12 ม.ค. เวลา 07:42 • ธุรกิจ

Mark Zuckerberg ประกาศสงครามกับ Apple

Mark Zuckerberg ซีอีโอของ Meta ออกมาวิจารณ์กลยุทธ์ของ Apple อย่างหนักในการสนทนากับ Joe Rogan ที่กินเวลายาวถึง 3 ชั่วโมง โดยมีคำพูดที่น่าตกใจว่า:
"พวกเขาไม่ได้สร้างสรรค์อะไรที่ยิ่งใหญ่มาเป็นเวลานาน...พวกเขาแค่กดดันทุกคนเท่านั้น"
นี่คือสิ่งที่ Zuckerberg พูดเกี่ยวกับกลยุทธ์ของ Apple:
▶️บริบทเบื้องต้น:
Apple เรียกเก็บ 30% ของทุกธุรกรรมที่เกิดขึ้นใน App Store ของพวกเขา
เช่น: หากคุณขาย subscription ในราคา $100 Apple จะเอาไป $30 ทันที
แต่เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับเงินเพียงอย่างเดียว มันมีแผนกลยุทธ์ลึกซึ้งที่ซ่อนอยู่...
Zuckerberg เผยว่า: "ผมไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าตอนนี้พวกเขาขาย iPhone ได้มากขึ้นทุกปีหรือเปล่า ยอดขายอาจจะลดลงด้วยซ้ำ" แต่ผลกำไรของ Apple ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ทำไม? เพราะกลยุทธ์ระบบนิเวศ (ecosystem strategy)
▶️กลยุทธ์ "ความเป็นส่วนตัว" และ "ความปลอดภัย"
Apple ใช้แนวคิดเรื่อง "ความเป็นส่วนตัว" และ "ความปลอดภัย" เป็นเกราะป้องกัน
ยกตัวอย่าง AirPods: มันทำงานได้อย่างราบรื่นกับ iPhone เพราะ Apple สร้างโปรโตคอลการเชื่อมต่อเฉพาะของตัวเอง
2
แต่เมื่อบริษัทอื่นอย่าง Meta ขอใช้โปรโตคอลนี้เพื่อ Ray-Ban Smart Glasses Apple ปฏิเสธโดยอ้างว่า: "การให้ 3rd party เข้ามาเชื่อมต่อโปรโตคอลมันไม่ปลอดภัยต่อระบบนิเวศ"
3
Zuckerberg ตอบกลับว่า: "มันไม่ปลอดภัยเพราะคุณไม่ได้สร้างความปลอดภัยอะไรเลยตั้งแต่ต้น"
5
▶️iMessage: เครื่องมือสร้าง "ความกดดันทางสังคม"
Zuckerberg ชี้ว่า Apple ใช้ iMessage เพื่อสร้างความผูกพันในระบบนิเวศของตน "พวกเขาทำเรื่อง 'blue bubble vs. green bubble' ให้เกิดขึ้น สำหรับเด็กๆ ถ้าคุณไม่มี blue bubble คุณจะไม่เท่" (bubble คือกล่องข้อวคามเวลาใช้ iMessage โดยผู้ใช้ Android จะมีกล่องข้อความเป็นสีเขียว และ iOS เป็นสีฟ้า)
2
ผลลัพธ์คือผู้ใช้งาน โดยเฉพาะวัยรุ่น ถูกดึงเข้าไปในระบบนิเวศของ Apple อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
2
▶️ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม
Zuckerberg คิดว่า Meta สามารถทำกำไรได้มากขึ้นถึงสองเท่าหากไม่มีข้อกำหนดเข้มงวดจาก Apple และสำหรับนักพัฒนาเล็กๆ หลายราย การเริ่มต้นธุรกิจกลายเป็นเรื่องยากขึ้นเพราะ "ภาษี 30%" ของ Apple
2
ผลกระทบประกอบด้วย:
- อุปสรรคในการเข้าสู่ตลาดสำหรับสตาร์ทอัพ
- การแข่งขันที่ลดลง
- ค่าใช้จ่ายในการพัฒนาที่เพิ่มขึ้น
- ผู้ใช้ต้องจ่ายเงินมากขึ้น
1
▶️ระบบนิเวศที่แข็งแกร่ง
Apple ได้สร้างระบบที่ผูกมัดผู้ใช้งานไว้อย่างเหนียวแน่น:
- รูปภาพที่ซิงก์กับ iCloud
- การ integration ของปฏิทิน
- iMessage
- App Store
- การแชร์ไฟล์และข้อมูล
ฟีเจอร์แต่ละอย่างเพิ่ม "ต้นทุนการเปลี่ยนแพลตฟอร์ม" (switching cost) สำหรับผู้ใช้งาน ทำให้ออกจากระบบของ Apple เป็นเรื่องยาก (ผู้ใช้ต้อง migrate ข้อมูลมากมาย เพื่อย้ายแพลตฟอร์ม)
4
▶️มุมมองของ Zuckerberg
1
Zuckerberg มองว่า Apple เปลี่ยนจุดโฟกัสจากการสร้างนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ไปสู่การพัฒนาระบบนิเวศ
3
ผลิตภัณฑ์ใหญ่ๆ ในช่วงหลังของ Apple ได้แก่:
- Apple Watch (ผูกกับ iPhone)
- AirPods (ปรับแต่งให้เหมาะกับ iPhone)
- Vision Pro (ชุด headset ราคา $3,500)
Zuckerberg ทิ้งท้ายว่า: "ถ้าคุณทำอะไรไม่ดีต่อเนื่องไป 10 ปี สักวันคุณจะโดนคู่แข่งแซง"
7
▶️อนาคตของการมีอิทธิพล
ด้วยการมาออก podcast ของ Joe Rogan ทำให้ Zuckerberg สามารถแสดงความคิดเห็นของเขาในเวทีระดับโลก นี่คือตัวอย่างการใช้แบรนด์ส่วนตัว (personal brand) ในการสร้างความไว้วางใจและอิทธิพลในโลกยุคใหม่:
- Elon Musk ทวีตหลายสิบ-ร้อยครั้งต่อวัน
- หลายคนเชื่อว่า Donald Trump ชนะการเลือกตั้งเพราะมาออก podcast ของ Joe Rogan เช่นเดียวกัน
ในยุคที่ AI สามารถสร้างผลิตภัณฑ์ได้ภายในไม่กี่ชั่วโมง personal brand ตัวจึงกลายเป็น "ทรัพย์สิน" ที่มีค่าที่สุด
3
⚠️เรากำลังได้เห็นอีก 1 เทรนด์ของเหล่า entrepreneur ในการสร้าง personal brand⚠️
ข้อคิดสำหรับนักธุรกิจ: คุณจะเลือกอะไร? ระหว่าง
▶️เป็นผู้เสพเนื้อหา ยอมเสียสมาธิ, focus และ ความสนใจในแต่ละวันของคุณไปกับ content ของคนอื่น เพื่อแลกกับ dopamine เพียงชั่วครู่
▶️หรือเป็นผู้สร้าง content จนมันกลายเป็น "ทรัพย์สิน" ที่เพิ่มมูลค่าของคุณ (ในคราบของ personal branding) ในระยะยาว?
2
โฆษณา