Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
AI GEN : ไอเจ็น
•
ติดตาม
23 ม.ค. เวลา 05:29 • ธุรกิจ
อัปเดต 5 เทรนด์ใหม่ของการยืนยันตัวตนในภาคธุรกิจ
อ่านบทความฉบับเต็มคลิก :
https://bit.ly/45F1ogx
การยืนยันตัวตนออนไลน์เป็นอีกหนึ่งขั้นตอนสำคัญในการทำธุรกรรมออนไลน์เพื่อให้ธุรกิจมั่นใจได้ว่าผู้ใช้บริการเป็นบุคคลคนเดียวกันกับข้อมูลที่ได้กรอกเข้ามา โดยการถ่ายรูปเซลฟี่ใบหน้าเพื่อเทียบกับรูปถ่ายในบัตรประชาชนเพื่อเปรียบเทียบและยืนยันว่าเป็นบุคคลคนคนเดียวกันจริง
อีกทั้งสามารถป้องกันการปลอมแปลงตัวตนได้ด้วยฟีเจอร์ Liveness detection ตอบโจทย์ธุรกิจที่ต้องยกระดับการทำ Customer digital onboarding ได้เป็นอย่างดี อีกทั้งการเลือกใช้ผู้ให้บริการยืนยันตัวตนออนไลน์ หรือ e-KYC ที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน และให้บริการได้แบบครบวงจรทำให้ธุรกิจมั่นใจได้ว่าทุกการทำธุรกรรมมีความปลอดภัย และหมดกังวลกับปัญหากลโกงที่อาจจะเกิดขึ้นได้
คาดการณ์ 5 เทรนด์ของการยืนยันตัวตนในภาคธุรกิจ
1. Deepfake จะยกระดับการยืนยันตัวตนออนไลน์ และวิธีการรักษาความปลอดภัยให้สูงขึ้น
50% ของลูกค้ามักจะใช้ข้อมูลประจำตัวเดียวกันในหลายบัญชีการใช้งานจึงทำให้การโจมตีเพื่อเข้าครอบครองบัญชีโดยอัตโนมัติจะยังคงดำเนินต่อไปในปี 2563 ที่ผ่านมา ดังนั้นองค์กร หรือธุรกิจต่างๆได้เปลี่ยนมาใช้วิธีที่ทันสมัย และซับซ้อนมากขึ้นด้วยการใช้การยืนยันตัวตนโดยใช้อัตลักษณ์ (biometrics) ของแต่ละบุคคล ทำให้มีความกังวลในเรื่องของ deepfake เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน
โดย Deepfake หรือเทคโนโลยีในการปลอมแปลงใบหน้าใช้วิธีในการซ้อนภาพวิดีโอ หรือภาพถ่ายใบหน้าที่มีอยู่บนส่วนหัวและลำตัวต้นทางโดยใช้เครือข่ายประสาทเทียมขั้นสูงที่ขับเคลื่อนด้วย AI และสามารถสร้างได้ค่อนข้างง่าย
ในปี 2563 ที่ผ่านมาได้เริ่มเห็นการเพิ่มขึ้นของการนำเทคโนโลยี Deepfake มาใช้เป็นเครื่องมือในการตรวจสอบการทำธุรกรรมออนไลน์เมื่อโซลูชันการยืนยันตัวตนโดยการใช้อัตลักษณ์ถูกนำมาใช้อย่างกว้างขวางมากขึ้น และสิ่งที่น่ากังวลกว่านั้นคือโซลูชันการยืนยันตัวตนออนไลน์บางอันนั้นไม่สามารถที่จะตรวจจับ บอท และการโจมตีที่เป็นการปลอมแปลงที่ซับซ้อนได้
2. กฎระเบียบต้องก้าวไปข้างหน้าเพื่อระบุตัวตนผู้ใช้งานออนไลน์ได้อย่างถูกต้อง และเพื่อหยุดการฉ้อโกงที่แพร่ระบาดสูงขึ้น
ในปี 2020 เราจะเห็นว่าสภาพแวดล้อมด้านกฎระเบียบมีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องเพื่อจัดการกับปัญหาการฉ้อโกงที่เพิ่มขึ้น และการแพร่ระบาดของการละเมิดข้อมูล
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการมุ่งเป้าไปที่ความสามารถในการแยกแยะว่ามีคนจริง หรือใครที่พวกเขาบอกว่าพวกเขาเป็นเมื่อทำกิจกรรมบนออนไลน์ในหลากหลายกรณีการใช้งาน ตั้งแต่การซื้อของไปจนถึงการทวีต และการแชร์วิดีโอ แต่กฎหมายเหล่านี้มีข้อจำกัดที่สำคัญในเรื่องของการปกป้องข้อมูลประจำตัวแบบดิจิทัล หรือบนออนไลน์
3. อาชญากรไซเบอร์จะตั้งเป้าไปที่อุตสาหกรรมที่มีการควบคุมอย่างเข้มงวด และใช้จ่ายเงินสูง
มีรายงานอย่างกว้างขวางว่ามีหมายเลขประกันสังคมขายในเว็บมืดในราคา 1 ดอลลาร์ หรือประมาณ 33 บาท แต่เวชระเบียนฉบับเต็มมีราคาสูงถึง 1,000 ดอลลาร์ หรือประมาณ 33,000 บาท เนื่องจากประวัติการรักษาเป็นความฝันของโจรที่ขโมยข้อมูลประจำตัวเพราะมีทั้งข้อมูลวันเดือนปีเกิด สถานที่เกิด รายละเอียดบัตรเครดิต หมายเลขประกันสังคม ที่อยู่ และอีเมล ด้วยเหตุนี้อาชญากรไซเบอร์จะเริ่มกำหนดเป้าหมายไปที่ธุรกิจที่สามารถทำเงินได้มาก
เช่น ธุรกิจขนาดเล็ก และกลาง ธุรกิจสุขภาพและความงาม ธุรกิจการเงิน หน่วยงานภาครัฐ หน่วยงานการศึกษาระดับอุดมศึกษา และธุรกิจพลังงาน ในหลายๆ อุตสาหกรรมเหล่านี้ขาดแคลนทรัพยากร บุคลากร และทักษะทางด้าน IT ที่จะป้องกันองค์กรของพวกเขาให้รอดพ้นจากการโจมตีทางไซเบอร์ที่ซับซ้อน และเป็นตัวแทนของเป้าหมายที่สุกงอมในแง่ของประเภทของข้อมูลที่อาจถูกบุกรุก และถูกอาชญากรไซเบอร์นำไปใช้เป็นอาวุธเพื่อแอบอ้างบุคคลอื่น
4. ธุรกิจที่มีการควบคุมอย่างเข้มงวดจะนำการพิสูจน์ และยืนยันตัวตนแบบไบโอเมทริกซ์ไปใช้กันมากขึ้น
ถึงแม้ว่าเรายังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการนำรูปแบบการพิสูจน์ และยืนยันตัวตนโดยใช้ไบโอเมทริกซ์ แต่ด้วยการพัฒนาของเทคโนโลยีต่างๆทำให้การยืนยันตัวตนแบบไบโอเมทริกซ์เป็นทางออกที่ดีสำหรับการแพร่ระบาดของอาชญากรไซเบอร์ทั้งหลาย รูปแบบเดิมที่ใช้ในการยืนยันตัวตน
ไม่ว่าจะเป็นการใช้ข้อมูลเครดิตบูโร การยืนยันตัวตัวตนโดยใช้ฐานข้อมูล หรือแม้กระทั่งการยืนยันตัวตน 2 ขั้นตอนโดยใช้ SMS นั้น อาจจะไม่เหมาะกับการใช้งานกับธุรกรรมที่มีความเสี่ยงสูงอีกต่อไป ในทางตรงกันข้ามการใช้อัตลักษณ์ หรือ Biometrics ในการยืนยันตัวตนมีความปลอดภัย ความน่าเชื่อถือ และให้ความมั่นใจกับผู้ใช้งานได้มากกว่ารูปแบบการยืนยันตัวตนอื่นๆ
5. การยืนยันตัวตนด้วยใบหน้าจะกลายเป็นกระแสหลักของธุรกิจ
มักจะมีความสับสนระหว่างการจดจำใบหน้า (Facial recognition) และการตรวจสอบใบหน้า (Face authentication) แต่เทคโนโลยีที่อยู่เบื้องหลัง และการนำไปใช้งานนั้นมีความแตกต่างกัน สำหรับลูกค้า และธุรกิจนั้นการตรวจสอบใบหน้าถือเป็นสถานการณ์ที่ win-win กันทั้งคู่ ไม่เหมือนกับระบบการตรวจจับใบหน้าที่มักจะถูกนำไปใช้โดยปราศจากความยินยอมของลูกค้า
ในขณะที่การตรวจสอบใบหน้านั้นเป็นไปตามสิทธิ์ที่ลูกค้าอนุญาตให้เข้าถึงได้ ให้ความปลอดภัย และการรับรองสูงในขณะที่ให้พวกเขาเข้าถึงบัญชีหรืออุปกรณ์ของตนเองได้อย่างราบรื่น ความโดดเด่นของการตรวจสอบใบหน้า หรือ face authentication คือผู้ใช้งานไม่จำเป็นต้องอยู่ภายใต้กระบวนการพิสูจน์ตัวตนทั้งหมดในการใช้งานในครั้งถัดๆไป ผู้ใช้งานเพียงแค่ทำการถ่ายรูปเซลฟี่ใหม่เมื่อทำการล็อกอินเข้าสู่แอปพลิเคชันต่างๆ หรือเมื่อต้องทำธุรกรรมที่มีความเสี่ยงสูง เช่น การโอนเงิน เป็นต้น
Think AI Think AIGEN
ผู้ที่สนใจเกี่ยวกับการนำ AI-Face Recognition ระบบยืนยันตัวออนไลน์สำหรับธุรกิจ ไปใช้เพื่อเพิ่มขีดความสามารถให้กับธุรกิจ
สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ AIGEN ได้ที่
· Website :
https://bit.ly/3RHK8jN
· Facebook : AI GEN : ไอเจ็น
ข่าวรอบโลก
ธุรกิจ
เทคโนโลยี
บันทึก
1
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย