13 ม.ค. เวลา 15:02

สงครามครั้งแรกแห่งปี

2:00 นาฬิกา 1 มกราคม 2568
.... ผมประคองร่างเธอค่อยๆ เอนลงบนที่นอนขาวสะอาดหนานุ่ม ขยับหมอนให้รองอย่างพอเหมาะต่อส่วนศีรษะที่ปกคลุมด้วยผมหยักศกสีน้ำตาลเข้มชื้นเหงื่อ
ใบหน้านั้นยังคงงดงามแม้อยู่ในสภาวะที่กึ่งมึนเมา ที่จริงแล้วดูเหมือนว่าความงามนั้นจะยิ่งเด่นชัดขึ้นด้วยเลือดฝาดที่นวลแก้มอันเกิดจากแรงกระตุ้นของแอลกอฮอล์
แสงสีเหลืองนวลจากโคมไฟหัวเตียงสาดกระทบบนใบหน้าที่นิ่งสงบส่งให้เกิดมิติของแสงและเงาให้เธอดูแตกต่างไปจากที่เคยเห็น ในยามปกติผมไม่เคยเห็นเธออยู่นิ่งๆ หรือหยุดเจรจายั่วเย้าหยอกล้อทั้งกับผมและทุกๆ คนรอบตัว
โดยอัตโนมัติ ผมใช้ปลายนิ้วค่อยๆ เกลี่ยเปิดหน้าผากกลี้ยงนูนที่มีเม็ดเหงื่อเล็กๆ ให้คลายความร้อน ทั้งที่ห้องนี้เย็นฉ่ำด้วยเครื่องปรับอากาศ แต่เหงื่อเหล่านั้นก็เกิดจากฤทธิ์น้ำสีอำพันที่เธอรับเข้าไปเมื่อราวสามชั่วโมงก่อนหน้านี้
เป็นครั้งแรกที่ผมได้สัมผัสใบหน้าเธอ แต่ดูเหมือนเธอจะวางใจในสัมผัสนั้น เธอค่อยๆ ยกมือขวาขึ้นมาจับมือผมอย่างอ่อนแรง ไม่ได้ห้ามปราม แต่เป็นการไขว่คว้าเพื่อตอบสนองและยืนยันว่าเธอวางใจผม
เธอบีบมือผมกระชับนาน เหมือนจะบอกว่าเธอรู้ตัวและเต็มใจ.....
..... สงครามได้เกิดขึ้นในทันที ....
พ.ศ. 2537
มันผ่านมาแล้วราวสามสิบปี นับตั้งแต่ได้เห็นเธอครั้งแรก
ครอบครัวเธอย้ายเข้ามาเช่าบ้านอยู่ต้นซอยที่ผมอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่จำไม่ได้แน่ชัด คุณแม่เธอเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวที่น่าจะทำงานในบริษัทเอกชนที่ใดที่หนึ่งโดยสังเกตได้จากการแต่งกาย
นานๆ ครั้งที่ผมจะได้เห็นเด็กหญิงร่างเล็กขาว หัวฟู ใส่ชุดลำลองอยู่กับบ้านเดินออกมาซื้อของในซอย หรือบางทีก็ใส่ชุดนักเรียนเดินไปโรงเรียนบ้าง
เราเดินสวนกันหลายครั้งโดยที่ไม่เคยเลยที่จะสบตากัน
ช่วงที่เห็นเธอครั้งแรก เธอน่าจะอายุราว 12-13 ปี โดยเดาจากชุดนักเรียนที่เธอใส่ ส่วนผมตอนนั้นเป็นหนุ่มใหญ่อายุ 33 ปีที่ยังโสด ทำงานอยู่ในแวดวง IT มาราวสิบปีแล้ว
หลังจากนั้นอีกหลายปีก็ได้เห็นเธอในสภาพสาวสะพรั่งภายใต้ชุดนักศึกษาของมหาวิทยาลัยปิดแห่งหนึ่ง แต่ยังไม่ทันได้เห็นเธอทำงานผมก็ต้องไปเรียนที่ออสเตรเลียอยู่ 3 ปี
ทันทีที่กลับจากออสเตรเลียผมก็ได้งานที่นิมคมอุตสาหกรรมแห่งหนึ่งแถวอยุธยา ทำให้ผมต้องเช่าห้องพักอยู่แถวนั้นอีกราว 2 ปี แล้วก็มีโอกาสได้กลับมาทำงานในกรุงเทพฯ ซึ่งผมก็ได้กลับมาอยู่บ้านเดิมที่เป็นบ้านที่แม่และพี่สาวยังอาศัยอยู่
ผมยังคงทำงานในส่วนงาน IT เหมือนเดิมกับ Software House แห่งหนึ่งบนชั้น 2 ของตึกเล็กๆ ริมถนนมเหสักข์ โดยมีสำนักงานกฎหมายและบัญชีตั้งอยู่ตรงข้ามกันเป็นเพื่อนร่วมชั้น
ในฐานะผู้จัดการแผนก ผมมีห้องส่วนตัวที่ด้านหน้าเป็นกระจกที่มองทะลุเห็นฝ่ายบัญชีของบริษัทผมได้
ฝ่ายบัญชีจะควบรวมหน้าที่บริหารสำนักงานไปด้วยซึ่งประกอบด้วย 4 สาว นำโดยเจ๊นกสาวใหญ่เป็นหัวหน้าฝ่าย และน้องๆ สาวรุ่นอีก 3 คนที่ทำอยู่สองอย่างในเวลาทำงาน คือ เงยหน้ามองจอ แล้วก็ก้มหน้ากินของดองที่ซ่อนอยู่ใต้โต๊ะ
บ่ายวันหนึ่งปลายเดือนมกราคม 2547
ในจังหวะที่ผมเงยหน้าจากหน้าจอเพื่อพักสายตา หัวใจผมกระตุกขึ้นมาทันที....
กรอบหน้าเรียวเด่นกระจ่างคุ้นตาในร่างกะทัดรัดก้าวผ่านประตูกระจกของห้องตรงข้ามเดินตรงมาเตรียมจะเลี้ยวลงบันได ใบหน้ายังเปื้อนด้วยรอยยิ้มบางๆ ที่ติดมาจากการหยอกล้อกับสาวรุ่นฝ่ายบัญชีที่เพิ่งกล่าวลา
เป็นครั้งแรกที่เราสบตากัน....
ผมนิ่งงัน ทำตัวไม่ถูกว่าจะทักเธอว่ายังไงดี ในฐานะคนร่วมซอย หรือผู้ใหญ่กับเด็ก
แต่ไม่ทันให้สมองได้ทำงาน เธอเบิกตากว้างแล้วตรงเข้ามาที่ห้องผมที่เปิดประตูกว้างไว้อยู่แล้ว
“พี่อยู่ซอยเดียวกับหนูใช่ไหมคะ ไม่เห็นพี่ตั้งนานแล้ว พี่มาทำงานที่นี่นานหรือยังคะ ทำไมหนูเพิ่งเคยเห็นพี่ พี่จำหนูได้หรือเปล่า หนูเห็นพี่ตั้งแต่เด็กเลยนะ”
ทั้งประโยคคำถามและประโยคบอกเล่าพรั่งพรูออกมาเหมือนญาติที่ไม่ได้เจอกันนาน แต่ส่วนที่ผมกังวลสุดมันผ่านไปแล้ว ก็คือกลัวเหลือเกินว่าเธอจะเรียกผมว่า “น้า”
ด้วยบุคลิกของเธอทำให้การพบกันครั้งแรกของเราเหมือนได้พบญาติที่สาบสูญไปหลายปี การสนทนาครั้งแรกจบลงไม่นานเพราะเธอต้องรีบกลับไปทำงานที่ฝ่ายบัญชีของสำนักงานกฎหมายห้องตรงข้ามนั่นเอง
บริษัทผมจ้างบริษัทเธอให้ดูแลระบบบัญชีจึงทำให้เธอสนิทสนมกับสาวๆ ห้องบัญชีเป็นอย่างดี การมาแทบทุกครั้งของเธอมักจะมีของขบเคี้ยวหมักดองติดมือมาฝากสาวๆ เสมอ หลายครั้งก็เผื่อแผ่ให้พวกหนุ่มๆ ฝ่ายอื่นไปจนถึงแม่บ้านด้วย
ปกติแล้วทุกบริษัทที่ผมเข้าไปทำงานผมก็มักจะเข้าตีสนิทกับฝ่ายบัญชีก่อน เพราะเป็นฝ่ายที่ก่อให้เกิดความปวดหัวง่ายที่สุด การซื้อขนมไปฝากหรือไปร่วมวงแอบกินขนมถือเป็นกุศโลบายที่ได้ผลทุกครั้ง จากประสบการณ์ที่ทำงานมาหลายแห่ง ฝ่าย IT กับฝ่ายบัญชีถ้าไม่เป็นศัตรูกันก็จะเป็นมหามิตรกันเลย
นอกฝ่ายบัญชีก็จะพวกหนุ่ม IT กลุ่มใหญ่ที่พร้อมใจกันยกให้เธอเป็นดาวบริษัทโดยมองข้ามสาวๆ บัญชีไปซะอย่างนั้น ทั้งที่เธอก็อยู่คนละบริษัทด้วยซ้ำ
แม้แต่เจ๊ตาเจ้าของบริษัทก็ถูกเธอตก เธอได้รับสิทธิเข้านอกออกใน แวะมากินกาแฟ เข้าห้องน้ำ ทำอะไรต่างๆ นาๆ ได้ เหมือนเป็นบริษัทเธอเอง ขาดแต่ไม่ต้องตอกบัตรเท่านั้น ทุกงานเลี้ยงหรือไปเที่ยวต่างจังหวัดเจ๊ตาก็จะชวนเธอไปด้วยทุกครั้ง
2
30 ธันวาคม 2547
แล้วเธอก็มาลา...
เธอได้รับข้อเสนองานใหม่ที่ได้รับค่าตอบแทนมากกว่าเดิม และได้ทำงานกับชาวต่างชาติที่เธอจะได้ใช้ภาษาอังกฤษที่เธอต้องการฝึกฝน
สมัยนั้นยังไม่มี LINE หรือ Facebook เราก็ได้แต่แลกเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์กันและกัน แต่ช่วงสองปีแรกผมจะโทรศัพท์ไปหาเธอปีละครั้งเพื่ออวยพรวันเกิดเธอเท่านั้น
พอเริ่มมี Facebook และ LINE เราก็เริ่มติดต่อกันทางนั้น และก็เหมือนเดิมก็คือปีละครั้งเท่านั้น เพราะต่างคนต่างก็ไม่มีใครโพสต์อะไรลงไปในโซเชี่ยลให้มีประเด็นอะไรต้องคุยกัน
แม้แต่ตอนที่เธอย้ายไปจากซอยเธอก็ไปแบบเงียบๆ เธอมาบอกทีหลังว่าไม่อยากบอกเพราะเกรงใจกลัวผมจะไปช่วยเธอขนของ
มกราคม 2557
10 ปีผ่านไปโดยที่เราไม่ได้เจอกันเลย ได้แต่คุยกันทาง LINE ในวันเกิดบ้างหรือตามแต่จะมีประเด็นอะไรที่เกี่ยวข้อง
เช้าวันหนึ่งในเดือนมกราฯ 2557 เธอส่งภาพช่อดอกไม้มาทักที่ทำให้มันเป็นเช้าที่สดใสขึ้นทันที
เธอบอกว่าเธอย้ายงานและได้ย้ายไปอยู่คอนโดใหม่ โดยคุณแม่ของเธอก็ถือโอกาสย้ายไปดูแลตา-ยายที่ต่างจังหวัดในคราวเดียวกันเลย และเธอต้องการเพิ่มจุดรับสัญญาณอินเตอร์เน็ตเพื่อความสะดวกในการทำงาน ขอให้ผมไปติดตั้งให้ด้วย
ด้วยความยินดีทั้งปากและใจ ผมรีบรับคำพร้อมนัดแนะวันเวลาให้เธอมารับผมแถวสถานีรถไฟฟ้าใกล้บ้านเธอ และเราก็พบกันอีกสามวันต่อมา
สิบปีที่ไม่เจอกัน ตอนนี้เธออายุ 33 ปีแล้ว
ภาพข้างหน้าผมยังคงเป็นสาวน้อยวัยยี่สิบกว่าที่มาพร้อมกับสายตาที่สดใสร่าเริง พร้อมที่จะต่อปากต่อคำ ความเหมาะเจาะของเครื่องหน้าที่เรียกได้ว่าสวยตามมาตรฐานชาวโลกนั้นยังคงทำให้ผมเพลินตาทุกครั้งที่ได้มอง ไม่ใช่เพราะความสวย แต่เพราะผมรู้ว่าใบหน้าที่เห็นจนเคยชินนั้นมันคือ “เธอ” ผู้ที่จะมาพร้อมกับความสดใสในทุกครั้งที่เจอ
ด้วยอุปกรณ์ที่เตรียมมาครบและความง่ายในการติดตั้งทำให้งานที่ต้องการเสร็จภายในเวลาสองชั่วโมง แม้ว่าผมจะอ้อยอิ่งกับงานอย่างไรมันก็ต้องจบอยุ่ดี
แล้วเธอก็มาส่งผมที่สถานีรถไฟฟ้าแห่งเดิมพร้อมบอกว่าจะโอนเงินค่าอุปกรณ์ให้ภายในวันนี้ แค่นั้นเอง....
หลังจากนั้นเราก็แค่ติดต่อกันเบาบาง โดยผมรู้จากน้องบัญชีที่สนิทกับเธอว่าช่วงนั้นเธอก็มีแฟนแล้วเลิกอยู่สองรอบ ส่วนผมก็มีแล้วเลิกไปสองรอบเช่นกัน
เราคุยกันได้สารพัดเรื่อง ยิ่งถ้าเป็นเรื่องอาหารหรือเสาะหาแหล่งกินนี่จะคุยกันได้ยาว
แต่ถ้าจะพยายามคุยเรื่องแฟนไม่ว่าแฟนเก่าหรือแฟนปัจจุบันเธอก็จะตัดบทจบการคุยภายใน 3 ประโยค เป็นบทเรียนว่าอย่าบังอาจถามเรื่องนี้ถ้าอยากจะคุยกันต่อ
อีกคำถามนึงที่ผมถามกับตัวเองเมื่อร่วมยี่สิบปีที่แล้วว่า ผมควรจะจีบเธอหรือไม่
ผมคาดเดาไม่ได้ว่า ถ้าเราคบกัน ความสัมพันธ์มันจะราบรื่นหรือเปล่า ผมจะยังคงรู้สึกอบอวลกับกลิ่นความสุขทุกครั้งที่ได้เจอหรือเปล่า
มันอาจจะเป็นเรื่องดีก็ได้ที่เราไม่เคยได้มีสถานะใกล้เคียงกับคำว่าคบกันเลย
แล้วผมก็พบคำตอบภายในไม่กี่วันว่าไม่ควรแม้แต่การแสดงออก
ตอนที่ผมถามตัวเองนั้น เธออายุ 23 ผมอายุ 43 ผมกำลังอยู่ในช่วงที่โสดอยู่ เธอก็ยังไม่มีแฟนคนแรก ความแตกต่างด้านอายุทำให้ผมต้องระวังตัวรักษาระยะห่างไว้ส่วนหนึ่ง แต่สิ่งที่ทำให้ผมต้องปล่อยให้ความชมชอบมันอยู่แค่ในใจก็คือคำพูดของเธอเอง ที่บอกว่าเธอจะ “แต่งงาน” กับคนที่ศาสนาเดียวกับเธอเท่านั้น
แม้กระนั้นแฟนสองคนของเธอก็ต่างศาสนากับเธอ แต่จะว่าเธอผิดคำพูดก็ไม่เชิง เพราะมันไม่ได้ไปไกลถึงการแต่งงาน ส่วนเรื่องที่เลิกลากันไปทั้งสองครั้งก็ไม่มีใครแม้แต่เพื่อนสนิทของเธอที่ผมรู้จักจะได้เหตุผลที่แท้จริงว่าทำไม
27 ธันวาคม 2567
หลังจากไม่ได้เจอเธอมา 10 ปี
เจ๊ตาเจ้านายเก่าของผมที่ยังติดต่อกันใน LINE กลุ่มประกาศในกลุ่มว่าจะเป็นเจ้ามือเลี้ยงบรรดาศิษย์เก่าทั้งหลายที่เคยทำงานด้วยกันมาในวันที่ 31 ธันวาฯ 67 ยาวข้ามปีกันไปเลย และเธอก็ได้รับเชิญด้วย
31 ธันวาคม 2567
ราว 5 โมงเย็น ณ ร้านอาหารญี่ปุ่นที่ศูนย์การค้าริมเจ้าพระยา
ร้านนี้เป็นหนี่งในกิจการเจ๊ตาที่ “ทำเล่นๆ” ด้วยความที่ชอบอาหารญี่ปุ่นทำให้พนักงานแทบทุกคนของเจ๊ตาได้มีโอกาสลิ้มชิมรสของแพงที่หาได้ยากในชีวิตปกติ และบ่อยครั้งที่เราก็ใช้มันในการประชุมงาน นัดคุยกับคู่ค้า รวมถึงสังสรรค์ในโอกาสต่างๆ
ตอนผมไปถึงห้าโมงเย็นเศษๆ บรรดาศิษย์เก่าที่ทุกคนอายุหลักสี่ขึ้นไปเริ่มมาประมาณ 7-8 คนแล้ว
คำว่าศิษย์เก่าที่เราพูดกันเล่นๆ ใน LINE มันหมายถึงพนักงานที่เคยทำงานกับเจ๊ตาแล้วออกไปทำงานที่อื่น แต่ด้วยความใจกว้างของแกตลอดเวลาที่ผ่านมา ทุกคนก็ยังรักและยินดีที่จะได้กินฟรีทุกครั้งที่มีนัดกัน
ภายในห้องส่วนตัวที่จุคนได้ราว 30 คน ตกแต่งด้วยภาพวาดเดิมๆ ต้นไม้ประดิษฐ์ต้นเดิม ตรงกลางห้องก็ยังคงเป็นโต๊ะเดิมขนาดราว 3 คูณ 2 เมตรสำหรับนั่งห้อยขา ด้านบนวางจานและตะเกียบไว้อย่างเรียบร้อย
ด้านข้างมีโต๊ะเตี้ยๆ วางของขวัญที่พวกเราเตรียมมาจับสลากกัน ส่วนยอดของกองกล่องของขวัญจะเป็นถุงกำมะหยี่ขนาดเล็กสีแดงที่รู้กันว่าเป็นรางวัลใหญ่ของเจ๊ตาที่มีมูลค่าพอๆ กับเงินเดือนของพวกเรา
เธอนั่งอยู่แล้วตรงข้ามกับประตูที่ผมกำลังผ่านเข้ามา
เราสบตากันนิ่งนานกว่าปกติ
เธอเปิดยิ้มพร้อมเอามือตบเบาะข้างซ้ายเธอที่ว่างอยู่พร้อมเอ่ยชวนให้ไปนั่งข้างๆ เหมือนปกติตลอดยี่สิบปีที่ผ่านมาที่เราเป็นเหมือนคู่หูพ่อลูกที่คนในบริษัทคุ้นชินกับความสนิทสนมของเรา
ผมก้าวเข้าไปนั่งพร้อมเหลือบเห็นผมสีขาวสามเส้นตรงแสกผมของเธอ ผมอมยิ้มและนึกในใจว่าจะแหย่เธอเรื่องความแก่ยังไงดี แต่ก็ไม่มีโอกาส เพราะต้องวุ่นวายอยู่กับการทักทายของน้องๆ ศิษย์เก่าทั้งหลาย
กาลเวลาทำร้ายเธอได้เล็กน้อยในวัย 43 ปี ริ้วรอยเส้นเล็กๆ เริ่มปรากฏที่หางตา มีร่องแก้มที่ดูชัดขึ้น และร่างกายที่ดูอวบอิ่มขึ้นเล็กน้อย
เราไม่ได้คุยกันเลย เพราะก่อนหน้านั้นเราได้คุยกันผ่านไลน์จนหมดเรื่องที่น่าสนใจไปแล้ว ในขณะเดียวกันก็ต้องรับมือกับคำถามและมุกตลกต่างๆ ที่บรรดาน้องๆ ยิงเข้ามาไม่ขาดระยะ
ผมนั่งหลังพิงพนักเบาะสบายๆ ยิ้มบ้างหัวเราะบ้างตามแต่มุกที่จะยิงมา ส่วนเธอใช้มือขวาเท้าคางเหลือบตายิ้มหรือหัวเราะเบาๆ ตามแต่ละมุกเช่นกัน แต่คนส่วนใหญ่ก็จะสนใจอาหารที่อยู่ตรงหน้ากันมากกว่า
เหมือนเวลาหยุดเดิน....
เธอเลื่อนมือซ้ายที่อยู่ต่ำกว่าระดับโต๊ะมาวางบนต้นขาขวาของผม ...
ผมรู้สึกเหมือนมีกระแสไฟฟ้าจากมือนิ่มอุ่นข้างนั้นแปลบเข้าไปถึงหัวใจ
ด้วยใจที่เต้นแรง ผมค่อยๆ ชำเลืองดูเธอ แต่ดูเหมือนว่าเธอจงใจจะไม่สบตาผมแต่หันไปพยักยิ้มกับพี่ๆ ที่อยู่ข้างๆ
มือขวาผมเลื่อนไปทาบทับหลังมือเธออย่างช้าๆ รับรู้ถึงแรงสะดุ้งเล็กน้อยแต่ไม่มีปฏิกิริยาต่อต้านแต่อย่างใด
นิ้วหัวแม่มือของผมไล้ไปมาบนหลังมือเธอในขณะที่เธอขยับมือเหมือนจะอำนวยความสะดวกให้กับการสัมผัสแรกนั้น
มันเกิดอะไรขึ้น....
ความคิดผมเตลิดไปไกล.... หรือว่าเธอชอบผมตั้งแต่เธอยังเด็กเมื่อสามสิบปีที่แล้ว หรือว่าเธอเหนื่อยล้ากับการอยู่คนเดียว... แล้วผมต้องขลิบมั้ยนะ... แล้วเราจะมีลูกตอนผมอายุ 64 ไหวหรือเปล่า... ครอบครัวเธอจะว่ายังไง...
มโนนึกของผมต้องสะดุดด้วยเสียงเฮและปรบมือลั่น
เจ๊ตาจับสลากเป็นชื่อเธอผู้ที่จะได้รับรางวัลใหญ่ของคืนนี้
เธอค่อยๆ ดึงมือออก
รางวัลที่ได้คือสร้อยคอทองคำหนัก 1 บาท ราคาตอนปลายปี 2567 ก็น่าจะราว 4 หมื่นนิดๆ ในขณะที่ของขวัญชิ้นอื่นๆ ทั่วไปกำหนดไว้ที่ 500 บาท แต่ก็มีข้อแม้ว่า คนที่ได้รางวัลใหญ่นั้นต้องดื่มเหล้าเพียวๆ ราว 200 ซีซีให้หมดแก้ว หรือไม่ก็ต้องสละสิทธิ
เธอยิ้มกว้างอย่างยินดี ท่ามกลางเสียงปรบมือและหยอกเย้าของพี่ๆ ในความโชคดีของเธอ
แล้วเธอก็ขมวดคิ้ว “หนูไม่เคยดื่มเยอะขนาดนี้เลยนะเนี่ย”
ผมเฝ้ามองเธอจิบเหล้าในแก้วนั้นทีละน้อยดัวยความเป็นห่วง พี่บางคนเตือนเธอให้กินอาหารหนักพร้อมกันไปด้วยเพื่อไม่ให้แอลกอฮอล์ออกฤทธิ์รุนแรงเกินไป
แต่...... เธอคงลืมไปแล้วว่าเราเพิ่งกุมมือกันเมื่อไม่กี่ครู่ยาม....
มือของเธอได้ดึงผมให้ก้าวข้ามเข้าไปในอีกโลกหนึ่ง ... แล้วเธอก็ปล่อยมือ แต่ผมยังคงวนเวียนหลงอยู่ในโลกใบใหม่
จนกระทั่งเสียงและแสงของพลุไฟสั่งลาปีเก่าได้ดึงให้ผมกลับมายังโลกปัจจุบัน
หลังเสียงพลุสงบลง พวกเราก็ทยอยกันกลับ ส่วนมากจะพึ่งพาขนส่งสาธารณะ ซึ่งรถไฟฟ้าในคืนส่งท้ายปีเก่านั้นจะเปิดบริการจนถึงตี 2
เราสองคนเดินเข้าไปหาพรรคพวกที่ยังอ้อยอิ่งร่ำลากันอยู่อีกหลายคนเพื่อบอกลา ผมอดพูดติดตลกกับเจ๊ตาไม่ได้ว่าผมจะคุ้มครองทองของเจ๊ตาให้ถึงที่หมายอย่างปลอดภัยแน่นอน
ขณะที่เดินออกมา ผมสังเกตเห็นว่าเหล้าค่อนแก้วที่เธอรับเข้าไปเมื่อชั่วโมงกว่าที่ผ่านมาจะเริ่มออกฤทธิ์แล้ว ด้วยโหนกแก้มที่ออกสีเรื่อ ดวงตาที่เอ่อด้วยน้ำหล่อเลี้ยงล้อกับแสงไฟ ทำให้ผมต้องขยับเข้าไปใกล้เพื่อระวังไม่ไห้เธอกระทบกระทั่งกับผู้คนและยวดยานที่ยังคงพลุกพล่านอยู่ในซอย
“พี่.... หนูมึนหัวจัง”
เธออมยิ้มดวงตาปรือฉ่ำพร้อมสอดแขนเข้ามาเกาะกุมกับแขนของผม
....เธอยังไม่ลืม....
ผมประคองเธอเดินไปโดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเดินผ่านอะไรไปบ้าง เสียงเซ็งแซ่ของผู้คนและเครื่องยนต์ที่รายล้อมถูกเสียงหัวใจกลบจนสนิท
ตลอดเวลาที่อยู่บนรถไฟฟ้าจนกระทั่งบนรถแท็กซี่ เธอยังคงกอดแขนผมไว้และยังหลับตาอิงซบต้นแขนผมไปตลอดทาง
เราไม่ได้พูดกันเลย
สำหรับเธอ.... ความเงียบนั้นคงเกิดจากความมึนเมา
แต่สำหรับผม..... ผมเลือกที่จะเงียบเพื่อให้ทุกประสาทสัมผัสกักเก็บและซึมซับความสุขที่มันกำลังจู่โจมนี้ให้มากที่สุด
ไออุ่นที่ต้นแขน... กลิ่นหอมอ่อนๆ จากเครื่องประทินกาย.... แรงสั่นสะเทือนเบาบางจากการหายใจเข้าออก.... ทำให้ผมอยากยืดเวลาออกไปไม่รู้จบ
เรามาถึงคอนโดเธอตอนตี 1 กว่าๆ เธอใช้เวลาเกือบนาทีเพื่อควานหาคีย์การ์ดแล้วส่งให้ผมเพื่อรูดผ่านเข้าไปยังชั้นล่างของคอนโด
จนถึงตอนนี้เราก็ยังไม่ได้พูดอะไรกันเลย
ความเงียบ อาจจะใช้เป็นข้ออ้างของเราเพื่อนำไปสู่การตามใจตัวเอง....
ห้องเธออยู่ชั้น 7 เราผ่านประตูห้องเข้าไปด้วยคีย์การ์ดใบเดิม
หลังจากเสียบคีย์การ์ดไว้ที่ช่องของมัน แสงไฟเหลืองนวลและเครื่องปรับอากาศก็เริ่มทำงาน
ผมช่วยเธอถอดรองเท้าอย่างทุลักทุเลจากร่างกายโงนเงนที่ดูจะไม่สร่างเมาเอาง่ายๆ
ตอนนั้นเป็นเวลา...
2:00 นาฬิกา 1 มกราคม 2568
.... ผมประคองร่างเธอค่อยๆ เอนลงบนที่นอนขาวสะอาดหนานุ่ม .....
....
..... สงครามได้เกิดขึ้นในทันที ....
2:10 นาฬิกา 1 มกราคม 2568
สงครามได้เริ่มขึ้นที่สมองส่วนที่ทำงานกับเหตุผล
แผนยุทธศาสตร์ได้ผุดขึ้นในสมองอย่างสับสน
คำว่า “ทำไม” “อะไร” “ยังไง” “แล้วถ้า....จะ....” ประดังเข้ามาในสมองอย่างไร้คำตอบ
ในการสงคราม ยิ่งข้อมูลน้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้มีความสุ่มเสี่ยงมากที่จะบอบช้ำหรือพ่ายแพ้
แต่ผมลืมนึกถึงพิษสงของข้าศึกที่กำลังประชิดอยู่แค่คืบคนนี้ ข้าศึกที่กำลังกุมมือและหัวใจที่อยู่ตรงหน้า
มือขวาของเธอที่กุมกระชับอยู่ได้ดึงผมให้โน้มลงไปใกล้ แขนซ้ายเธอยกขึ้นมาคล้องคอผมหมือนคุ้นเคยและรอมานาน เธอรั้งผมให้ไปซบสนิทกับหัวใจเธอ
ผมไม่รู้ว่าตอนนั้นหัวใจใครเต้นแรงกว่ากัน
เราทั้งคู่หลับตา ปากปิดสนิท...
“รบเถิด...... จะเจรจาด้วยประโยชน์ใดเล่า ในเมื่อเสียงหัวใจของเราทั้งสองมันก็จะกลบเสียงของเหตุและผลแห่งการสงครามนั่นอยู่ดี”
...... เราจะไม่เจรจา จนกว่าสงครามจะจบเมื่อฟ้าสาง......
โฆษณา