6 ชั่วโมงที่แล้ว • ปรัชญา
การรับรู้ความดี เมื่อจิตมาอาศัยกาย ..จิตนั่นยึดอะไรบ้าง ยึดอารมณ์นึกคิดที่ปรุงแต่งเรื่องนั้นเรื่องนี้ เดี๋ยวก็เอาวิญญาณทั้งหก ไปกระแทก ไปชน ไปยึด อะไรต่างๆมามายก่ายกอง วิญญาณทั้งหก ..มันก็เลยบอบช้ำ หนาทึบ ..ไปด้วยสิ่งว่า ไปรับรู้มา ..หนาแน่นเหมือนโคลนตม
..ไอ้สมองที่มันอยู่ทัดเข้าไปหลังลูกตา ทั้งหูก็เหมือนกัน มันก็เกิดประจุหนาแน่น ใช้ไปนานๆ ก็เกิดผล ตามัว หูตึง กายก็หนัก .เหมือนบรรทุกของหนักเข้ามา เหมือนเกวียน บรรทุกของหนัก จิตที่อาศัยในกาย ไปทางไหน ก็ต้องอาศัยเกวียน คือกายนี้ กายมันหนัก จิตนั้นก็เหมือนงัวเหมือนควายลากเกวียน
เมื่ออารมณ์อยากไม่มีตัวตนเกิดขึ้น อารมณ์อยากสังจิต ..จิตก็สั่งกาย..เคลื่อนที่ไปหยิบไปจับสิ่งที่อยากได้ ทั้งอาหารการกินปัจจัย ทั้งไปแบกเอา ..แบกขันธ์ห้าของตัวเองเป็นภาระมันไม่พอ ก็ไปแบกขันธ์ห้าของคนอื่น มาเป็นภาระ..บ้างก็ว่าแบกแล้วเป็นสุข ด้วยอารมณ์สรรเสริญเยินยอ ลาภยศ เห็นมายาลวงสิ่งเหล่านี้มาเป็นความดี ด้วยอารมณ์ที่เป็นมายา ปกคลุมไปทั้งเรือนกาย .ดีชั่วก็แล้วแต่อารมณ์ที่ปรุงแต่งให้ รับรู้ว่าดี .ตามอารมณ์ที่ให้เหตุผล ยึดว่า..ดี .. เป็นดีของอารมณ์ ให้หลงมัวเมา เห็นว่าตนเองดีแล้ว
เรื่องราวของการรับรู้ เค้าจึงต้องมีการปัดกวาด ทำความสะอาด ทั้งกายทั้งจิต ทั่งวิญญาณทั้งหก ทั้งธาตุทั้งสี่ ให้สะอาดสะอ้าน แล้วทำอย่างไร จึงจะปัดกวาดได้ในสิ่งที่รกรุงรัง หากว่า จิตนี้เป็นเหมือนกระจก วิญญาณทั้งหก ก็ใสสะอาดสะอ้านแข็งแรง ..เราก็สามารถ ใช้รับรู้ เรื่องราวดีๆ ได้ชัดเจน
โฆษณา