Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Vate's Pharma Scope
•
ติดตาม
19 ม.ค. เวลา 00:00 • สุขภาพ
เจาะลึกยา Suraxavir กับผลลัพธ์ที่อาจทำให้คุณต้องคิดใหม่
บทความนี้ผมอยากจะมาเล่าเรื่องยาตัวหนึ่งที่กำลังเป็นที่สนใจ นั่นก็คือ "Suraxavir" ยานี้ไม่มีในบ้านเรานะครับ แต่ก็อยากนำมาเล่าสู่กันฟัง ประเด็นคือมีการศึกษาพบว่าสามารถช่วยลดระยะเวลาการป่วยจากไข้หวัดได้
แต่...เดี๋ยวก่อนครับ! ผลลัพธ์ที่ได้อาจไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดกันเสมอไป บทความนี้จะพาคุณไปเจาะลึกถึงรายละเอียดของการศึกษายา Suraxavir แบบเข้าใจง่าย ๆ พร้อมทั้งชี้ให้เห็นถึงประเด็นสำคัญที่อาจถูกมองข้ามไป พร้อมแล้วมาเริ่มกันเลยครับ
ไข้หวัดเป็นโรคที่ใคร ๆ ก็เป็นกันได้ และถึงแม้จะไม่ร้ายแรงถึงชีวิต แต่ก็ทำให้เราเสียสุขภาพและเสียเวลาในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ไปไม่น้อย การมียาที่ช่วยให้หายป่วยได้เร็วขึ้นจึงเป็นสิ่งที่หลายคนต้องการ แต่การที่เราจะเลือกใช้ยาอะไรสักอย่าง เราก็ควรที่จะต้องรู้ข้อมูลให้รอบด้านก่อนใช่ไหมครับ?
แล้ว Suraxavir คือยาอะไรล่ะ ?
Suraxavir เป็นยาต้านไวรัสชนิดหนึ่งที่ออกฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ที่จำเป็นต่อการเพิ่มจำนวนของไวรัสไข้หวัดใหญ่ครับ ซึ่งจากการศึกษาเบื้องต้นพบว่ายาตัวนี้มีประสิทธิภาพในการต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่ทั้งสายพันธุ์ A และ B เลยทีเดียว ทำให้หลายคนคาดหวังว่ามันจะเป็นยาที่ช่วยให้เราหายจากไข้หวัดได้เร็วขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่ยาต้านไวรัสชนิดอื่น ๆ เริ่มมีปัญหาเรื่องการดื้อยา
การศึกษา Suraxavir: ผลลัพธ์ที่น่าสนใจ (และน่าสงสัย)
ในการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Nature Medicine ได้มีการทดลองใช้ยา Suraxavir กับผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่จำนวน 527 คน โดยแบ่งเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งได้รับยา Suraxavir ขนาด 40 มิลลิกรัม และอีกกลุ่มได้รับยาหลอก (Placebo)
การศึกษานี้เป็นการทดลองแบบ "double-blind" ซึ่งหมายความว่าทั้งผู้ป่วยและผู้ทำการทดลองจะไม่ทราบว่าใครได้รับยาจริงหรือยาหลอก เพื่อลดอคติที่อาจเกิดขึ้น แล้วผลการศึกษาก็พบว่า
1. ผู้ชายหายป่วยเร็วกว่า: ผู้ชายที่ได้รับยา Suraxavir มีระยะเวลาการหายจากอาการไข้หวัดเฉลี่ยประมาณ 42 ชั่วโมง ในขณะที่ผู้ชายที่ได้รับยาหลอกมีระยะเวลาการหายป่วยเฉลี่ยประมาณ 63 ชั่วโมง ซึ่งถือว่าแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉลี่ยแล้วผู้ชายที่ได้รับยา Suraxavir หายป่วยเร็วกว่าผู้ที่ได้รับยาหลอกถึง 20.3 ชั่วโมง
2. ผู้หญิง...ไม่แตกต่าง: แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ ในกลุ่มผู้หญิงที่ได้รับยา Suraxavir กลับไม่มีความแตกต่างในระยะเวลาการหายป่วยเมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอก ซึ่งหมายความว่ายา Suraxavir ไม่ได้ช่วยให้ผู้หญิงหายจากไข้หวัดได้เร็วกว่าการไม่ได้รับยาเลย
ถึงตรงนี้ผมเริ่มสงสัยแล้วว่า ยามีผลต่อเพศ ??
3. เด็กและวัยรุ่น: ในกลุ่มเด็กและวัยรุ่นที่ได้รับยา Suraxavir พบว่ามีระยะเวลาการหายป่วยเร็วกว่ากลุ่มที่ได้รับยาหลอก โดยมีระยะเวลาการหายป่วยเร็วกว่าผู้ใหญ่ถึง 26 ชั่วโมง ซึ่งเป็นผลลัพธ์ที่น่าสนใจ แต่ก็ยังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนว่าผลลัพธ์นี้เป็นผลมาจากเพศชายหรือเพศหญิง
จากผลการศึกษาข้างต้น ทำให้เกิดคำถามที่น่าสนใจหลายอย่างครับ เช่น
1. ทำไมยา Suraxavir ถึงได้ผลกับผู้ชาย แต่ไม่ได้ผลกับผู้หญิง? นี่เป็นคำถามที่สำคัญมากครับ เพราะมันอาจบ่งบอกถึงความแตกต่างทางชีวภาพระหว่างเพศชายและเพศหญิงในการตอบสนองต่อยา ซึ่งอาจนำไปสู่การพัฒนายาที่เหมาะสมกับแต่ละเพศได้ในอนาคต ความแตกต่างนี้อาจเกี่ยวข้องกับฮอร์โมน เพศ หรือปัจจัยทางพันธุกรรมอื่น ๆ ที่ยังไม่ทราบแน่ชัด
2. ผลลัพธ์ในเด็กและวัยรุ่น: การที่เด็กและวัยรุ่นหายป่วยเร็วกว่าผู้ใหญ่ อาจเป็นเพราะร่างกายของพวกเขามีการตอบสนองต่อยาได้ดีกว่า หรืออาจเป็นเพราะว่าผลลัพธ์ที่เห็นในเด็กและวัยรุ่นส่วนใหญ่เป็นผลมาจากเพศชาย ซึ่งต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อยืนยัน การที่ผลลัพธ์ในเด็กและวัยรุ่นดีกว่าผู้ใหญ่ อาจเป็นเพราะระบบภูมิคุ้มกันของพวกเขายังทำงานได้ดีกว่า หรืออาจเป็นเพราะว่าพวกเขามีการตอบสนองต่อยาที่แตกต่างกัน
3. ข้อมูลที่ถูกซ่อนไว้: ในรายงานการศึกษา มีการซ่อนข้อมูลเกี่ยวกับผลลัพธ์ในผู้หญิงไว้ในส่วนของข้อมูลเพิ่มเติม ซึ่งทำให้หลายคนอาจมองข้ามประเด็นนี้ไปได้ ซึ่งผมคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง เพราะข้อมูลทุกส่วนควรถูกนำเสนออย่างชัดเจนและโปร่งใส การที่ข้อมูลสำคัญถูกซ่อนไว้ อาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับประสิทธิภาพของยาได้
4. การตีความผลลัพธ์: การที่ผลลัพธ์ในผู้หญิงไม่แตกต่างจากยาหลอก อาจหมายความว่ายา Suraxavir ไม่ได้ผลกับผู้หญิงเลย หรืออาจหมายความว่ายา Suraxavir มีผลกับผู้หญิง แต่ผลนั้นน้อยมากจนไม่สามารถวัดได้ในการศึกษานี้ ซึ่งต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อหาคำตอบที่ชัดเจน
ก็เป็นยาที่แปลก และผลลัพธ์การศึกษาก็แปลกๆดีนะครับ แต่ก็มีสิ่งหนึ่งที่ผมเชื่อว่าในอนาคตจะต้องเกิดขึ้นแน่ๆ คือ ยาที่เราใช้ๆกันอยู่จะมีความจำเพาะเฉพาะบุคคลมากขึ้นเรื่อยๆ นั่นหมายความว่าไม่ใช่ว่าใครจะกินยาอะไรก็ได้ บางทีเรากินยาแล้วได้ผลดี ก็ไม่ต้องหวังดีเอาไปแบ่งให้เพื่อนบ้านนะครับ ด้วยความห่วงใย
เอกสารอ่านเพิ่มเติม
1.
https://www.nature.com/articles/d41586-025-00041-2
2.
https://www.nature.com/articles/s41591-024-03419-3
ความรู้รอบตัว
ข่าวรอบโลก
สุขภาพ
บันทึก
1
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย