10 ม.ค. เวลา 13:52 • สุขภาพ

เมื่อรู้ตัวว่าเป็นผู้ป่วยมะเร็ง - Part II

ซึ่งพอนึกย้อนกลับไป ช่วงที่ขึ้นเครื่องบินกลับไปเยี่ยมญาติที่ต่างจังหวัด ระหว่างที่เครื่องกำลังไต่ระดับ ผู้เขียนมีอาการปวดหูด้านขวาอยู่สักพักหนึ่ง แล้วก็อาการมันจะค่อยไปหายไปเอง ตรงกับที่ทางหมอวินิจฉัยไว้ ตอนนั้นก็สบายใจ ไม่ได้เป็นอะไรมาก ได้ยามารับประทานพอสมควร ช่วงที่ต้องรับประทานยาก็ยังไปพักผ่อน โรดทริปอยู่สองสามวัน หลังจากรับประทานยาตามที่หมอสั่งไป อาการมันก็ค่อยๆ ดีขึ้น อาการหูอื้อและแน่นหูดีขึ้นมาก ไม่ถึงกับหายไปเลยแต่ก็ไม่ทำให้รำคาญอะไรมากมายอะไรนัก
หลังจากที่อาการทุกอย่างก็เริ่มดีขึ้นจนถึงวันที่ต้องไปติดตามอาการที่คลีนิค หู คอ จมูก ตามวันเวลาที่หมอนัด ผลการตรวจทุกอย่างดูเกือบปกติ มีอาการหูอื้ออยู่นิดหน่อยแต่ก็ไม่มากเหมือนมีอะไรมาอุดหู สบายใจขึ้นและ หมอสั่งยาให้เพิ่มโดยทิ้งท้ายว่าถ้าหายหรือมีอาการไม่มากจนไม่น่ารำคาญแล้วก็ไม่ต้องมาหาหมอแล้ว แต่ถ้ายังมีอาการอยู่หรือมันไม่ดีขึ้นหรืออาการมันหนักกว่าเดิมอาจจะต้องมีการเจาะเอาน้ำในหูออก สิ่งที่หมอขออีกอย่างคือให้ออกกำลังกายเป็นประจำมันจะช่วยได้ ข้อนี้สบายมากทำเป็นประจำอยู่แล้ว
หลังจากนั้นอาการต่างๆ มันก็ค่อยๆ ดีขึ้นอย่างที่หมอบอกไว้จริงๆ มีหูอื้อข้างขวาเหมือนเดิมกลับมาบ้าง แต่เป็นแป็บๆ ก็หาย ยาก็หมอให้สามารถซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วๆ ไป อยู่ในกลุ่มยาแก้แพ้ยาลดไข้ปกติ ที่ทำให้การหายใจดีขึ้น ผู้อ่านอาจจะสงสัยว่าทำไม หูอื้อมันเกี่ยวกับระบบหายใจยังไง ง่ายๆ เลยก็คือ โพรงจมูกกับหูของมนุษย์เรา มันคือโพรงเดียวกันนี่แหละ ถ้าหูเราไม่มีอะไรไปติดขัดเราก็หายใจสะดวกไปด้วย ลองสังเกตุกันดูว่าเวลาเอามีน้ำมูกหรือขี้หูตันเราก็จะหายใจไม่ค่อยสะดวกไปด้วย
เวลาผ่านไปสองถึงสามเดือน มีอาการหูอื้อด้านขวากลับมาบ้าง แต่มันก็ไม่ได้หนักหนาอะไรมากมายเหมือนกับอาการที่เป็นในตอนแรก มาทำงาน ออกกำลังกาย ใช้ชีวิตเป็นปกติ แต่แล้วมันก็มีอาการผิดปกติอีกอย่างหนึ่งเกิดขึ้น ระหว่างไปออกทริปถ่ายรูป เมื่อผู้เขียนหายใจในช่วงที่ร่างกายใช้โพรงจมูกด้านขวา การหายใจมีอาการติดๆ ขัดๆ อยู่ตลอดเหมือนหายใจไม่ออก หายใจไม่สะดวกคือต้องหายใจทางปากช่วย พอเปลี่ยนมาหายใจทางโพรงจมูกด้านซ้ายกลับหายใจเป็นปกติ
ส่วนตัวผู้เขียนคิดว่า อาการภูมิแพ้อีกหรือป่าว เพราะอาการมันจะเป็นๆ หาย แต่ก็ไม่ได้ซื้อยามารับประทาน เพราะเวลาออกกำลังกายไม่ว่าจะเตะฟุตบอลหรือปั่นจักรยานอาการเหล่านี้ก็จะหายไป บางทีก็คิดไปอีกอย่างเพราะว่าสภาพอากาศที่มีฝุ่น PM 2.5 ปกคลุมในพื้นที่เลยทำให้หายใจผิดปกติ แต่ก็ยังไม่ได้วิตกอะไรไปมาก เพราะคิดว่าตัวเองเป็นโรคภูมิแพ้
และนี้ก็เป็นอาการที่มันจะเกิดเพราะเจอกับอาการเหล่านี้มาตลอดเท่านั้น บวกกับสภาพพื้นที่ที่เริ่มมีฝุ่น PM 2.5 ปกคลุม ก็เลยต้องปรับการใช้ชีวิตมานิดหน่อย ออกกำลังกายภายนอกน้อยลง เปลี่ยนไปเป็นเข้าฟิตเนตแทน อาการหายใจผิดปกติมันก็ดีขึ้นมาบ้าง ในบางวันมันก็ไม่มีอาการอะไรบางวันก็มี วันไหนอากาศดีหน่อยอาการก็ไม่มี จนตัวเองชะล่าใจว่าไม่เป็นอะไรหรอก แค่อาการโรคภูมิแพ้ปกติเท่านั้น
แต่ทว่าหลังจากเวลาไปผ่านไปไม่เกินหนึ่งเดือน อาการหายใจติดขัดด้านโพรงจมูกข้างขวาเริ่มมีอาการบ่อยขึ้น เกิดนานขึ้น ถึงขั้นหายใจไม่ออก ต้องหายใจทางปากช่วยและต้องกินยาแก้แพ้อากาศบ่อยขึ้นอาการถึงเริ่มดีขึ้นมาบ้าง แต่พอหมดฤทธิ์ยา ก็เริ่มกลับมาเป็นอีก ทำให้ต้องกินในทุกหกถึงแปดชั่วโมงเป็นเวลาติดกันกว่าสัปดาห์ หลังจากนั้นไปไม่เกินสัปดาห์อาการอีกอย่างก็เกิดตามมา คืออยู่ๆ ก็มีอาการหน้าชาบริเวณใบหน้าด้านขวา ช่วงแรกๆ ก็ตรงโหนกแก้มจนถึงมุมปาก พอผ่านไปอีกหนึ่งสัปดาห์ ใบหน้าซีกขวามีอาการชาเกือบทั้งหมด
ตอนนั้นความคิดของผู้เขียนบอกกับตัวเองแล้วว่ามันไม่ปกติแล้ว ต้องไปหาหมอแล้ว เอาสถานพยาบาลที่ไหนก่อนก็ได้ที่ใกล้ที่สุดก่อน จนได้มาพบหมอ ได้ตรวจ หมอได้ตรวจโดยวิธีเอาสำลีที่ชุบแอลกอฮอลล์ล้างแผล สัมผัสที่ใบหน้าทั้งสองข้างแล้วถามมาว่ารู้สึกยังไง สิ่งที่ผู้เขียนตอบกับหมอไปคือ ด้านซ้ายรู้สึกเย็นๆ แต่ด้านขวาเย็นนิดหน่อยแต่ชามากกว่า เบื้องต้นหมอวินิจฉัยว่าจะเกิดจากอาการ ปลายประสาทอักเสป
แล้วเกิดจากอะไรนั้น สาเหตุมันไม่ชัดเจน และก็ได้ยาอันตรายตัวนึงมารับประทาน คือยาตัวนี้ต้องหมอสั่งเท่านั้น และให้มาติดตามอาการหลังจากนี้อีกหนึ่งสัปดาห์ ส่วนตัวผู้เขียนก็คิดว่ามันจะมีอะไรร้ายแรงหรือไม่ แต่ก็ยังคงมองโลกในแง่ดีว่า คงไม่เป็นอะไรมาก กินยาไปเดี่ยวก็หายไปเอง และหลังจากนั้นก็รับประทานตามที่หมอสั่งมาตลอด อาการทุกอย่างทั้งหายใจติดขัดและใบหน้าที่ชาก็เริ่มดีขึ้นตามลำดับจนเกือบจะเป็นปกติ
โฆษณา