กระแสของ AI โดยเฉพาะ Generative AI ยังคงวนเวียนและสร้าง New Hype ตลอดเวลาในปี 2024 ที่ผ่านมา “ของมันต้องมี” ที่ว่านี้ได้ถูกนำไปใช้ในทางธุรกิจและส่วนตัวอย่างแพร่หลาย โดยมีความสามารถใหม่ๆของ AI ที่ออกมาจากฟากผู้ให้บริการต่างๆเป็นตัวขับให้ความฝันในการเพิ่ม productivity ผ่านระบบโดยอัตโนมัติ ดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง เชื่อว่าหลายๆท่านคงจะได้เห็น feed ต่างๆที่ชวนเราไปสมัครการอบรมเกี่ยวกับการใช้ generative AI อยู่บ่อยครั้ง
ขณะเดียวกัน ในปีที่ผ่านมา ก็เริ่มมีกระแสเกี่ยวกับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่สืบเนื่องมาจากการใช้ generative AI ใครจะคิดบ้างว่าการถามตอบเพียงครั้งเดียวกับ Generative AI จะส่งผลให้เกิดการเผาผลาญพลังงานไฟฟ้าไปมากถึง 50 Wh (หรือใช้โทรศัพท์มือถือจนแบตหมดเกลี้ยงแล้วมาชาร์ตไฟจนเต็มใหม่ ได้ 3-4 ครั้ง!) และต้องสูญเสียน้ำสะอาดเพื่อรักษาอุณหภูมิของ Data Center ที่เก็บคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในการประมวลผลของ AI ที่ระเหยไปในอากาศมากถึง 6 ช้อนโต๊ะ!
ฟังดูอาจจะไม่มากสำหรับใครหลายๆคน แต่ลองคิดถึงปริมาณผู้ใช้งาน ChatGPT เพียงแค่ค่ายเดียวในตอนนี้ที่มากถึง 300 ล้านคนต่อหนึ่งสัปดาห์ดู และที่สำคัญอัตราส่วนของการใช้พลังงานของ Generative AI ที่ใช้ใน data center นั้น ยังเป็นเพียง 7% ของพลังงานทั้งหมดที่ใช้ไป ดังนั้น “ของมันต้องมี” นี้จึงมีความท้าทายอีกหลายอย่างในอนาคต
AI application เป็นสาเหตุหลักที่ tech giant ทั้งหลายสนใจที่จะกระจายการตั้ง data center ออกไปมากขึ้น และนี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของจุดที่ไม่หวนกลับ (Point of No Return) ของการพัฒนา AI application เท่านั้น พลังงานที่ถูกใช้ในการสอนและการเข้าใช้ AI จะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล จนไม่สามารถจะรวมศูนย์ได้ ส่วนการกระจายศูนย์ไปถึงระดับการกระจายตัวของหน่วยประมวลผลที่เรียกว่า 5G Multi-access Edge Computing (5G MEC) ได้หรือไม่นั้นเป็นสิ่งที่ต้องจับตามอง
และเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการประท้วงจากภาคประชาชนที่เกิดจากการเบียดบังทรัพยากรที่สำคัญรวมถึงน้ำสะอาด แหล่งพลังงานจาก fossil จะถูกท้าทายด้วยพลังงานที่สะอาดกว่าอย่างนิวเคลียร์และ renewable energy อื่นๆ ดังนั้น ผู้ให้บริการ AI ที่เน้นเรื่องการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพและสะอาด น่าจะเป็นจุดขายใหม่ได้
Good Data Starving AI
การที่จะสอนให้ AI ฉลาดขึ้นกว่านี้ต้องอาศัยข้อมูลที่มีคุณภาพ การด้นสดของ AI (hallucination) นั้นเป็นปัญหาใหญ่ที่ทำให้การรักษาคุณภาพของข้อมูลบน internet เป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างยิ่ง ยิ่งมีการใช้ Agentic AI ในการผลิตสื่อออกมา ก็ยิ่งอาจจะทำให้คุณภาพของสื่อนั้นด้อยลงจาก productivity ที่เพิ่มขึ้นอย่างมากมายโดยผู้ผลิตก็ไม่อยากจะตรวจและผู้เสพก็ไม่อยากอ่าน เพราะมันมีมากจนเกินไปหมด
ซึ่งอุปกรณ์เหล่านั้นต่างเก็บข้อมูลผู้ใช้งานและถูกสั่งการด้วย AI model ที่มีแนวโน้มจะไปอยู่ตามขอบ (on-device & edge computing) และมีความเป็น Vertical กันมากขึ้นด้วยการพัฒนา Model ที่ business-environment friendly มากขึ้นอย่าง Small Language Model (SLM)
หมายความว่าอุปกรณ์ต่างๆที่ลูกค้าใช้นั้นจะมี intelligence ฝังอยู่แทนที่ว่าจะต้องมีการเชื่อมต่อ Public Cloud ทุกครั้งไป และ AI เหล่านั้นสามารถถูกสั่งการหรือปรับแต่งให้ดีขึ้นจาก Cloud Computing ขนาดใหญ่ โดยใช้การเชื่อมต่อที่มีความไวและเสถียรภาพอย่าง 5G ซึ่งอุปกรณ์พวกนี้สามารถผลิตข้อมูลต่างๆเพื่อให้ AI นำไปประมวลได้มากถึง 79 Zettabytes
และการมาของ LLM- Large Language Models รวมไปถึงอุปกรณ์ที่รับภาพและเสียงเป็น input อย่าง Apple Vision Pro หรือ Google Glass จะทำให้วิธีการที่เราป้อน (สอน) และสั่งงาน AI นำเราไปสู่ประสบการณ์ใหม่อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
ความก้าวหน้าของ AI ที่ใครๆก็ตื่นเต้นไปกับมันนั้นกำลังเข้าสู่ยุคที่ 3 ในปีหน้านี้ หรือที่ใครๆเรียกว่า Agentic AI คือ AI ขั้นกว่าของ Conversational AI และ Reasoning AI โดยที่ผู้นำองค์กรหลายๆคนออกมาพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า อยากจะพากันไปให้ถึง เพราะสามารถทำงานแทนคนได้อย่างมากมายมหาศาล เจ้า “ของมันต้องมี” ที่ว่านี้ไม่มีใครหยุดมันได้อีกต่อไปเพราะถ้าเราไม่มี คู่แข่งเราก็มีอยู่ดี
เรื่องนี้มันเหมือนกับตอนที่คุณ Oppenheimer พูดกับ Einstein ว่า “ผมเชื่อว่าเราได้ทำมันลงไปแล้ว” คือมันได้เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ที่ทุกประเทศแข่งกันสร้างระเบิดปรมาณูที่สามารถระเบิดโลกทั้งใบได้หลายสิบรอบ!
และนี่คือจุดที่ไม่มีวันหวนกลับ หรือ Point of No Return ซึ่งเป็นจุดที่ productivity จะเพิ่มขึ้นอย่างขั้นสุด บริษัทที่เข้าไม่ถึงหรือช้าในการปรับใช้จะแพ้อย่างราบคาบ เกินครึ่งหนึ่งของลูกค้าเราอาจจะตกงานเพราะถูกทดแทนด้วย AI จำนวนคนที่รวยจะน้อยลงๆ ส่วนคนที่รวยขั้นสุดคือจะเป็นเจ้าของเทคโนโลยีเหล่านั้น ไม่ใช่ผู้ใช้งานที่จะรวยน้อยกว่ามาก
งานทางกายภาพกำลังถูกท้าทายเช่นกันด้วยหุ่นยนต์ที่จะเริ่มวางขายกันในปี 2025 นี้ นึกถึงปริมาณ data input (ภาพและเสียงหรือ multi-model ที่หลายคนตื่นเต้น) นึกถึง conversational, reasoning, และ agentic AI ที่จัดการ train AI Agents อีกหลายพันตัว นับเป็นโจทย์สำคัญของนักพัฒนาสินค้าและผลิตภัณฑ์ไปจนถึงรัฐบาลในแต่ละประเทศที่เคยเคลื่อนตัวช้าในเรื่อง Social Media ที่ทุกวันนี้มันเป็นดาบสองคม ซึ่งด้านที่ไม่ดีของมันนั้น ดันคมกว่าด้านดีของมันเสียอีก
ประเด็นเหล่านี้สำหรับผู้ประกอบการแล้วมันคือการสร้าง Ethical AI ที่นอกเหนือจากการส่งเสริมให้เกิดความมีส่วนร่วมลดเรื่องความลำเอียง (bias) แล้ว การสร้าง AI for Good เป็นเรื่องหนึ่งที่อาจจะเป็นจุดขายใหม่ๆ
จุดที่น่ากังวล คือการรู้เท่าทันเทคโนโลยีเหล่านี้ โดยกระทำต่อพวกมันด้วยความรักเหมือนกับว่ามันคือลูกเราเอง เพราะตัวเทคโนโลยีเองไม่ได้ผิดอะไร แต่การปรับใช้มันโดยมนุษย์นั่นเองที่เป็นปัญหา เพราะถ้าเทคโนโลยีเหล่านี้ก้าวหน้าขึ้น สักวันหนึ่งมันอาจจะย้อนกลับมาปฏิบัติกับเราเหมือนเช่นที่เราปฏิบัติกับมันนั่นเอง และที่สำคัญ อย่าเพิ่งเชื่อในสิ่งที่ AI แนะนำ ขอให้หาข้อมูลเพื่อพิสูจน์ว่าอะไรคือความจริงกันแน่ พวกเราเคยพลาดมาแล้วในยุค social media
นอกจากที่จะต้องปรับตัวไปกับเทคโนโลยีต่างๆแล้ว เราจำเป็นต้องรักษาจุดแข็ง (ที่ยังคงเป็นจริงอยู่ แต่อาจจะอีกไม่นานนัก) ของมนุษย์ไว้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความคิดสร้างสรรค์และการให้คุณค่ากับนวัตกรรม และการให้คุณค่าในการปฏิสัมพันธ์กับผู้คน (เช่น online meeting เทียบกับ face to face meeting) เพราะนั่นแหล่ะคือสิ่งที่ AI ยังทำไม่ได้