10 ม.ค. เวลา 01:02 • ธุรกิจ

แค่ทำให้เสร็จไม่ได้อีกต่อไป แต่ต้องทำให้สำเร็จ

‘Entrepreneur Mindset’ สิ่งที่คนทำธุรกิจต้องโฟกัสในปี 2025 คาดการณ์เทรนด์โดยคุณรวิศ หาญอุตสาหะ
1 เทรนด์ที่เกี่ยวข้องกับผู้ประกอบการอย่างแท้จริง และสำคัญในทุก ๆ ปี คือคุณต้องมี ‘Entrepreneur Mindset’
คุณแท็ป - รวิศ หาญอุตสาหะ CEO, Srichand ศรีจันทร์ และ Mission To The Moon ได้แนะนำ 1 เทรนด์ที่เกี่ยวข้องกับผู้ประกอบการอย่างแท้จริง และสำคัญในทุก ๆ ปี คือคุณต้องมี ‘Entrepreneur Mindset’ และการจะมีสิ่งนี้ได้นั่นหมายถึงคุณต้องทำงานให้สำเร็จ หรือมีความพยายามทำให้มันสำเร็จให้ได้ ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญในปี 2025 ที่ทุกคนต้องกลับมาให้ความสำคัญ
✨ Entrepreneur Mindset หรือคนที่ทำงานสำเร็จ เขามีวิธีคิดอย่างไร ?
คำว่า ‘งานสำเร็จ’ แปลว่า เราไม่รู้หรอกว่าระหว่างทางจะเจออะไรบ้าง แต่รู้จุดจบปลายทางว่าจะเจออะไรบ้าง ซึ่งเป็นหนึ่งในคุณสมบัติที่สำคัญมาก ๆ ของการมี Entrepreneur Mindset เรื่องนี้สำคัญโดยเฉพาะในโลกที่เปลี่ยนแปลงเร็ว คนทำงานที่รู้ว่าต้องทำอะไร ทำไงให้สำเร็จ เรียกได้ว่านี่คือที่สุดของความสำคัญในโลกการทำงาน
✨ ตัวอย่างของคนที่ทำงานเสร็จ VS คนที่ทำงานสำเร็จ
สมมุติเราทำงานจัดอีเวนต์สัก 1 งาน แล้วมีเช็กลิสต์งานประมาณ 50 ข้อ
คนที่ทำงานเสร็จ = คือคนที่จะทำงานครบทุกข้อให้จบ แต่ไม่ได้ตั้งคำถามต่อว่า ‘แล้วงานมันออกมาแบบที่เราอยากให้เป็นรึเปล่า’
ส่วนคนที่เขาทำงานให้สำเร็จ = จะคิดก่อนว่าการทำให้สำเร็จคืออะไร เช่น คนมางานแฮปปี้, มีข่าว PR ได้การตอบรับที่ดี, อีเวนต์ได้รับ Engagement ที่ดีกับคนมาร่วมงาน นั่นเพราะว่า ‘เขาจะมองภาพจบก่อน’ แล้วมาไล่ว่าเราจะทำไรบ้าง 1-5 แล้วถ้าระหว่างทางมันจะไม่สำเร็จ เขาก็จะไปต่อ แก้ไขปัญหาระหว่างทาง เพื่อไปให้ถึงเป้าหมายที่เราต้องการ
นี่จึงเป็นที่มาของคำตอบที่ว่า ทำไมเทรนด์ Entrepreneur Mindset ถึงมีความสำคัญ แล้วมีเรื่องไหนบ้างที่เราควรให้ความสำคัญในการกลับมาให้ความสำคัญกับธุรกิจ, คนทำงาน รวมถึงตัวคุณเอง ในการโฟกัสแผนธุรกิจในปีนี้!
✅ 1. Goal & Extra Mind คือหัวใจหลักของคนที่มี Entrepreneur Mindset
คำว่า Goal & Extra Mind คือ “สิ่งที่เราต้องการมันเกิดขึ้นหรือเปล่า ?” อย่าเพิ่งคิดว่าทำงานนี้เสร็จแล้วจบไป แต่ควรกลับมามองอีกสักนิด ว่ามันเรียบร้อยดีหรือเปล่า คือการคิดต่อ คิดเพิ่มอีกนิดเดียว แต่เป็นนิดเดียวที่กลับได้มาซึ่งคุณค่ามหาศาล เพราะสิ่งที่เราต้องการ มันควรต้องเกิดขึ้น เป้าหมายที่วางไว้ควรสำเร็จ นี่คือโจทย์สำคัญของผู้ประกอบการทุกคน รวมไปถึงคนทำงานด้วยเช่นกัน
✅ 2. ทัศนคติที่ดีต่อการทำงาน เป็นเรื่องที่ใคร ๆ ก็มีได้
การจะมี Entrepreneur Mindset ขึ้นอยู่กับทัศนคติเป็นหลัก เช่น หากเราได้มีโอกาสสัมภาษณ์ใครสักคน ในฝั่งของคนถูกสัมภาษณ์ (Speaker) ก็ต้องคิดว่า คำว่าสำเร็จคืออะไร มันไม่ใช่แค่พูด ๆ แล้วก็จบ แสดงว่าฝั่งคนสัมภาษณ์เขาต้องได้ข้อมูลครบถ้วนสมบูรณ์จาก Speaker ซึ่งมาจากการที่ Speaker ให้ Information อย่างเต็มที่ หรือระหว่างทางหากข้อมูลนั้นไม่แน่ชัด ฝั่ง Speaker ก็ต้องบอกกับผู้สัมภาษณ์ตรง ๆ ว่าข้อมูลนี้ขอผมกลับไปหาข้อมูลเพิ่ม แล้วส่งข้อมูลกลับไปให้
กลับกันคนที่ทำงานแค่เสร็จ ก็แค่ถามคำตอบคำ ไม่ได้ต้องใส่ใจอะไรเป็นพิเศษ นี่แหละคือความหมายของคำว่าทัศนคติที่ดี มันต่างกันแค่นิดเดียว นี่เป็นเรื่องเล็กที่สำคัญ ของแบบนี้ไม่เกี่ยวกับความสามารถด้วยนะมันเป็น Mindset ล้วน ๆ
✅ 3. อย่าแค่บอกว่าเราจะดูแลลูกค้าให้ดี แต่ควรแสดงให้เห็นว่าคุณกำลังดูแลลูกค้าให้ดีที่สุด
ปัจจุบันเรื่องของความโปร่งใสมีความสำคัญมากไม่ว่าจะธุรกิจเล็ก หรือธุรกิจใหญ่ ตั้งแต่การมองไปถึงผู้นำ เป็นคนอย่างไร, มีการดูแลพนักงานที่ดีหรือไม่, เบื้องหลังการผลิตสินค้าถูกต้อง สะอาด ตามหลักหรือเปล่า ดังนั้นคำว่า ‘การดูแลลูกค้าให้ดี’ กับ ‘การดูแลลูกค้าให้ดีที่สุด’ มันมีความแตกต่างที่เส้นบาง ๆ ของการคิดว่า “ลูกค้าจ่ายเงินซื้อสินค้าและบริการของเรา เขาต้องได้อะไรกลับไปมากกว่าที่เขาจ่ายเงินให้เรา”
ถ้าคิดแบบดูแลลูกค้าให้ดี = ถ้าลูกค้าจ่ายเงิน 100 บาท แสดงว่า Value มันก็ควรจะ 100 บาท
ถ้าคิดแบบดูแลลูกค้าให้ดีที่สุด = ถ้าลูกค้าจ่ายเงิน 100 บาท แสดงว่า Value มันก็ควรจะ 150 บาท หรือมากกว่านั้น
✅ 4. ไม่มีอะไรดีไปกว่า “ผู้นำ ต้องลงมือทำให้ดูเป็นตัวอย่าง”
หน้าที่สำคัญที่สุดของผู้นำคือเรื่องนี้เลย คือการทำให้เห็นเป็นตัวอย่าง ตั้งแต่วิธีการทำงาน, วิธีดูแลลูกค้าให้ดีที่สุดของเรา เมื่อผู้นำลงมือทำจริงให้เห็น คนทำงานก็จะเห็นจริง ๆ
ยกตัวอย่างเช่น หากเรากำลังจัดงานอีเวนต์ก็มักจะติดขัดปัญหามากมาย ทำไม Organizer ยังไม่มายกของให้ลูกค้าอีก แต่ถ้าผู้นำเห็นแล้วเดินไปยกของชิ้นนั้น มันจะไม่เกิดคำถามอีกเลยว่า Organizer อยู่ที่ไหน แล้วทุกอย่างมันจะราบรื่นขึ้น เพราะ ผู้นำลงมาจัดการเอง คือทำให้เห็นเลยว่ามันแก้ปัญหาได้นะ แต่เรื่องนี้ไม่ได้จำเป็นที่ผู้นำจะต้องทำเรื่องนี้ไปตลอด แต่นี่คือการแสดงให้คนทำงานเห็นว่า…
แท้จริงแล้ว Entrepreneur Mindset ไม่ใช่ต้องดีแค่ผู้ประกอบการนะ แต่แท้จริงแล้วมันคือ “ตัวเรา” คุณแท็ปเน้นย้ำเลยว่า เราทุกคนควรตั้งคำถามกับตัวเองว่า “เราทำงานไปเพื่ออะไร” และเราควรทำงานเพื่อให้เก่งขึ้น มันอาจจะไม่ใช่ทุกคนที่คิดแบบนี้ แต่คนที่ทำงานเพื่อให้ตัวเองเก่งขึ้นหลาย ๆ คนมันจะประสบความสำเร็จจริง ดังนั้นที่ไหนมีผู้นำที่ตัวเราทำงานแล้วเก่งขึ้นในทุกวัน มันจะสร้าง Entrepreneur Mindset ได้จริง
✅ 5. หน้าที่ของผู้นำที่ดี เพื่อนำไปสู่ Entrepreneur Mindset ให้กับคนทั้งองค์กร ควรต้องโฟกัสอะไร ?
5.1 เริ่มจาก ‘Set the tone’
ว่าที่นี่เราอยู่กันแบบไหน ถ้าเราอยู่แบบเจ้ายศเจ้าอย่าง ชี้นิ้วสั่ง CEO เน้นสั่งงาน ไม่เคยลงไปดูหน้างาน ลูกน้องก็จะเป็นแบบผู้นำ แต่กลับกันถ้า CEO ดูดีเทล หน้างานไปลุยกับทุกคนด้วยกัน ให้ความสำคัญกับรายละเอียด คนอื่นก็จะทำตามเช่นกัน มันคือการ Set tone ขององค์กร
5.2 Culture ที่ดีต้องเริ่มจาก CEO
เมื่อ CEO หรือผู้นำระดับสูง Set tone แล้วทำอย่างสม่ำเสมอ คนทำงานจะค่อย ๆ ซึมซับไปเรื่อย ๆ แล้วสุดท้ายมันจะเกิด Culture ตามมา แล้วจะเห็นว่าแบบนี้ทำไม่ได้ แล้วแบบไหนที่ทำได้ และควรทำ พี่แท็ปเล่าเคสนึงที่เคยคุยกับ คุณรุตม์ อานนทวงศ์ (LINE MAN Wongnai) โดยคุณรุตม์ให้นิยามว่า จริง ๆ แล้ว Culture มันคือ “People like us do thing like this” เราเป็นคนกำหนด Culture ได้ แต่ไม่ใช่เราพูดแต่ต้องทำให้ดู
สังเกตดูได้เลยว่าองค์กรเป็นแบบไหนลองดูที่ผู้นำ คนที่ไม่เป็นแบบนั้นก็จะอยู่ไม่ได้ นี่คือหน้าที่สำคัญของผู้นำ
✅ 6. เรื่องไหนบ้างที่ควรเลิกทำ / และเรื่องไหนที่ควรเริ่มทำ ในปี 2025 นี้!
[ เรื่องที่ควรเลิกได้แล้ว ]
❌ เรื่องที่ 1: เลิกคิด เลิกพูดคำว่า เพราะเราเคยทำแบบนี้แล้ว เคยทำแบบนี้มาก่อน
ใครที่ชอบตอบคำถามด้วยคำตอบที่ว่า “เพราะเราเคยทำแบบนี้” เรื่องนี้อันตรายมาก แต่แค่ช่วงนี้จะอันตรายเป็นพิเศษเพราะเราอยู่ในยุคที่เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การที่เรายังมาพูดอยู่ว่า เมื่อก่อนเคยแก้ปัญหานี้ได้ ปัจจุบันก็จะแก้ปัญหาแบบเดิม ในความเป็นจริงมันไม่ใช่เลย เพราะทุกอย่างมันเกิดการเปลี่ยนแปลงไวขึ้น ดังนั้น Mindset แบบนี้น่ากลัว! เพราะนี่คือทัศนคติที่ค่อนข้างสบายเกินไป ควรเลิกคิดแบบนี้ได้แล้ว
❌ เรื่องที่ 2: เลิกปฏิเสธ AI มันเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องประยุกต์ใช้ให้เป็น
ต่อให้คุณเป็นธุรกิจที่เล็กที่สุด ไม่มีลูกจ้างเลย มีเราคนเดียว การไม่สนใจสิ่งที่เรียกว่า AI อาจส่งผลเสียมากกว่าที่คุณคิด พี่แท็ปเล่าให้ฟังถึงการได้คุยกับ คุณเติร์ด เทพลีลา ถึงมุม Creator ว่าในวันนี้มันมี AI อยู่ตัวนึง ถ้าเรามีเนื้อหา 1 เรื่อง แล้วโพสต์เว็บ เจ้า AI มันจะช่วยปรับเนื้อหา กับไซส์ภาพ แถมยัง Generate รูปให้เหมาะกับแพลตฟอร์มทุกอันด้วย แล้วส่งอีเมลมาหาเราว่าโอเคไหม พอเรากดทีเดียวมันโพสต์หมดเลยทุก Account ซึ่งอาจจะจบภายใน 5 นาทีเท่านั้น
นี่คือเรื่องพื้นฐานในการเข้าใจและใช้ AI ให้เป็น มันเหมือนเราแข่งคิดเลข คนนึงใช้เครื่อง คนนึงใช้กระดาษปากกา และมันไม่ใช่ใครเก่งกว่าใคร แต่มันเป็นเครื่องมือที่คนต้องเรียนรู้ ความสำคัญของเรื่องนี้คือมันไม่ใช่ของที่เรียนรู้ได้ภายในหนึ่งวัน แล้วบอกได้เลยว่าจะใช้ไม่ใช้ มันต้องเรียนรู้ไปเรื่อย ๆ แต่ละหมวดก็มี AI เยอะมาก เราต้องลองผิดลองถูกเรื่อย ๆ เรื่องนี้สำคัญ
[ เรื่องที่ควรทำในปีนี้ ]
✅ เรื่องที่ 1: ตั้งคำถาม ทำการบ้านให้มาก เพื่อกำหนดทิศทางที่กำลังจะไปในยุค AI
ต้องบอกก่อนว่าการมาของ Tech ในรอบนี้ มันอยู่ตรงคลื่นการเปลี่ยนแปลงใหญ่ เพราะผู้เชี่ยวชาญหลายคนบอกว่า AI คล้ายกับการเปลี่ยนแปลงในยุคอินเทอร์เน็ต ซึ่งจะเปลี่ยนความเชื่อและวิถีชีวิตไปตลอดกาล เราจึงต้องเข้าใจเรื่องนี้ก่อนที่จะเริ่มทำสิ่งใหม่ในปีนี้
ให้ทุกคนกลับมาตั้งคำถาม แล้วลองกลับไปดูธุรกิจในยุคก่อนอินเทอร์เน็ต กับยุคที่มีอินเทอร์เน็ตใช้งานกว้างขวาง ธุรกิจหายเข้าออกกันกี่เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเอาเข้าจริงหายไปเกือบ 80% ได้ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ GE (General Electric) ในอดีตถือว่าเป็นบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในโลก ตอนนั้น Microsoft ยังเพิ่งเริ่มเล็ก ๆ แต่ผ่านมา 20-30 ปี มันเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือเพราะการมาของยุค Internet ซึ่งเราไม่ควรประมาทเพราะครั้งนี้อาจจะเร็วกว่าครั้งที่แล้วเยอะ
✅ เรื่องที่ 2: Lean + กล้าลองผิดและกล้าลองถูก = นำไปสู่การตั้งเป้าหมายให้เราเก่งขึ้น
การลองผิดลองถูกในอนาคตจะยังมีอยู่ เพราะเมื่อเราไม่รู้ เราต้องลอง เพียงแต่ว่าด้วยเทคโนโลยีต่าง ๆ ทำให้การลองของเราต้นทุนต่ำลง สมัยก่อนบางอย่างต้นทุนแพง แต่อีกหน่อยอาจจะทำให้ต้นทุนต่ำลงได้
ส่วนคำว่า Lean มีหลายอย่าง เช่น มีคนเท่าเดิมแต่ทำไงให้ของมากขึ้น หรือคนเท่าเดิมแต่ต้นทุนบางอย่างลดลง ดังนั้นโลกของเรา Productivity เพิ่มตลอด สมมุติปีนี้กับปีหน้ามีเครื่องมือมาช่วยเรา ก็จะมีคนมาถามอีกว่าคนทำงานชั่วโมงน้อยลงไหม คำตอบก็คือคู่แข่งเราก็วิ่งเร็วเหมือนกัน มันเป็นลักษณะของโลกธุรกิจอยู่แล้ว
ดังนั้นเราควรจะ ‘ควรตั้งเป้าหมาย ว่าเราจะต้องเก่งขึ้น’ ถ้าเราคิดแบบนี้เชื่อว่ายังไงเราก็โอเค สิ่งนี้ทำเพื่อตัวเราเอง เรามาทำงานทุกวันนี้เพื่อให้เราเก่งขึ้น ตัวเราได้ประโยชน์ที่สุด ตัวเราจะมีคุณค่ามากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งถือเป็น Mindset ที่ดีที่สุดในการทำงานเลยก็ว่าได้ แล้วที่สำคัญสิ่งที่เป็นค่าตอบแทนก็จะวิ่งตามมา เพราะเมื่อเราเก่งขึ้น ค่าตอบแทนเราก็จะสูงขึ้น
✨ และทั้งหมดนี้คือ Entrepreneur Mindset มนุษย์มีความมหัศจรรย์ในการปรับตัว นั่นแสดงว่าเราสามารถปรับเปลี่ยน Mindset ได้เสมอ วันนี้เมื่อเราต้องเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลง หรือเจอกับความล้มเหลว อย่าเพิ่งรีบกลัว เพราะคนส่วนใหญ่ไม่เคยคิดถึงมุมที่ตัวเองจะล้มเหลว แต่ถ้าหากเรารู้ว่า ล้มเต็มที่ก็แค่เสียเงินเท่านี้ เสียเวลาเท่านี้ เราจะไม่กลัวแล้วเพราะเรารู้ว่านี่คือที่สุดมันก็แค่นี้
มนุษย์เป็นคนช่างจินตนาการ ถ้าเรารู้ก่อน เราจะไม่กลัว ซึ่งการรู้ก่อนมันคือการปรับก่อน เตรียมความพร้อมก่อน ที่จะเริ่ม เพื่อสู้กันไปให้เป็นคนที่สำเร็จได้จริง
✍🏻 สัมภาษณ์, เรียบเรียง: กิตติภพ ปานล้ำเลิศ
🎨 ภาพประกอบ: อลิสา อรุณสิริเลิศ
โฆษณา