9 ม.ค. เวลา 16:01 • สุขภาพ

เมื่อรู้ตัวว่าเป็นผู้ป่วยมะเร็ง - Part I

ในวันใดวันหนึ่งหรือในช่วงชีวิตหนึ่ง ถ้าคนเราครั้งหนึ่ง ต้องพบกับการมีปัญหาด้านสุขภาพขั้นรุนแรง ที่มีผลกระทบไม่เพียงแค่กับตัวเอง แต่มีผลกับคนรอบข้างไม่ว่าจะครอบครัว ญาติพี่น้อง ที่ทำงาน เพื่อนสนิท คนสนิท หรือแม้แต่คนรู้จัก การที่มีใครคนนึงมากบอกว่าจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน การที่จะใช้ชีวิตได้แบบไม่ปกติอีกต่อไป ถ้าเป็นผู้อ่านเจอสถานการณ์แบบ การรับมือ การเตรียมตัว การใช้ชีวิตต่อจากนี้ มันต่างเป็นคำถามที่วิ่งเข้ามาอย่างลีกเลี่ยงไม่ได้
สิ่งต่างๆ เหล่านี้ มันต่างเป็นคำถามที่วิ่งเข้ามาอย่างลีกเลี่ยงไม่ได้ มันเป็นช่วงเวลาหนึ่งที่กินเวลากว่าหนึ่งปี ที่ผู้เขียนได้พบเจอ ได้สัมผัส ได้เห็นมุมมองที่แตกต่างที่ในชีวิตครั้งหนึ่งไม่เคยได้เห็น รวมถึงสิ่งต่างที่มันเข้ามาและออกไปในช่วงเวลานั้น
กับช่วงอายุสามสิบต้นๆ ทำงานอยู่ในหน่วยงานในกำกับของรัฐแห่งหนึ่ง กับช่วงอายุเท่านี้ ก็ต้องมีเรื่องให้ต้องผ่านร้อนผ่านหนาวมาไม่มากก็น้อย ผู้เขียนเองก็มีช่วงชีวิตที่ขึ้นและลงตามจังหว่ะชีวิตเหมือนกับคนทั่วๆ ไป ในช่วงก่อนที่จะรู้ตัวว่ามีปัญหาสุขภาพรุนแรง ผู้เขียนมีปัญหาส่วนตัวที่ทำให้ตัวเองอยู่ในสภาวะเกือบเป็นโรคซึมเศร้า มันถึงขั้นไหน... มันถึงระดับไหนกันล่ะ
เอาเป็นว่าระดับที่ไปยืนอยู่ริมตึกสูงแล้วรู้สึกอยากกระโดดลงไปให้ชีวิตมันจบๆ ไป ไม่อยากรับรู้ ไม่อยากรู้สึกอะไร ไม่อยากอยู่ต่อไปอีกแล้ว แต่ในท้ายที่สุดก็ยังพาตัวเองผ่านจุดนั้นแล้วกลับมาใช้ชีวิตแบบปกติได้ (เรื่องนี้ไม่เคยบอกใครเลย)
การใช้ชีวิตของผู้เขียน ปกติจะรักสันโดษ โลกส่วนตัวบ้าง ชอบไปไหนมาไหนคนเดียว เป็นแบบนี้ตั้งแต่สมัยเป็นนักศึกษา แต่ก็มีสังคมนะ มีกลุ่มเพื่อนเล็กๆ มีกลุ่มเพื่อนที่เล่นดนตรีจนมีวงดนตรีสมัยเป็นนักศึกษา รับเล่นตามงานบ้าง ตามร้านอาหาร บาร์ บ้างในบางครั้ง เอาเป็นว่าหารายได้เสริมกันแหละ เรื่องดื่มกินก็มีบ้างแต่ไม่บ่อย เรียกมานานๆ ครั้งเลยก็ได้ ไปก็ไปนั่งดื่มคนเดียวสักพักก็กลับ
เป็นแบบนี้จนมาถึงช่วงที่ทำงาน ยิ่งช่วงก่อนที่จะรู้ตัวว่ามีปัญหาสุขภาพรุนแรง เรื่องดื่มนี่เรียกได้ว่าเลิกเด็ดขาดมาก่อนหน้านั้นสองสามปี ออกกำลังกายตลอด เล่นฟุตบอลหนึ่งสัปดาห์ประมาณสองถึงสามครั้ง ปั่นจักรยานหนึ่งถึงสองวันต่อสัปดาห์ ระยะทางครั้งละสิบถึงยี่สิบกิโลเมตรโดยเฉลี่ย ถ้าถามว่าเคยได้เข้าโรงพยาบาลถึงขึ้นต้องแอดมิดหรือไม่ ก็เคยแหละ ประมาณสามครั้งแต่ไม่ได้รุนแรงอะไรมาก จะมีครั้งที่สามที่นอนโรงพยาบาลนานสุดแล้ว ประมาณเจ็ดวันได้ แต่อาการป่วยในตอนนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับปัญหาสุขภาพรุนแรงอะไร
การทำงาน ไม่ได้มีปัญหาจากทำงานมากมาย ปัญหาก็เรื่องทั่วไปไม่ได้ทำให้เก็บมาเครียดหรือสะสมอะไร โรคประจำตัวมีแค่โรคภูมิแพ้ หรือจะเรียกว่าโรคประจำตระกูลก็ได้ ในหมู่ญาติพี่น้องเป็นกันแทบทุกคน
และอะไรที่ทำให้รู้สึกว่าตัวเองผิดปกติ อาการอะไรบ่งชี้ว่าตัวเองกำลังมีปัญหาสุขภาพที่รุนแรง ถ้าในความคิดของผู้เขียนน่าเป็นอาการที่มีหูอื้อด้านขวา คืออยู่ๆ ก็อื้อขึ้นมา จำได้ว่าพอตื่นนอนขึ้นมาสักพักก็มีอาการหูอื้อ ตอนแรกคิดว่าไม่นานอาการก็จะหายไปเอง เพราะส่วนตัวก็จะเกิดอาการหูอื้ออยู่เป็นประจำเพราะเป็นโรคภูมิแพ้ ง่ายๆ คือ ถ้ามีอาการของโรคภูมิแพ้เมื่อไหร่ อาการหูอื้อก็จะตามมา สักวันสองอาการก็จะหายไปเอง และวันอาการภูมิแพ้ก็ออกอาการพอดี
แต่อาการที่แตกต่างจากอาการหูอื้อที่เคยปกติ คือรู้สึกแน่นหูอยู่ตลอดเวลาเหมือนกับว่าเอาอะไรมาอุดหูไว้ จนเวลาผ่านไปจากหนึ่งถึงสองวัน จนเป็นสัปดาห์ อาการดังกล่าวก็ไม่หาย มีแต่เบาลงไปบ้างแต่ไม่นานก็จะกลับมาเป็นเหมือนเดิม หลังเลิกงานวันหนึ่ง เลยตัดสินใจไปคลีนิค หู คอ จมูก หลังจากการตรวจโดยละเอียด ทั้งส่องกล้องเข้าไปดูในโพรงจมูก ส่องดูด้านในรูหูก็เจอสาเหตุที่ทำให้หูอื้อและแน่นคือ มีน้ำในหูชั้นกลางด้านขวา
แล้วมันเกิดจากอะไร หมอที่ตรวจวินิจฉัยว่าเกิดจากการขึ้นเครื่องบินเจอความเปลี่ยนแปลงของความกดอากาศ หรือไปบนพื้นที่สูงๆ มาก เมื่อไปอยู่จุดนั้นเริ่มต้นจะมีอาการปวดหูมาแล้วก็จะค่อยๆ หายไปเอง
โฆษณา