16 ม.ค. เวลา 04:54 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี

Nvidia ตอนที่ 4: กำเนิด cofounder คนที่สอง

อย่างที่เล่าไปในตอนที่แล้วว่า โชคชะตาพา Jensen Huang ให้มาเจอกับ cofounder โดยบังเอิญ วันนี้เรามาเรียนรู้ประวัติของ cofounder กัน
Curtis Priem นับเป็น nerd มาตั้งแต่เด็ก เขาเรียนชั้นมัธยมศึกษาที่โรงเรียนในเมือง Fairview Park รัฐ Ohio ที่นั่นเองเขาได้มีโอกาสใช้เครื่องคอมพิวเตอร์เมนเฟรมที่อยู่ห่างจากโรงเรียนไปประมาณ 16 กิโลเมตร ที่โรงเรียนเชื่อมต่อผ่านสายโทรศัพท์ (สมัยนั้นยังไม่มีอินเตอร์เน็ตลื่นๆ เหมือนสมัยนี้ ยังต้องใช้ modem ในการเชื่อมต่อ) ส่วน terminal ก็ไม่ได้มีหน้าจอเทพๆ ทางโรงเรียนใช้เครื่อง Teletype 33 ASR ที่เป็นเครื่องพิมพ์ที่มี keyboard เอาไว้รับส่งข้อมูลจากคอมพิวเตอร์ ด้วยความเร็วสูงสุดถึง 10 ตัวอักษรต่อวินาที
ด้วยความสามารถของระบบที่จำกัดในเวลานั้น เขาคิดที่จะทำเกมที่คงไม่มีใครคิดจะทำกับเครื่องแบบนีั นั่นคือเกม billiard
เขาเขียนเกมด้วยภาษา Basic และให้มันพิมพ์ตำแหน่งของลูก billiard แต่ละลูก และโต๊ะ ลงบนกระดาษ ส่วนผู้เล่นก็ดูตำแหน่งของแต่ละลูก และป้อนข้อมูลว่าจะยิงลูกขาวไปในทิศทางไหน และความเร็วเท่าไร หลังจากนั้น คอมพิวเตอร์ก็จะคำนวณการกระทบของลูก และพิมพ์ตำแหน่งของลูกใหม่ออกมา
เกมของเขามันเจ๋งมากในสมัยนั้น จนได้รับรางวัลในงานวิทยาศาสตร์ และไปเตะตาอาจารย์ในโรงเรียนจนรับเขาเป็น mentee และช่วยเหลือเขาในช่วงที่เขาเรียนอยู่
พอใกล้เรียนจบ เขาสมัครเรียนต่อปริญญาตรีที่ 3 มหาวิทยาลัย คือ MIT, Case Western และ RPI แต่พอได้ยินข่าวว่า RPI เพิ่งซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์เมนเฟรมใหม่ IBM 3033 และให้เด็กปี 1 ใช้เครื่องนี้ด้วย เขาเลยตัดสินไปเรียนโรงเรียนนี้ ทั้งๆ ที่มหาวิทยาลัยทั้ง 3 ก็ตอบรับเขาเข้าไปเรียน
แต่พอเรียนได้ปีเดียว พ่อของเขาก็ตกงาน ทำให้เขาไม่มีเงินจ่ายค่าเรียน เขาจึงต้องพยายามหาทุนเรียน ซึ่งทางโรงเรียนก็ไม่มีให้ โชคดีว่าทาง General Motors สนใจในตัวเขา และให้เขาไปทำงานด้วยช่วงปิดเทอม โดยช่วยทำระบบออกแบบชิ้นส่วน และยังยื่นข้อเสนอให้เขาเรียนต่อปริญญาโทด้วยทุนของ GM หลังเรียนจบ
แต่เขากลับปฏิเสธ เพราะตอนนั้นมีข่าวเรื่อง Steve Jobs และ Steve Wozniak ที่เพิ่งเปิดตัว Apple Computer และขายดิบขายดีขึ้น เขาก็มีความฝันเล็กๆ ว่าจะประสบความสำเร็จอย่างนั้นบ้าง จึงเลือกที่จะไปทำงานบริษัท startup แทน และเลือกทำงานกับ Vermont Microsystems
บริษัทได้ไปออกงานแสดงสินค้าใน Chicago และได้มีคนจาก IBM เข้ามาถามว่าสามารถผลิต graphics card ให้ทำ IBM ได้ไหม แน่นอนที่สุด ตามสัญชาติญาณบริษัท startup คนขายก็บอกว่าทำได้ แต่ไม่ได้บอกกับ IBM ไปว่า I just got a guy และมีแค่คนๆ เดียวทั้งแผนกที่จะทำงานงานนี้ เพราะ Curtis นี่แหล่ะเป็นคนที่เหมาะสมที่สุด
Curtis จากเด็กจบใหม่ เลยได้เลื่อนตำแหน่งเป็นวิศวกรอาวุโส และทำงานในโครงการ IBM Professional Graphics Adapter การ์ดจอระดับบนที่ทาง IBM หวังว่าจะเอามาใช้ใน graphics rendering ของระบบออกแบบ (Computer Aided Design - CAD) ใครที่นึกไม่ออก ตัวอย่างที่ดีคือ AutoCAD ไงครับ
ความสามารถของเขาไม่ธรรมดา เพียงสองปี เขาเข็นการ์ดนี้ออกมาได้ เป็นการ์ดที่มี CPU Intel 8088 อยู่บนการ์ด เพื่อช่วยประมวลคำสั่งวาดรูปที่ซับซ้อนโดยเฉพาะ มีความละเอียดสูงถึง 640x480 และมีสี 256 สี มี RAM ถึง 320KB
ตอนที่ผมได้อ่านเรื่องการ์ดนี้แทบอยากได้เลย เพราะตอนนั้นจอที่บ้านยังเป็นจอเขียวอยู่เลย ส่วน RAM ทั้งเครื่องมีแค่ 640KB แต่ตอนนั้นถ้าจำไม่ผิด น่าจะขายราคาประมาณ 2,995 เหรียญ (น่าจะเท่ากับ 2 แสนกว่าบาทในตอนนี้) ส่วนคอมผมทั้งเครื่องตอนนั้น 1,000 เหรียญเอง
แต่พอทำงานเสร็จ Curtis เพิ่งรู้ตัวว่า ต่อให้บริษัทนี้จะประสบความสำเร็จแค่ไหน เขาก็คคงไม่รวย เพราะบริษัทนี้ไม่ได้ให้หุ้นให้ option มากเหมือน startup อื่น
เขาเลยตัดสินใจบินไป California รัฐแห่ง startup และไปคุยกับบริษัทเก่าแก่อย่าง GenRad ที่ผลิตอุปกรณ์ทดสอบแผงวงจร และชิปต่างๆ และหวังว่าที่นั่น เขาจะได้เล่นกับของใหม่ๆ ที่ยังไม่ออกสู่ตลาด
วันที่เขาออกจาก Vermont Microsystems เป็นวันที่ IBM เปิดตัวการ์ดของเขาพอดี ส่วนเขาเอง เขายังไม่รู้เลยว่า เขาพลาดที่เดินออกมา เพราะตอนที่เขาไปเริ่มงาน บริษัทใหม่นี้ก็กำลังตกที่นั่งลำบาก ผู้บริหารใช้เงินอย่างฟุ่มเฟือยในการขยายตลาด แต่รายได้กลับไม่เข้าเป้า ส่วนแผนการควบรวมบริษัทกับ LTX ก็กลับล้มเหลว เขาจึงทำงานที่นั่นเพียงสองปี ก่อนที่จะหานายจ้างใหม่
และเขาได้งานใหม่ที่ Sun Microsystems ในปี 1986 Wayne Rosing หัวหน้าคนที่ชวนเขาไปทำงาน เคยทำงานกับ Apple ในโครงการ Lisa มาก่อน ทำให้เขารู้ดีว่า graphics สำคัญอย่างไร เพราะ Lisa ก็ติดปัญหาจอขาวดำ ความละเอียดแย่ๆ จนมันดูไม่เจ๋ง จึงอยากให้เขามาออกแบบ graphics card เจ๋งๆ อย่างที่เขาทำให้กับ IBM มาทำให้กับ Sun บ้าง
เดี๋ยวเรื่อง Sun ไว้ผมมาเล่าหลังจากเล่าที่มาของ cofounder อีกคนครับ
โฆษณา