Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
BeautyInvestor
•
ติดตาม
12 ม.ค. เวลา 09:44 • หุ้น & เศรษฐกิจ
⚠️ นับถอยหลังสู่ Earnings Season ฟองสบู่หรือไม่ เดี๋ยวรู้กัน 💰
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ กำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นที่แข็งแกร่งที่สุดในรอบ 2 ปีนับตั้งแต่ยุคฟองสบู่ดอทคอมค่ะ และตอนนี้กำลังจะเผชิญกับบททดสอบครั้งใหญ่อีกครั้ง หลังบริษัทต่างๆ จะเริ่มทยอยประกาศผลประกอบการประจำไตรมาส 4/24 ซึ่งจะเป็นตัวตัดสินว่า ราคาหุ้นนั้นสูงเกินมูลค่าที่แท้จริงหรือไม่นั่นเองค่ะ
แม้ว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะปรับตัวลดลง 1.5% ในวันศุกร์ ซึ่งเป็นการร่วงลงมากที่สุดนับตั้งแต่กลางเดือนธันวาคม 2023 เนื่องจากตัวเลขการจ้างงานที่แข็งแกร่งกว่าคาดคิด ส่งผลให้เกิดการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะยังไม่ลดดอกเบี้ยอีกครั้งจนกว่าจะถึงช่วงครึ่งปีหลัง
แต่ประเด็นสำคัญที่จะมีผลต่อตลาดจริงๆคือ การที่นักลงทุนคาดหวังผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนไว้ค่อนข้างสูงต่างหากค่ะ โดยรายงานคาดว่า เศรษฐกิจที่แข็งแกร่งจะช่วยผลักดันกำไรของบริษัทในดัชนี S&P500 ให้ขยายตัวถึง 7.3% ในไตรมาสที่ 4 เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ตามข้อมูลที่รวบรวมโดย Bloomberg Intelligence
โดยตัวเลขนี้ถือเป็นการคาดการณ์ก่อนฤดูกาล หรือ pre season ที่สูงเป็นอันดับ 2 ในรอบ 3 ปีที่ผ่านมาเลยทีเดียวค่ะ ‼️
ดังนั้นหากผลประกอบการหรือแนวโน้มในอนาคต (guidance) ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ เราน่าจะได้ผลกระทบเชิงลบต่อราคาหุ้นตามไปด้วยค่ะ
ถ้าเราดูจากการปรับตัวขึ้นของดัชนี S&P500 ดูเหมือนว่าตลาดจะรับข่าวโดยคาดการณ์ว่า กำไรต่อหุ้น (EPS) จะเติบโตประมาณ 23% ในอีก 12 เดือนข้างหน้า
โดยข้อมูลจาก Bloomberg Intelligence แสดงให้เห็นว่าการคาดการณ์ดังกล่าวค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับการคาดการณ์แบบเบื้องต้น (Bottom-up consensus forecasts) ซึ่งเป็นวิธีการคาดการณ์ผลประกอบการของหุ้นในอนาคต โดยการนำประมาณการของนักวิเคราะห์แต่ละคนสำหรับบริษัทในดัชนี S&P500 ทั้งหมดมารวมกัน ซึ่งตัวเลขจะออกมาว่า นักวิเคราะห์คาดการณ์การเติบโตของกำไรต่อหุ้นไว้ที่ 13% ในปี 2025
ดังนั้นตัวเลขจริงๆ ต้องออกมามากกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์เกือบสองเท่า ถึงจะทำให้ราคาหุ้นในดัชนี S&P500 อยู่ในระดับที่เหมาะสม
1
“เราไม่เคยเห็นความคาดหวังที่สูงขนาดนี้ตั้งแต่ปี 2018” Michael Casper นักกลยุทธ์ด้านหุ้นอาวุโสจาก BI กล่าว
“ในปีนี้ โอกาสที่บริษัทต่างๆจะทำกำไรได้มากกว่าประมาณการของนักวิเคราะห์น้อยลงกว่าปี 2024 เพราะมาตรฐานที่ตั้งไว้ในปีที่แล้วต่ำกว่าเยอะมาก”
1
💰ฤดูกาลรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 4 จะเริ่มต้นอย่างเป็นทางการในวันพุธ โดยมีบริษัททางการเงินชั้นนำอย่าง JPMorgan Chase & Co, Citigroup และ BlackRock เป็นผู้นำร่อง ขณะที่บริษัทสำคัญอื่นๆ จะทยอยประกาศผลประกอบการในสัปดาห์ถัดไป รวมถึง Netflix, Procter & Gamble และ 3M
📊 การขยายตัวของกำไร
ประเด็นที่น่าจับตามองอีกประเด็นหนึ่งคือ โมเมนตัมของการเติบโตของกำไรจะขยายออกไปไกลกว่าบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่หรือไม่ ซึ่งอาจส่งผลดีต่อหุ้นที่ laggard ค่ะ
ด้วยเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ดำเนินไปได้ด้วยดี บริษัทนอกเหนือจากกลุ่มเทคโนโลยีคาดว่าจะรายงานกำไรที่เติบโตต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 3 โดยคาดว่ากำไรจะเพิ่มขึ้น 4% และจะเร่งตัวขึ้นเป็นสองหลักภายในไตรมาสแรกของปี 2025 ตามข้อมูลที่รวบรวมโดย BI
ทั้งนี้ บริษัทเทคโนโลยี ยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของตลาด แต่นักลงทุนคาดการณ์ว่า บริษัททั้งเจ็ดแห่งที่เรียกว่า Magnificent Seven (Nvidia, Apple Inc, Microsoft, Alphabet,
Amazon.com
, Meta และ Tesla) จะรายงานการเติบโตที่ชะลอตัวลง โดยคาดว่ากำไรจะเพิ่มขึ้น 22% เมื่อเทียบกับการเติบโตของกำไรเฉลี่ย 34% ในปี 2024 ในขณะที่บริษัทอื่นๆ ในดัชนี S&P500 จะมีกำไรเพิ่มขึ้น 4.5% ตามข้อมูลของ BI
📦 การค้า ภาษี และอัตราภาษี
นักลงทุนยังต้องการข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับผลกระทบของนโยบายการลดหย่อนภาษี ภาษีศุลกากร และการลดกฎระเบียบของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่จะมีต่อบริษัทต่างๆ ในสหรัฐฯ แม้ว่าแผนบางส่วนของเขาอาจส่งผลกระทบต่อการค้าโลกและเพิ่มแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ แต่ตลาดหุ้นให้ความสำคัญกับผลดีของวาระการเติบโตทางเศรษฐกิจมากกว่า
1
อย่างไรก็ตาม การลดภาษีที่กำลังพิจารณาในวอชิงตันอาจลดภาระภาษีของบริษัทในดัชนี S&P500 ได้เพียงครึ่งหนึ่งของการลดหย่อนภาษีในปี 2017 (ทรัมป์สมัยแรก) ตามที่ Casper จาก BI กล่าว
ซึ่งถือเป็นอีกอุปสรรคหนึ่งในการบรรลุเป้าหมายการคาดการณ์การเติบโตของกำไรต่อหุ้นที่สูงปรี๊ดของดัชนี S&P500 ในอีก 12 เดือนข้างหน้า
การแข็งค่าของเงินดอลลาร์เมื่อเร็วๆ นี้เป็นอีกประเด็นที่ต้องจับตามอง แม้ว่าอาจช่วยลดผลกระทบของการเพิ่มภาษีศุลกากรเนื่องจากทำให้ต้นทุนการนำเข้าลดลง แต่ก็อาจส่งผลเสียต่อบริษัทข้ามชาติโดยการลดความต้องการส่งออกและมูลค่าของรายได้จากต่างประเทศเช่นกัน
📈 การปรับปรุงกำไร (Earnings Revision)
นักลงทุนกำลังจับตาดูตัวบ่งชี้สำคัญที่เรียกว่า โมเมนตัมการปรับปรุงกำไร (earnings-revision momentum) ซึ่งเป็นตัววัดการเปลี่ยนแปลงของประมาณการกำไรต่อหุ้นในอีก 12 เดือนข้างหน้าสำหรับดัชนี S&P500
1
โดยข้อมูลจาก BI แสดงให้เห็นว่าตัวบ่งชี้นี้อยู่ในแดนลบ ซึ่งบ่งชี้ว่านักวิเคราะห์ใน Wall Street กำลังปรับลดการประมาณการก่อนเข้าสู่ฤดูกาลรายงานผลประกอบการ
แม้ว่าสิ่งนี้จะไม่ใช่เรื่องผิดปกติ แต่ก็อาจเป็นสัญญาณเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงความเชื่อมั่น ตัวอย่างเช่น โมเมนตัมการปรับปรุงกำไรต่อหุ้นล่วงหน้า 12 เดือนของกลุ่มเทคโนโลยีลดลง 11 จาก 12 สัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งเกิดจากการปรับลดประมาณการสำหรับบริษัทเซมิคอนดักเตอร์ที่เติบโตสูง
ขณะที่ 3 ใน 11 อุตสาหกรรมในดัชนี S&P500 คาดว่าจะมีการเติบโตของกำไรเร่งตัวขึ้นเป็นตัวเลขสองหลักในช่วงสามเดือนสุดท้ายของปี 2024 รวมถึงบริการด้านการสื่อสารและเทคโนโลยี เช่นเดียวกับกลุ่มการดูแลสุขภาพ
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าภาคพลังงานจะมีการหดตัวของกำไรประมาณ 30% จากปีก่อนหน้าในไตรมาสที่ 4 ตามข้อมูลของ BI
💸 อัตรากำไร (Profit Margin)
ตลาดจะจับตาดูอัตรากำไรจากการดำเนินงานอย่างใกล้ชิด หลังจากที่อัตราเงินเฟ้อลดลงหลังการระบาดใหญ่ ซึ่งช่วยลดแรงกดดันด้านต้นทุน โดยนักวิเคราะห์มองว่าอัตรากำไรจากการดำเนินงานสำหรับไตรมาสที่ 4 จะอยู่ที่เกือบ 16% โดยคาดการณ์ว่าสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดได้ผ่านพ้นไปแล้ว
🎯 สรุปสั้นๆ
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ กำลังเผชิญกับการทดสอบครั้งสำคัญ โดยผลประกอบการของบริษัทต่างๆ จะเป็นตัวชี้วัดว่าราคาหุ้นสูงเกินไปหรือไม่
1
นักลงทุนคาดหวังผลประกอบการที่ดีมาก ซึ่งอาจนำไปสู่ความผิดหวังหากผลประกอบการจริงไม่เป็นไปตามที่คาด
ปัจจัยที่ต้องจับตามองคือ การเติบโตของกำไรนอกกลุ่มเทคโนโลยี (ของกลุ่มเทคฯคงดีอยู่แล้ว) นโยบายของรัฐบาล และอัตรากำไรจากการดำเนินงาน
หากผลประกอบการต่ำกว่าที่คาดการณ์ ตลาดหุ้นอาจมีความผันผวน เพราะ market breadth ค่อนข้างอ่อนแอ และ bond yield ที่อยู่ในระดับสูงค่ะ ☺️
1
การลงทุน
หุ้น
การเงิน
14 บันทึก
32
11
14
32
11
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย