Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
พระมหาสมชาย ฐานวุฑฺโฒ
•
ติดตาม
14 ม.ค. เวลา 01:49 • การศึกษา
ศูนย์พุทธศาสตร์ศึกษา DCI พระนครศรีอยุธยา
คำว่า “พรหมจรรย์” ในความหมายทางธรรม ?
คำว่า “พรหมจรรย์” ใครที่ได้ศึกษาพระพุทธศาสนาจะเข้าใจความหมายดี โดยเฉพาะคนรุ่นปู่ ย่า ตา ยาย แต่คนรุ่นใหม่อย่างพวกเรานั้นไม่ค่อยคุ้นหูคำนี้สักเท่าใดนัก
ในโลกนี้มีทั้ง “เพศชาย” และ “เพศหญิง” ในเมื่อเราถูกกำหนดมาให้มีครอบครัว แล้วเราจะประพฤติพรหมจรรย์ไปทำไมกัน...
คำว่า “พรหมจรรย์” ในทางโลก หมายถึง ความบริสุทธิ์ของหญิงสาว แต่ความหมายในพระพุทธศาสนามี 2 นัย คือ “การไม่ยุ่งเกี่ยวกับเมถุนธรรม” ไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องเพศ
แต่ในความหมายที่กว้างขึ้น หมายถึง การทำความดีทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการให้ทาน รักษาศีล เจริญสมาธิภาวนา เจริญมรรคมีองค์ 8 ศีล สมาธิ ปัญญา ทั้งหมดรวมอยู่ในคำว่า “พรหมจรรย์” ทั้งสิ้น
การไม่ยุ่งเกี่ยวกับเมถุนธรรม เรื่องทางเพศก็เป็นหนึ่งในนั้น อยู่ที่ว่าเราจะเอาความหมายแบบเฉพาะเจาะจง หรือความหมายแบบกว้าง ๆ
หลายคนกังวลว่า การไม่ยุ่งเกี่ยวกับกามนั้นจะห้ามไปถึงเรื่องการมีความรัก การกระทำของคนเรามี 3 ทาง คือ ทางกาย ทางวาจา และทางใจ กล่าวง่าย ๆ คือ “ทำ พูด คิด” โดยการเน้นลำดับ เช่น ควบคุมจากกายก่อน ร่างกายไม่ยุ่ง แล้วควบคุมวาจา จากนั้นควบคุมทางใจ ทำเป็นขั้นตอนไปอย่างนี้
เพราะฉะนั้น ถ้าในแง่ของพระสงฆ์ ศีลของพระสงฆ์เน้นตรง “กาย” กับ “วาจา” เป็นหลัก เพราะเรื่องทางใจวัดกันได้ยาก แม้แต่พระโสดาบัน ความรู้สึกทางความรักต่าง ๆ ก็ยังคงมีอยู่
ยกตัวอย่าง นางวิสาขาเป็นพระโสดาบันตั้งแต่อายุ 7 ปี แต่ก็ยังแต่งงาน มีลูกมากถึง 20 คน
พระโสดาบันละสังโยชน์ คือ “กิเลส” จำแนกอย่างละเอียดได้ 10 อย่าง พระโสดาบันละได้ 3 อย่าง คือ “สักกายะทิฏฐิ” ความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน “วิจิกิจฉา” ความลังเลยสงสัยในพระรัตนตรัย
ซึ่งพระโสดาบันไม่มีเลยเพราะเข้าถึงพระรัตนตรัยภายในแล้ว พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ภายใน ไม่มีความลังเลสงสัยใด ๆ อีกศรัทธาในพระรัตนตรัยมั่นคง ไม่มีวันคลอนแคลน และ “สีลัพพตปรามาส” ไม่มีความงมงายใด ๆ ยึดมั่นแต่พระรัตนตรัยเท่านั้น
พระโสดาบันละได้ 3 ขั้น แต่ “กามราคะ” ยังละไม่ได้ เพียงเบาบางลงเท่านั้น ไม่ใช่ว่าหมดไปเลย พระสกิทาคามีก็คล้ายกับพระโสดาบัน แต่กิเลสข้อที่เหลือเบาบางลงไป
พระอนาคามี ก่อนจะเป็นพระอรหันต์สามารถละกามราคะได้ ไม่มีเรื่องทางเพศมาเกี่ยว ไม่ว่าด้วยกาย ด้วยวาจา หรือด้วยใจก็ตาม ยิ่งถ้าเป็นพระอรหันต์แล้วละได้หมดร้อยเปอร์เซ็นต์
เจริญพร
“สีลัพพตปรามาส”
สีลัพพตปรามาส (บาลี: สีลพฺพตปรามาส) มาจากการสมาสคำว่า สีล (แปลว่า ศีล) + วต (แปลว่า พรต) + ปรามาส (อ่านว่า ปะ-รา-มาด, แปลว่า การจับต้อง, การลูบคลำ (ใช้ในความหมายใกล้เคียงกับคำว่ายึดมั่น)
สีลัพพตปรามาส คือ การยึดมั่นในข้อห้าม (ศีล) และข้อปฏิบัติ (วัตรหรือพรต) มีความเห็นว่าเราเป็นผู้ครอบครองศีล วัตร หรือความบริสุทธิ์ มีลักษณะถือศีลเหมือนคนแบกศีล จัดเป็นความเห็นผิดหรือมิจฉาทิฐิอย่างหนึ่ง
ผู้ที่ละสีลัพพัตปรามาสได้ คือ พระอริยบุคคล ก็จะเป็นผู้รักษาศีลในลักษณะศีลช่วยให้วาง ช่วยให้เบาสบาย เหมือนคนทิ้งของหนัก เดินตัวเปล่าอย่างสบายตัว ฉะนั้น เพราะเห็นประโยชน์ของศีลอย่างเต็มที่ เป็นการรักษาศีลด้วยปัญญา
แต่ผู้ยังเป็นปุถุชนย่อมต้องเป็นผู้ที่ต้องถือศีลด้วยการแบกไปก่อน เป็นการถือศีลด้วยศรัทธาไปก่อน จนกว่าจะเป็นพระอริยบุคคล จึงละสีลัพพัตปรามาสลงเสียได้ สีลัพพัตปรามาส จัดเข้าในกลุ่มสังโยชน์ขั้นต้นที่พระอริยบุคคลระดับโสดาบันละได้
อ้างอิง
https://shorturl.asia/oIvXu
ข่าวรอบโลก
พัฒนาตัวเอง
พุทธศาสนา
1 บันทึก
3
3
1
3
3
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย