15 ม.ค. เวลา 12:00 • ประวัติศาสตร์

สรุปประวัติศาสตร์กรีกโบราณ: จากยุคหินสู่การเกิดนครรัฐ (โพลิส)

พอดีวันก่อนผมได้อ่านข่าวว่า คริสโตเฟอร์ โนแลน กำลังจะสร้างหนังเรื่องใหม่ที่เกี่ยวข้องกับมหากาพย์ออดิสซีย์ (Odyssey) เลยคิดว่าน่าจะเป็นโอกาสดีที่จะเอาประวัติศาสตร์กรีกโบราณมาเก็บตก และเล่าส่วนที่ทิ้งค้างไว้ ให้ฟังกัน เผื่อจะเป็นพื้นฐานก่อนดูหนังในอนาคต
‌ประวัติศาสตร์กรีกโบราณ ผมเคยทำไว้เมื่อนานมากๆ มาแล้ว เดี๋ยวจะเอา ep เก่ามาโพสต์ไว้ให้ในคอมเมนต์นะครับ
‌สำหรับโพสต์ในวันนี้ ผมจะพาทุกท่านไปรู้จักกับประวัติศาสตร์กรีกโบราณ โดยจะวาดภาพใหญ่ให้เห็นว่าเรื่องราวในแต่ละยุคสมัยนั้นเกี่ยวข้องกันอย่างไร เริ่มตั้งแต่ยุคหินไปจนถึงการเกิดเป็นนครรัฐที่เรียกว่าโพลิส (Polis) กัน
เริ่มจากยุคหินใหม่สั้นๆ
‌พื้นที่ที่เราคุ้นเคยกันว่า เป็นที่อยู่ของชาวกรีกโบราณนั้น มีประวัติการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์มายาวนานอย่างน้อยๆ ก็ 7,000 ปี BCE หรือ ประมาณ 10,000 ปีมาแล้ว
‌ในยุคนั้นผู้คนยังใช้ชีวิตแบบล่าสัตว์ เก็บของป่า มีการเพาะปลูกธัญพืชต่างๆ เช่น ข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ และเลี้ยงสัตว์พวกแกะ แพะ โดยอยู่รวมกันเป็นหมู่บ้านเล็กๆ อย่างเช่นหมู่บ้านเซสคโล (Sesklo) ในแคว้นเทสซาลี แต่เนื้อหาในส่วนนี้เราคงไม่ได้พูดถึงมากนัก แค่อยากให้เห็นภาพว่าพื้นที่ตรงนี้มีคนอยู่อาศัยมาเป็นหมื่นปีแล้วเท่านั้น
‌จากนั้นก็เข้าสู่ยุคสำริดหรือ bronze age
‌เป็นยุคที่มีการใช้วัสดุที่เรียกว่า "สำริด" ซึ่งทำมาจากส่วนผสมของทองแดงกับดีบุก มาสร้างเป็นเครื่องมือและอาวุธต่างๆ
ตรงนี้ขอหมายเหตุอธิบายเพิ่มนิดนึงนะครับ เวลาที่เราพูดถึงการเข้าสู่ยุคสำริดนั้น ไม่ได้บอกว่าคือ ปีไหน เพราะแต่ละพื้นที่ในโลกจะเข้าสู่ยุคสำริดไม่พร้อมกันซะทีเดียว
1
เช่น ถ้าเป็นพื้นที่บริเวณทะเลอีเจียน จะเข้าสู่ยุคสำริดก่อนพื้นที่อื่นในยุโรป เพราะมีแร่ธาตุอย่างทองแดงอยู่มาก ทำให้เข้าสู่ยุคสำริดประมาณ 5,200 ปีที่แล้ว
สำหรับภูมิภาคสำคัญอื่นๆ ของโลกก็จะเข้าสู่ยุคนี้ใกล้เคียงกัน เช่น อารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุจะเข้าสู่ยุคสำริดพร้อมๆ กับเมโสโปเตเมีย ที่ประมาณ 5,300 ปีที่แล้ว ส่วนจีนจะเข้าสู่ยุคสำริดช้ากว่านิดหน่อย คือประมาณ 4,000 ปีที่แล้ว
กลับมาที่อารยธรรมกรีก
ในช่วงยุคสำริดของกรีกนี้ มีอารยธรรมสำคัญเกิดขึ้น 2 อารยธรรม
อารยธรรมแรกคืออารยธรรมมิโนอัน (Minoan) มีศูนย์กลางอยู่บนเกาะครีต ลักษณะเด่นของอารยธรรมมิโนอันคือ จะมีพระราชวังขนาดใหญ่เป็นศูนย์กลางของชุมชน นักประวัติศาสตร์เลยเรียกว่า สังคมพระราชวัง (Palatial Society) โดยพระราชวังที่มีชื่อเสียงที่สุดคือ คนอสซอส (Knossos) ซึ่งมีระบบน้ำประปาและภาพวาดฝาผนังที่เรียกว่า เฟรสโก (Fresco) ชาวมิโนอันเป็นพ่อค้านักเดินเรือ สร้างเครือข่ายการค้าขายทั่วทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
‌อารยธรรมที่สองคืออารยธรรมไมซีเนียน (Mycenaean) เกิดขึ้นหลังจากมิโนอันเล็กน้อยและอยู่เคียงคู่กันมา อารยธรรมนี้ จะมาจากแผ่นดินภาคพื้นทวีป มีการสร้างป้อมปราการเป็นหลัก สังคมของพวกเขาจะแตกต่างจากชาวมิโนอัน ตรงที่มิโนอันเป็นสังคมพ่อค้า แต่ไมซีเนียนเป็นสังคมนักรบ
‌ภาษาที่ใช้ก็แตกต่างกัน เราไม่รู้ว่าชาวมิโนอันพูดภาษาอะไรแน่ แต่ใช้ตัวอักษรที่เรียกว่า Linear A (หมายเหตุ: Linear A และ Linear B เป็นชื่อที่นักโบราณคดียุคใหม่ตั้งให้กับตัวอักษรโบราณทั้งสองชุดนี้ โดยคำว่า "Linear" หมายถึง "เส้นตรง" เนื่องจากลักษณะการเขียนอักษรต่อกันเป็นเส้นตรงแบบที่เราเขียนกัน ต่างจากตัวอักษรที่ใช้ภาพสัญลักษณ์ (Pictograph) แบบอียิปต์โบราณ
ส่วนที่เรียก A และ B นั้น เป็นเพราะ Linear A ถูกค้นพบก่อน จึงได้ชื่อว่า "A" และเมื่อค้นพบระบบการเขียนที่คล้ายกันในเวลาต่อมา จึงเรียกว่า "B" ตามลำดับการค้นพบนั่นเอง
ที่น่าสนใจก็คือ Linear B นั้นนักวิชาการสามารถถอดความหมายได้แล้ว และพบว่าเป็นภาษากรีกโบราณ แต่ Linear A ยังไม่สามารถถอดความหมายได้จนถึงปัจจุบัน)
‌สำหรับชาวไมซีเนียนนี้เชื่อว่าเป็นบรรพบุรุษของคนที่ต่อมาเรารู้จักในนามชาวกรีก เช่น ชาวเอเธนส์หรือชาวสปาร์ตา
‌ทั้งสองอารยธรรมนี้ล่มสลายในเวลาไล่เลี่ยกัน โดยมิโนอันล่มสลายก่อนในช่วงประมาณ 1,450 BCE สาเหตุไม่ชัดเจน อาจเกิดจากภูเขาไฟระเบิดหรือถูกรุกรานจากชาวไมซีเนียน รายละเอียดเดี๋ยวเรามาคุยกันเพิ่มเติมนะครับ)
ส่วนไมซีเนียนล่มสลายประมาณปี 1,100 ก่อนคริสตกาล หรือราว 300 ปีต่อมา หลังจากนั้นพื้นที่บริเวณกรีกก็เข้าสู่ยุคสมัยที่เรียกว่า ยุคมืด
‌ยุค Dark Ages
ยุคมืด (Dark Age) ซึ่งกินเวลาประมาณ 300 ปี ที่เราเรียกว่า "ยุคมืด" เพราะจากหลักฐานทางโบราณคดี ดูเหมือนความเจริญรุ่งเรืองต่างๆ จะหายไปในช่วงเวลาหนึ่ง สังคมกรีกแตกออกเป็นชุมชนเล็กๆ ผู้คนกลับไปอาศัยอยู่ในหมู่บ้าน ไม่มีศูนย์กลางอำนาจเหมือนยุคก่อนหน้า
แต่ที่น่าสนใจก็คือ แม้จะเป็นยุคมืด แต่เรากลับรู้เรื่องราวของยุคนี้ผ่านมหากาพย์อันยิ่งใหญ่ที่ถูกเล่าสืบต่อกันมาแบบปากต่อปาก (oral tradition) โดยเฉพาะเรื่องเล่าเกี่ยวกับวีรบุรุษและสงคราม ที่โด่งดังที่สุดก็คือมหากาพย์อีเลียด (Iliad) ที่เล่าเรื่องสงครามเมืองทรอย และมหากาพย์โอดิสซีย์ (Odyssey) ที่เล่าการเดินทางกลับบ้านของวีรบุรุษโอดิสซุส
ยุคอาร์เคอิก หรือ ยุคโบราณ
‌หลังจากยุคมืด กรีกก็เข้าสู่ยุคอาร์คาอิก (Archaic Period) ประมาณ 800-480 ปี BCE เป็นยุคแห่งการฟื้นฟูและการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ ในยุคนี้การค้าขายกลับมาคึกคักอีกครั้ง มีการติดต่อกับอารยธรรมต่างๆ โดยเฉพาะฟินิเชียน ซึ่งชาวกรีกได้นำเอาตัวอักษรของพวกเขามาพัฒนาเป็นตัวอักษรกรีก
ตรงนี้ขอหมายเหตุอีกนิด : ด้วยความที่ชาวฟีนิเชียน เดินทางค้าขายไปทั่ว อักษรของชาวฟีนิเชียนจึงมีอิทธิพลต่อตัวอักษรของหลายอารยธรรม นอกเหนือจากกรีกแล้ว ยังมีอักษรภาษา อาราเมอิก (Aramaic) ที่ใช้ในจักรวรรดิ์เปอร์เซีย (ภาษาแม่ของพระเยซูก็เป็นภาษาอาราเมอิก)
อิทธิพลของตัวอักษรเปอร์เซีย ยัง “อาจจะ” มีอิทธิพลต่ออักษร “พราหมี” ที่พัฒนาขึ้นในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช และอักษรพราหมี ก็ยังเป็นที่มาของอักษรไทย ดังนั้น อักษรไทยก็อาจจะมีความเกี่ยวข้องกับอักษรของชาวฟีนีเชียนก็เป็นได้ (เว้นแต่สุดท้ายพบว่าอักษร พราหมี ไม่เกี่ยวกับอักษร  Aramaic)
กลับเข้าเรื่องต่อ ...
ที่สำคัญที่สุดคือ ในยุคนี้เองที่เกิดการรวมตัวของชุมชนเป็น "โพลิส" (Polis) หรือนครรัฐ ซึ่งแต่ละโพลิสจะมีความเป็นอิสระในการปกครองตนเอง มีเทพประจำเมือง มีกฎหมาย และวัฒนธรรมเป็นของตัวเอง โดยโพลิสที่สำคัญที่สุดสองแห่งก็คือ เอเธนส์และสปาร์ตา
เอเธนส์พัฒนาระบบการปกครองจนกลายเป็นประชาธิปไตยแห่งแรกของโลก ที่พลเมืองชายมีสิทธิ์มีเสียงในการปกครอง ในขณะที่สปาร์ตาเน้นการสร้างรัฐทหาร มีระบบการศึกษาที่เข้มงวดเพื่อสร้างพลเมืองให้เป็นนักรบที่เก่งกาจ กีฬาโอลิมปิก ก็เกิดขึ้นในยุคสมัยนี้
ช่วงปลายยุคอาร์คาอิกต่อกับยุคคลาสสิก (Classical Period) เริ่มมีนักปรัชญาสำคัญเกิดขึ้น อย่างกลุ่มนักปรัชญาก่อนโสกราตีส (Pre-Socratic Philosophers) ซึ่งพยายามอธิบายธรรมชาติและจักรวาลด้วยเหตุผล แทนที่จะอ้างอิงเทพเจ้าเหมือนแต่ก่อน เช่น เตลีส (Thales) ที่เสนอว่าน้ำคือต้นกำเนิดของสรรพสิ่ง และพีธากอรัส (Pythagoras) ที่เชื่อว่าตัวเลขคือหลักการพื้นฐานของจักรวาล
จากนั้นกรีกก็เข้าสู่ยุคคลาสสิก (Classical Period) ประมาณ 480-323 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งถือเป็นยุคทองของอารยธรรมกรีก เป็นยุคที่เอเธนส์รุ่งเรืองสุดขีด มีนักปรัชญาที่มีชื่อเสียงอย่างโสกราตีส เพลโต และอริสโตเติล เกิดการพัฒนาทางด้านศิลปะ วรรณกรรม สถาปัตยกรรม และวิทยาการต่างๆ อย่างมากมาย
ฮิปโปคราตีส (Hippocrates) ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น “บิดาแห่งการแพทย์" ที่ผมเขียนถึงในหนังสือ “สงครามที่ไม่มีวันชนะ : ประวัติศาสตร์การต่อสู้ระหว่างมนุษย์และเชื้อโรค” ก็อยู่ในยุคสมัยนี้
จากนั้น ก็เกิดสงคราม เพโลพอนนีเซียน (Peloponnesian War) ที่เอเธนส์และสปาร์ตา รบกันแย่งชิงความเป็นใหญ่ในกรีก เป็นสงครามที่ยาวนานถึง 27 ปี จนกรีกอ่อนแอลง จนอเล็กซานเดอร์มหาราช (Alexander the Great) จาก มาเซโดเนีย (Macedonia) เข้ามายึดกรีก แล้ว สร้างจักรวรรดิกว้างใหญ่ไพศาล จากกรีกไปจนถึงอินเดีย
1
‌ยุค Hellenistic
ยุคเฮลเลนิสติก (Hellenistic Period) คือยุคที่เริ่มต้นหลังการสิ้นพระชนม์ของอเล็กซานเดอร์มหาราชในปี 323 BCE และสิ้นสุดเมื่อโรมันเข้ายึดครองอียิปต์ (โดยจูเลียส ซีซาร์ ที่มีเรื่องราวของ คลีโอพัตรา และมารค์ แอนโทนี)
‌ยุคนี้จักรวรรดิ์ของอเล็กซานเดอร์ถูกแบ่งเป็นสามส่วน ปกครองด้วย 3 ราชวงศ์ ได้แก่ ราชวงศ์พโทเลมี (Ptolemy) ปกครองอียิปต์ ราชวงศ์ เซลิวสิด (Seleucid) ปกครองดินแดนตั้งแต่ซีเรียถึงอินเดีย และ ราชวงศ์ แอนติโกนิด (Antigonid) ปกครองมาเซโดเนียและกรีก
หลังจากนั้นก็เข้าสู่ยุคสมัยของอาณาจักรโรมัน
ทั้งหมดนี้ คือ ภาพใหญ่ที่จะให้ไว้ก่อนนะครับ แล้วเดี๋ยวจะมาตามเก็บรายละเอียดไปให้เรื่อยๆ ทาง youtube, spotify, Apple podcast, facebook และ Blockdit
สนใจ หนังสือเล่มใหม่ล่าสุดของหมอเอ้ว "พันธุกรรมข้ามกาลเวลา"
สามารถสั่งซื้อออนไลน์ได้แล้ววันนี้ : https://bit.ly/3UPbBUG
#พันธุกรรมข้ามกาลเวลา
โฆษณา