที่ผู้คนต้องมาสัมผัส
ราเม็งมิโสะ: การสร้างสรรค์สูตรใหม่ในซัปโปโร (1955)
ในปี 1955 โลกของราเม็งได้ก้าวไปอีกขั้นเมื่อ มาริโอะ โอมิยะ เจ้าของร้าน Aji no Sanpei ในซัปโปโร ได้คิดค้นราเม็งมิโสะขึ้นเป็นครั้งแรก เขาได้รับแรงบันดาลใจจากความรักในรสมิโสะ และจากแนวคิดของบริษัทอาหาร Maggi ที่ส่งเสริมให้ชาวญี่ปุ่นใช้มิโสะในการทำอาหารมากขึ้น
โอมิยะได้นำมิโสะมาผสมในน้ำซุปราเม็ง โดยพัฒนาสูตรให้เข้ากับรสชาติที่คนทั่วไปชื่นชอบ โดยเฉพาะคนงานในโรงงานที่ต้องการอาหารที่มีพลังงานและรสชาติกลมกล่อม ในช่วงแรก
ราเม็งมิโสะยังไม่ได้รับความนิยมในทันที แต่หลังจากการพัฒนาสูตรอย่างต่อเนื่องและการโปรโมตอย่างจริงจัง ราเม็งมิโสะก็เริ่มเป็นที่รู้จักในปี 1960 และกลายเป็นจุดเด่นของเมืองซัปโปโร
ในปี 1967 แบรนด์ราเม็งอย่าง Dosanko Ramen ได้เริ่มต้นขยายธุรกิจไปทั่วญี่ปุ่น โดยโปรโมตราเม็งมิโสะในฐานะเมนูเอกลักษณ์จากฮอกไกโด ช่วยสร้างชื่อเสียงให้ซัปโปโรกลายเป็นเมืองที่เป็นที่รู้จักในฐานะแหล่งกำเนิดของราเม็งมิโสะ
ทั้งตรอกราเม็งซัปโปโรและราเม็งมิโสะต่างเป็นเรื่องราวสำคัญที่สะท้อนถึงความคิดสร้างสรรค์และการปรับตัวของวัฒนธรรมอาหารญี่ปุ่นที่ยังคงมีเสน่ห์และทรงอิทธิพลมาจนถึงปัจจุบัน
1975…การเติบโตของวัฒนธรรมอาหารและการถือกำเนิดของราเม็งสูตรใหม่
1. ยุคบูมของวงการอาหารและราเม็ง (Gourmet Boom)
ในช่วงปี 1970 เป็นช่วงเวลาที่อุตสาหกรรมร้านอาหารในญี่ปุ่นเริ่มเติบโตอย่างรวดเร็ว และความสนใจในเรื่องอาหารก็ขยายวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ คำว่า “gourmet” จากภาษาฝรั่งเศสเริ่มถูกใช้แทนคำภาษาญี่ปุ่นที่มีความหมายเดียวกันอย่าง “shokutsu” เพื่อสะท้อนถึงความหรูหราและรสนิยมในอาหาร
อุตสาหกรรมราเม็งก็ได้รับอานิสงส์จากการบูมครั้งนี้เช่นกัน ในปี 1986 สำนักพิมพ์ Bungeishunju ได้ตีพิมพ์หนังสือ “Best of Ramen” ซึ่งเป็นไกด์บุ๊กราเม็งที่มีรูปภาพสีเต็มรูปแบบครั้งแรกของญี่ปุ่น หนังสือเล่มนี้สร้างแรงกระเพื่อมในวงการและช่วยโปรโมตร้านราเม็งจากฮอกไกโดถึงคิวชู
ต่อมาในปี 1993 สำนักพิมพ์ Media Shuppan ได้เปิดตัวหนังสือ “Zenkoku Ramen Taizen” (สารานุกรมราเม็งทั่วประเทศ) ซึ่งกลายเป็นเหมือน “คัมภีร์” สำหรับผู้ที่หลงใหลในราเม็ง
2. ราเม็งสูตรพิเศษ: Seabura Chatcha หรือราเม็งไขมันหลังหมู
ในปี 1975 ได้ถือกำเนิดราเม็งสูตรใหม่ที่เน้น “ไขมันหลังหมู” (Back-fat-sprinkled Ramen หรือ Seabura Chatcha) ซึ่งกลายเป็นที่นิยมอย่างรวดเร็ว โดยร้านแรกที่ริเริ่มสูตรนี้คือร้าน Hopeken ในย่านเซ็นดากายะ โตเกียว ร้านอื่นๆ เช่น Ramen Kazuki และ Benkei ก็เริ่มนำเสนอราเม็งสูตรนี้เช่นกัน
Hideaki Ushikubo เจ้าของร้าน Hopeken เป็นผู้บุกเบิกสูตรนี้ โดยฟังเสียงตอบรับจากลูกค้าและพัฒนาน้ำซุปจากการผสมไขมันหลังหมูเข้ากับซุปกระดูกหมูที่มีรสชาติเข้มข้นและซีอิ๊วสูตรพิเศษ นอกจากนี้ยังมีร้านในเครือและลูกศิษย์ของเขาที่ได้นำสูตรนี้ไปต่อยอด
ราเม็ง Seabura Chatcha กลายเป็นตัวเลือกยอดนิยมสำหรับผู้ที่ชื่นชอบรสชาติเข้มข้น โดยเฉพาะกลุ่มคนขับแท็กซี่และลูกค้าที่ทำงานหนัก ซึ่งต้องการอาหารที่ช่วยเติมพลังงานได้ดี
ยุค 1970 จุดเปลี่ยนสำคัญของราเม็งในญี่ปุ่น
ช่วงเวลาในปี 1970 ไม่เพียงแต่เป็นยุคที่วงการอาหารเติบโตอย่างก้าวกระโดด แต่ยังเป็นช่วงที่ราเม็งพัฒนาสูตรและเอกลักษณ์ใหม่ๆ จนสร้างกระแสความนิยมที่ยังคงส่งอิทธิพลมาจนถึงปัจจุบัน
1984…คิตากาตะ: ตำนานเมืองแห่งราเม็ง
เมื่อพูดถึงราเม็ง หลายคนอาจคุ้นเคยกับซัปโปโรหรือฮากาตะ แต่รู้หรือไม่ว่า “คิตากาตะ” คือเมืองแรกในญี่ปุ่นที่ใช้ราเม็งเป็นตัวชูโรงในการสร้างชื่อเสียงให้กับตัวเอง
ย้อนกลับไปในปี 1975 รายการโทรทัศน์ชื่อดัง Shin-Nihon-Kikou ของ NHK ได้นำเสนอเมืองคิตากาตะในฐานะ “เมืองแห่งคลังสินค้าเก่า” ที่งดงามและเต็มไปด้วยกลิ่นอายประวัติศาสตร์ รายการนี้กลายเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้คิตากาตะกลายเป็นที่รู้จักในวงกว้าง ผู้คนหลั่งไหลเข้ามาเที่ยวชมเมือง แต่ก็เกิดปัญหาขึ้น เพราะร้านอาหารในเมืองเล็กเกินไปที่จะรองรับนักท่องเที่ยวจำนวนมหาศาล
ในปี 1983 สำนักงานการท่องเที่ยวของคิตากาตะตัดสินใจผลักดันราเม็งให้เป็นจุดขายหลักของเมือง โดยร่วมมือกับ JTB Rurubu เผยแพร่บทความโปรโมตราเม็งคิตากาตะไปทั่วญี่ปุ่น ผลลัพธ์ที่ได้เกินความคาดหมาย เพราะนักท่องเที่ยวแห่กันมาเพื่อสัมผัสรสชาติราเม็งที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร
แต่สิ่งที่ทำให้ราเม็งคิตากาตะกลายเป็นตำนานจริงๆ เกิดขึ้นในปี 1987 เมื่อมีการก่อตั้ง Kura no Machi Kitakata Ramenkai ซึ่งเป็นกลุ่มที่มุ่งยกระดับคุณภาพของราเม็งในเมือง พร้อมส่งต่อสูตรลับดั้งเดิมให้คงอยู่ต่อไป คิตากาตะจึงไม่ได้เป็นแค่เมืองแห่งราเม็ง แต่ยังกลายเป็นแรงบันดาลใจให้เมืองอื่นๆ ในญี่ปุ่นนำราเม็งมาใช้ฟื้นฟูชุมชน เช่น ซาโนะในโทจิกิ โอโนมิจิในฮิโรชิมะ และชิราคาวะในฟุคุชิมะ
1985…โอกิคุโบะ: ราเม็งเล็กๆ สู่เวทีใหญ่
ในขณะเดียวกัน “โอกิคุโบะ” เมืองเล็กๆ ในโตเกียว ก็สามารถสร้างชื่อในฐานะเมืองแห่งราเม็งได้เช่นกัน
เรื่องราวของโอกิคุโบะเริ่มต้นจากการถูกแนะนำผ่านสื่อโดย Kajiro Yamamoto ผู้กำกับชื่อดัง ที่เขียนถึงร้านราเม็ง Harukiya ในหนังสืออาหารเล่มหนึ่ง ร้านนี้เริ่มกลายเป็นที่รู้จัก แต่ยังไม่ได้สร้างปรากฏการณ์อะไร จนกระทั่งปี 1984 รายการโทรทัศน์ Aikawa Kinya no Tanken Restaurant ของ TV Asahi ได้นำเสนอร้านราเม็ง Sakushin ซึ่งเป็นร้านที่ไม่ค่อยเป็นที่นิยมในตอนแรก รายการนี้ช่วยผลักดันให้ชื่อเสียงของโอกิคุโบะขยายตัวไปทั่ว
ในปี 1987 บริษัท Toyo Suisan ผู้ผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ Ogikubo Ramen พร้อมโฆษณาโดยมี Ikuzo Yoshi นักร้องและพิธีกรชื่อดังมาช่วยสร้างกระแส ทำให้โอกิคุโบะราเม็งกลายเป็นที่พูดถึงในระดับประเทศ
ทั้งคิตากาตะและโอกิคุโบะพิสูจน์ให้เห็นว่า ราเม็งไม่ใช่แค่อาหารจานหนึ่ง แต่สามารถกลายเป็นวัฒนธรรม สัญลักษณ์ และพลังที่ช่วยพลิกโฉมเมืองเล็กๆ ให้กลายเป็นจุดหมายปลายทางสำคัญของนักท่องเที่ยว!
ถ้าคุณเป็นสายราเม็ง อย่าลืมแวะไปลิ้มลองราเม็งในตำนานที่ทั้งสองเมืองนี้ เพราะที่นั่นไม่ได้มีแค่ความอร่อย แต่ยังมีเรื่องราวที่รอให้คุณไปสัมผัสด้วยตัวเอง!
1989…ยุคเฟื่องฟูของราเม็งทงคตสึ
(ราเม็งทงคตสึ-Tonkotsu Ramen เป็นราเม็งที่ได้จากการเคี้ยวกระดูกหมูเป็นเวลานานจนน้ำซุปมีความเข้มข้น และสีขาวขุ่น ด้านบนจะลอยด้วยน้ำมันหมู และมีกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์)
ราเม็งทงคตสึเริ่มได้รับความนิยมหลังจากปี 1975 เพื่อแยกแยะจากราเม็งประเภทอื่น ๆ อย่างโชยุหรือมิโซะราเม็ง ประวัติของทงคตสึราเม็งในเขตเมืองเริ่มตั้งแต่ปี 1968 เมื่อร้านราเม็ง Keika จากคุมาโมโตะมาเปิดสาขาในเมือง อย่างไรก็ตาม ราเม็งทงคตสึยังไม่ได้รับความนิยมในวงกว้างในตอนแรก เพราะลูกค้าส่วนใหญ่เป็นคนจากคิวชู
แต่ในช่วงฟองสบู่เศรษฐกิจ มีการโปรโมทร้านราเม็งอย่าง Nandenkanden, Kyushu Jangara และ Fukuchan ทำให้ทงคตสึราเม็งได้รับความนิยมมากขึ้น โดยเฉพาะร้าน Nandenkanden ที่ตั้งอยู่ในเขตชินไดตะ กลายเป็นร้านดังในยุคนั้น โดยมีลูกค้าต่อแถวรอคิวกว่า 1,000 คนทุกคืน จนเกิดปรากฏการณ์ "ความแออัดของ Nandenkanden"
1994…สวนสนุกแห่งแรกของโลกที่เน้นเรื่องอาหาร
พิพิธภัณฑ์ราเม็งชินโยโกฮามะ เปิดเมื่อวันที่ 6 มีนาคม 1994 โดยมีแนวคิดว่าเป็น "สถานที่เดียวที่คุณสามารถลิ้มลองราเม็งจากร้านดังทั่วญี่ปุ่นโดยไม่ต้องขึ้นเครื่องบิน" โครงการนี้เริ่มในปี 1990 และใช้เวลาสร้างถึง 4 ปี โดยจำลองบรรยากาศของปี 1958 และมีการเลือกเชิญร้านราเม็งชื่อดังมาร่วม
พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม มีผู้เข้าชมถึง 1,550,000 คนในปีแรก และมียอดสะสมกว่า 25,000,000 คนในปี 2016 ทั้งจากในและต่างประเทศ เป้าหมายของพิพิธภัณฑ์คือการยกระดับราเม็งให้เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมญี่ปุ่น และส่งต่อวัฒนธรรมนี้ไปยังคนรุ่นหลัง
1998…ยุคราเม็งท้องถิ่นเฟื่องฟู
ก่อนที่อินเทอร์เน็ตจะได้รับความนิยม คนทั่วไปยังไม่ค่อยรู้จักความหลากหลายของราเม็งในญี่ปุ่น ในปี 1996 พิพิธภัณฑ์ราเม็งชินโยโกฮามะได้จัดงาน "Shinyokohama Chaku Zenkoku Ramen Kiko" เพื่อแนะนำราเม็งท้องถิ่น โดยในปี 1997 ร้าน Aoba จากอาซาฮิ
คาวะได้เปิดสาขาในพิพิธภัณฑ์ ช่วยดึงดูดความสนใจต่อราเม็งท้องถิ่น
ในปี 1998 ร้าน Ide Shoten จากวาคายามะมาเปิดที่พิพิธภัณฑ์ และเป็นจุดเริ่มต้นของความนิยมราเม็งท้องถิ่น โดยมีร้านจากโทคุชิมะและฮาโกดาเตะเข้าร่วมมากขึ้น ร้านราเม็งท้องถิ่นหลายแห่งเริ่มเปิดสาขาในเมืองใหญ่ตั้งแต่ปลายปี 1990 ถึงต้นปี 2000
ร้าน Ide Shoten สามารถขายราเม็งได้ถึง 212,610 ชามใน 238 วัน แม้จะมีเพียง 23 ที่นั่ง และมีคิวรอนานถึง 180 นาที เป็นสถิติใหม่ของพิพิธภัณฑ์ ร้านนี้ได้รับความสนใจจากสื่ออย่างมาก มีการสัมภาษณ์ถึง 256 ครั้งใน 3 เดือนแรก และกลายเป็นปรากฏการณ์หนึ่งในวงการราเม็ง
ผู้ว่าการจังหวัดวาคายามะได้มอบจดหมายแสดงความขอบคุณแก่ร้าน Ide Shoten สำหรับบทบาทในการส่งเสริมการท่องเที่ยว
2000…ยุคเฟื่องฟูของเชฟราเม็ง
ช่วงปี 2000 เป็นยุครุ่งเรืองของเชฟราเม็ง ความสนใจจากลูกค้าหันไปที่ตัวเชฟผู้ทำราเม็งมากกว่าร้านราเม็งเอง ลูกค้าต่างรอต่อแถวหน้าร้านเพื่อสัมผัสประสบการณ์โดยตรงจากเชฟชื่อดัง เช่น มิโนรุ ซาโนะ จากร้าน Shinasobaya, ทาเคชิ ยามาดะ จากร้าน Menya Musashi และชิเกโตชิ นากามูระ จากร้าน Nakamuraya
ช่วงนี้วัตถุดิบพิเศษเริ่มได้รับความสนใจมากขึ้น เช่น ไก่ Nagoya Cochin ปลาซาอุริแห้ง และวัตถุดิบจากท้องถิ่นอื่น ๆ คำว่า "ราเม็ง" ปรากฏในสื่อโทรทัศน์ถึง 384 ครั้งในปี 2000 เฉลี่ยแล้วมีรายการเกี่ยวกับราเม็งออกอากาศทุกวัน ความทุ่มเทของเชฟในการพัฒนาราเม็งและเทคโนโลยีใหม่ ๆ ส่งผลให้ราเม็งพัฒนามาเป็นแบบที่เรารู้จักในปัจจุบัน
2007…ยุคเฟื่องฟูของสึเคเม็ง
(สึเคเม็ง _คือราเม็งประเภทหนึ่งซึ่งจะแยกเส้นกับซุปออกไว้คนละชาม )
แม้สึเคเม็งจะถูกคิดค้นในปี 1955 แต่ได้รับความสนใจทั่วประเทศในปี 2007 เมื่อมีข่าวการปิดร้าน Taishoken ในฮิกาชิ-อิเคะบุคุโระ ซึ่งเปิดโดยคาซูโอะ ยามากิชิ ผู้คิดค้นสึเคเม็ง โดยข่าวนี้ถูกแพร่ภาพทางโทรทัศน์ทุกช่อง ทำให้ผู้คนหันมาสนใจสึเคเม็งมากขึ้น ร้านอาหารและร้านสะดวกซื้อต่างเริ่มนำเสนอเมนูนี้
สึเคเม็งรุ่นแรกมาจาก Taishoken และรุ่นที่สองจากร้าน Ganja ที่เปิดในปี 2000 ที่คาวาโกเอะ ร้าน Ganja พัฒนาสึเคเม็งรูปแบบใหม่ที่ใช้เส้นหนา ปลาแห้งขูด และน้ำซุปเข้มข้น ซึ่งส่งผลให้เกิดความนิยมในสึเคเม็งแบบนี้อย่างมาก เชฟหลายคนได้รับแรงบันดาลใจจากสึเคเม็งสไตล์ Ganja ในปี 2009 มีการจัดเทศกาล Dai Tsukemen Haku เพื่อเฉลิมฉลองสึเคเม็งโดยเฉพาะ
2012…การขยายตัวของราเม็งสู่ระดับโลก
ราเม็งที่เริ่มต้นในญี่ปุ่น ได้ขยายตัวไปทั่วโลก รวมถึงฝรั่งเศส สหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา และออสเตรเลีย จำนวนร้านราเม็งเพิ่มขึ้นในประเทศเอเชีย ยุโรป และอเมริกาเหนือ เกินกว่า 2,000 ร้าน ณ ปี 2017 จากการสำรวจนักท่องเที่ยวพบว่าราเม็งเป็นอาหารที่ชื่นชอบที่สุดในญี่ปุ่น โดยได้คะแนนถึง 32%
ประมาณ 40 ปีก่อน ร้านราเม็งญี่ปุ่นได้เปิดในต่างประเทศ เช่น ร้าน Sapporo ในนิวยอร์ก (1975) และ Higuma ในปารีส (1984) โดยร้านเหล่านี้ตั้งขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการของพนักงานชาวญี่ปุ่นในต่างประเทศ นอกจากนี้ พิพิธภัณฑ์ราเม็งชินโยโกฮามะได้เริ่มนำเสนอบรรดาราเม็งที่พัฒนาขึ้นในต่างประเทศตั้งแต่ปี 2013 โดยมีร้านจากสหรัฐฯ เยอรมนี และอิตาลีที่มาเสิร์ฟราเม็งต้นตำรับในพิพิธภัณฑ์
2015…รางวัลมิชลินสตาร์สำหรับร้านราเม็ง
คู่มือมิชลิน โตเกียว 2008 ได้ตีพิมพ์เป็นครั้งแรกในญี่ปุ่นในปี 2007 และในปี 2011 คู่มือ
มิชลิน ฮอกไกโด 2012 ฉบับพิเศษ ได้แนะนำร้านราเม็งเป็นครั้งแรก หลังจากนั้น คู่มือในท้องถิ่นอื่น ๆ ก็เริ่มรวมร้านราเม็งเข้าไปด้วย คู่มือมิชลิน โตเกียว 2016 ที่ตีพิมพ์ในปี 2015 ได้มอบรางวัล 1 ดาวให้กับร้านญี่ปุ่นโซบะนู้ดเดิล Tsuta (Sugamo) ซึ่งกลายเป็นร้านราเม็งร้านแรกของญี่ปุ่นที่ได้รับดาวมิชลินนี้
คู่มือมิชลิน โตเกียว มักจะเลือกเฉพาะร้านราเม็งสไตล์ "tanrei" ที่เน้นซุปใสรสชาติกลมกล่อมจากวัตถุดิบคุณภาพสูง ปรุงรสด้วยซอสถั่วเหลืองหรือเกลือ คำว่า "tanrei" ได้รับความนิยมราวปี 2010 โดยหมายถึงราเม็งสไตล์คานากาวะที่พัฒนาในคานางาวะ ร้านที่เป็นตัวแทนของสไตล์นี้ ได้แก่ Shinasobaya (Totsuka) และ Nakamuraya (Ebina) ร้านราเม็งที่มีน้ำซุปข้นที่ใช้ปลาหรือกระดูกหมูเริ่มครองตลาดมากขึ้น ซึ่งอาจเป็นเพราะอิทธิพลจากคู่มือมิชลิน.
ส่งท้ายด้วยบุคคลสำคัญที่เป็นผู้ทำให้มนุษยชาติสามารถมีชีวิตรอดได้ถึงสิ้นเดือนครับ 😂
จุดเริ่มต้นของ “บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป” ชิ้นแรกของโลก
หากคุณเคยทานบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป คุณต้องขอบคุณ โมโมฟุกุ อันโด ชายผู้พลิกโฉมโลกอาหาร! ในปี 1958 เขาได้คิดค้น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปชนิดแรกของโลก หรือที่เรารู้จักกันดีในชื่อ Chicken Ramen
หลังสงครามโลกครั้งที่สอง อาหารเป็นสิ่งที่หายาก โมโมฟุกุ อันโด เห็นผู้คนต่อแถวยาวท่ามกลางความหนาวเย็นบริเวณตลาดมืดใกล้สถานีอุเมดะในโอซาก้า เพื่อซื้อราเม็งราคาถูก ภาพนี้กระตุ้นให้เขาเกิดไอเดียสร้างราเม็งที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้น
อันโดเริ่มต้นจากโรงเก็บของเล็กๆ ในสวนของเขา เขาทดลองซ้ำแล้วซ้ำเล่า และได้แรงบันดาลใจจากวิธีการทำเทมปุระของภรรยา นั่นคือการทอดเส้นราเม็งด้วยน้ำมันที่อุณหภูมิสูง เพื่อกำจัดความชื้นในเส้นออก ทำให้สามารถเก็บรักษาได้นานและสะดวกในการนำมาปรุงใหม่
การปฏิวัติวงการราเม็ง
“Chicken Ramen” ไม่ใช่แค่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเท่านั้น แต่มันคือการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวัฒนธรรมอาหารโลก ชื่อ “ราเม็ง” ที่เดิมใช้เรียกบะหมี่สไตล์จีน กลับกลายเป็นที่รู้จักในรูปแบบใหม่อย่างกว้างขวาง
ความสำเร็จของบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในอุตสาหกรรมอาหาร เพราะทำให้ราเม็งกลายเป็นอาหารที่เข้าถึงได้ง่ายในทุกครัวเรือน และในปี 1971 โมโมฟุกุ อันโด ได้สร้างนวัตกรรมอีกครั้งด้วยการเปิดตัว Cup Noodles บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่บรรจุในถ้วยแบบพร้อมทาน
จนถึงปัจจุบัน ความต้องการบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปทั่วโลกพุ่งสูงถึง หนึ่งแสนล้านหน่วยต่อปี แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของอาหารที่เริ่มต้นจากโรงเก็บของเล็กๆ ของชายคนหนึ่งที่มีความฝัน
บทเรียนจากโมโมฟุกุ อันโด
เรื่องราวของโมโมฟุกุ อันโด ไม่ใช่แค่การคิดค้นอาหาร แต่ยังเป็นแรงบันดาลใจของการไม่ยอมแพ้ เขาพิสูจน์ว่าไอเดียเล็กๆ หากผสมกับความพยายาม ก็สามารถเปลี่ยนโลกได้
หากคุณเป็นคนหนึ่งที่เคยมีช่วงเวลาที่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปช่วยชีวิต ไม่ว่าจะเป็นมื้อด่วนในช่วงเรียนหรือมื้อประหยัดช่วงสิ้นเดือน อย่าลืมรำลึกถึงโมโมฟุกุ อันโด ผู้ที่เปลี่ยนสิ่งง่ายๆ ให้กลายเป็นตำนานอาหารที่โลกไม่มีวันลืม
บรรยากาศภายในพิพิธภัณฑ์
ชินโยโกฮาม่าราเม็งมิวเซียม
| ค่าเข้าชม(ตั๋วรายวัน)
ผู้ใหญ่(อายุ19ปีหรือมากกว่า) 450เยน
เด็ก(อายุ6-18ปี)&ผู้สูงอายุ(อายุ65ปีขึ้นไป)100เยน
*สำหรับเด็กอายุน้อยกว่า6ขวบ ฟรีค่าเข้าชม
| ค่าเข้าชม (กรุ๊ป 15ท่านขึ้นไป)
ผู้ใหญ่(อายุ19หรือมากกว่า) 400เยน
เด็ก(อายุ6-18ปี)&ผู้สูงอายุ(อายุ65ปีขึ้นไป)50เยน
*สำหรับเด็กอายุน้อยกว่า6ขวบ ฟรีค่าเข้าชม
| เวลาทำการ
วันธรรมดา 11:00-21:00
วันหยุด/วันหยุดนักขัตฤกษ์ 10:30-21:00
*ร้านราเม็งแต่ละร้านจะรับออเดอร์สุดท้ายก่อนเวลาปิดทำการ30นาที
| วันหยุดประจำปี
31ธันวาคม,1มกราคม
เว็บไซต์ | https://www.raumen.co.jp/
โฆษณา