14 ม.ค. เวลา 00:36 • หุ้น & เศรษฐกิจ

⚠️ ตลาดหุ้นสหรัฐฯผันผวนก่อนปิดบวก กังวลเงินเฟ้อ VS ผลประกอบการ 💰

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ แกว่งตัวในวันจันทร์ โดยมีแรงซื้อกลับทำให้ตลาดหุ้นดีดตัวขึ้นกลับมาปิดบวกจนได้ หลังจากถูกเทขายในช่วงแรกจากความกังวลเรื่องทิศทางดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) อย่างไรก็ตาม ความกังวลเรื่องเงินเฟ้อและผลประกอบการที่กำลังจะประกาศออกมา ยังคงเป็นปัจจัยกดดันตลาดต่อไปในสัปดาห์นี้
✅S&P500: ปิดบวก 0.2% ที่ 5,836.22 จุด หลังจากร่วงลงเกือบ 1% ในช่วงเปิดตลาด โดยฟื้นตัวจากแรงซื้อในหุ้นกลุ่มพลังงาน การเงิน และอสังหาริมทรัพย์
🔻Nasdaq100: ปิดลบ 0.3% ที่ 18,332.58 จุด ถูกกดดันจากหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ โดยเฉพาะ Nvidia และ Apple
✅ Dow Jones: ปิดบวก 0.9% ที่ 37,921.27 จุด นำโดยหุ้นกลุ่มธนาคารและพลังงาน
✅ Russell 2000 (หุ้นขนาดเล็ก): ปิดบวก 0.2% ที่ 2,052.48 จุด
ปัจจัยขับเคลื่อนตลาดมาจาก
1️⃣ แรงซื้อกลับ (Dip Buying)
นักลงทุนบางส่วนมองว่าการปรับฐานของตลาดหุ้นในช่วงที่ผ่านมาเป็นโอกาสในการเข้าซื้อหุ้นในราคาที่ถูกลง โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีพื้นฐานดี
2️⃣ ความกังวลเรื่องเงินเฟ้อและทิศทางดอกเบี้ยเฟด
ข้อมูลเงินเฟ้อ (CPI): ตลาดจับตาตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนธันวาคมที่จะประกาศในวันพุธนี้อย่างใกล้ชิด คาดการณ์ว่า Core CPI (ไม่รวมอาหารและพลังงาน) จะเพิ่มขึ้น 0.2% ชะลอลงเล็กน้อยจาก 0.3% ในเดือนก่อนหน้า >> ถ้าต่ำคาดหรือชะลอตัวลง ตลาดน่าจะบวกต่อ เพราะเลิกกังวลเงินเฟ้อค่ะ
อย่างไรก็ตาม หากเงินเฟ้อออกมาสูงกว่าคาด อาจเพิ่มแรงกดดันให้เฟดคงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับสูงนานขึ้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยลบต่อตลาดหุ้น และส่งผลให้ Bond Yield ยังคงอยู่ในระดับสูงต่อไป
3️⃣ ฤดูกาลประกาศผลประกอบการ
ฤดูกาลประกาศผลประกอบการไตรมาส 4 ปี 2024 เริ่มต้นขึ้นอย่างจริงจังในสัปดาห์นี้ โดยเฉพาะกลุ่มธนาคาร ทั้ง JPMorgan Chase, Wells Fargo, Citigroup, Bank of America คาดว่าจะรายงานผลประกอบการที่ดี โดยได้แรงหนุนจากธุรกิจซื้อขายหลักทรัพย์และวาณิชธนกิจ ซึ่งช่วยชดเชยรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (Net Interest Income) ที่ลดลงจากเงินฝากที่สูงขึ้นและความต้องการสินเชื่อที่ซบเซา
นอกจากนี้ นักลงทุนจะให้ความสำคัญกับมุมมองของผู้บริหารธนาคารเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจและผลกระทบต่อนโยบายการเงินในปี 2025 ท่ามกลางสัญญาณว่าเฟดอาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้
✅ สรุปก็คือ ต้องลุ้นให้งบดีกว่าคาด และลุ้นให้ Guidance ดีเช่นกัน
นักลงทุนในตลาดออปชั่นคาดการณ์ว่าหุ้นรายตัวใน S&P500 จะเคลื่อนไหวโดยเฉลี่ย 4.7% (ทั้งขึ้นและลง) หลังรายงานผลประกอบการ ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวในวันประกาศผลประกอบการที่มากที่สุดเป็นประวัติการณ์ สะท้อนถึงความไม่แน่นอนและความผันผวนที่สูงในตลาด
4️⃣ การปรับพอร์ตของนักลงทุนสถาบัน
ส่วนต่างการระดมทุน (funding spread) ซึ่งเป็นตัววัดความต้องการถือครองหุ้นผ่านตราสารอนุพันธ์ (เช่น สวอป ออปชั่น และฟิวเจอร์ส) ลดลงจากประมาณ 130 bps เหลือประมาณ 70 bps ในช่วงปลายเดือนธันวาคม บ่งชี้ว่านักลงทุนสถาบัน เช่น กองทุนบำเหน็จบำนาญ, ผู้จัดการสินทรัพย์, เฮดจ์ฟันด์ และ CTA อาจมีการขายหุ้นออกมาในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา (เจอตัวการแล้ว 😆)
📊 ความเคลื่อนไหวของหุ้นรายกลุ่ม
* กลุ่มพลังงาน (+2.2%): นำตลาดโดยได้แรงหนุนจากราคาน้ำมันดิบ WTI ที่ปรับตัวขึ้น 2.8% จากความกังวลเรื่องอุปทานที่อาจตึงตัวจากมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียรอบใหม่ หุ้นเด่น: Exxon Mobil (+2.6%), Chevron (+1.4%), ConocoPhillips (+2.3%)
* กลุ่มการเงิน (+0.7%): ปรับตัวขึ้นก่อนการประกาศผลประกอบการ หุ้นเด่น: JPMorgan Chase (+1.8%), Citigroup (+1.9%), Wells Fargo (+0.8%), Capital One (+2.9%) ได้รับการปรับเพิ่มคำแนะนำเป็น "ซื้อ" จาก UBS
* กลุ่มอุตสาหกรรม (+1.2%): ปรับตัวขึ้น โดยหุ้นกลุ่มเครื่องจักรกลปรับตัวขึ้นโดดเด่น หุ้นเด่น: Caterpillar (+3.3%)ได้รับการปรับเพิ่มคำแนะนำจาก Evercore ISI, Deere (+5.2%), Illinois Tool (+2.0%)
* กลุ่มวัสดุ (+2.2%): ปรับตัวขึ้น โดยหุ้นกลุ่มเคมีภัณฑ์ปรับตัวขึ้นโดดเด่น หุ้นเด่น: Linde (+1.8%) ได้รับการปรับเพิ่มคำแนะนำจาก TD Cowen, Corteva (+5.0%), CF Industries (+7.6%) และ Mosaic (+8.0%) ได้รับการปรับเพิ่มคำแนะนำจาก Piper Sandler
* กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ (+1.2%): ปรับตัวขึ้น นำโดยหุ้นกลุ่ม REITs หุ้นเด่น: Prologis (+1.7%), American Tower (+2.0%), Weyerhaeuser (+5.0%)
* กลุ่มสินค้าจำเป็น (ทรงตัว): หุ้นกลุ่มค้าปลีกถูกกดดัน หุ้นเด่น: Walmart (-1.6%), Costco (-1.3%), Target (-2.0%)
* กลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย (+0.5%): หุ้นกลุ่มยานยนต์ปรับตัวขึ้นโดดเด่น หุ้นเด่น: Tesla (+2.2%) ได้รับการปรับเพิ่มราคาเป้าหมายจาก Morgan Stanley, Ford (+0.6%)
* กลุ่มสาธารณูปโภค (-1.2%): ถูกกดดันจากหุ้นกลุ่มไฟฟ้า หุ้นเด่น: Constellation Energy (-8.5%), Edison International (-11.9%), PG&E (-5.5%)
* กลุ่มสื่อสาร (-0.5%): ถูกกดดันจากหุ้นกลุ่มสื่อและความบันเทิง หุ้นเด่น: Meta Platforms (-1.2%), Alphabet (-0.5%), Disney (-0.5%)
* กลุ่มเทคโนโลยี (-0.9%): ถูกกดดันจากหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์และฮาร์ดแวร์ หุ้นเด่น: Nvidia (-2.0%), Micron (-4.3%), Apple (-1.0%) จากข่าวลบเรื่องยอดขาย iPhone
🎯 สรุป ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เผชิญกับความผันผวน โดยมีแรงซื้อกลับในช่วงราคาตก แต่ยังถูกกดดันจากความกังวลเรื่องเงินเฟ้อ ทิศทางดอกเบี้ย และผลประกอบการ นักลงทุนควรติดตามข้อมูลเศรษฐกิจ ผลประกอบการ และสถานการณ์การเมืองอย่างใกล้ชิด เพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อมูล CPI ที่จะประกาศในวันพุธ และการรายงานผลประกอบการของบริษัทต่างๆ ที่จะทยอยออกมาในสัปดาห์นี้ นอกจากนี้ นโยบายของรัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้ประธานาธิบดีคนใหม่ (หากมีการเปลี่ยนแปลง) ก็เป็นอีกปัจจัยที่ต้องจับตา เพราะอาจส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นได้
โฆษณา