19 ม.ค. เวลา 02:12 • ปรัชญา
เรื่องราว ของความเชื่อ ไม่รู้ว่า ..คำว่า เขื่อนั้น เขื่ออะไรกัน ..คนเรานั้นมันเชื่ออารมณ์นึกคิดในตัวตน เชื่อในสิ่งรับรู้ แล้วจดจำ.ที่สะสม เข้าเก็บไว้ ในตัวตน ..เวลาก็ไม่เคยทำความรู้จัก ..สิ่งที่ตัวเองเชื่อ ..อารมณ์ อารมณ์เหล่านั้นมันจากไหน ..ยึึงมีความยึด ถืออารมณ์ ในกายในตัวตน เป็นสัญญา กลัวกายเจ็บ กลัวกายนี้จะแก่ กลัวกายนี้หมดลม พลัดพราก แต่กายนี้ มันก็ไม่เที่ยง สมองมันก็ มีหลงลืม เป็นอัลไซเมอร์ได้
1
เรื่องราวของการรับรู้..จดจำ ..มันก็มีเรื่องราวจิตวิญญาณโฆษณาชวนเชื่อ ..อะไรต่างมากมาย ..ทำไปเพื่ออะไร มุ่งหมายอะไร บ้างก็เขียนเป็นภาพวาด เช่น เรื่องราวไอ้ตัวคอมมูนิสต์ วาดภาด ไอ้ตัวคอมมูนิสต์ ถือปืน บังคับคนลากคันไถ แทนควายควาย บ้างก็โฆษณา เอาแป้งมาพอก อุดกลบเกลื่อนร่องรอย ที่เหี่ยวย่นให่ดูสวยดูงาม บ้างก็ไปเอาฟองน้ำมาเสริม ..เหมือนเพลงของสุรพล ..ของปลอม คนเรามันชอบดูของปลอม หรือ ของจริง ที่ไมมีมายาปรุงแต่ง ให้เกิดเป็นอารมณ์..
ความกลัว..นั้นมันเป็นอารมณ์ พอเกิดบ่อยๆ มันก็ ..เป็นนิสัย ที่เค้าว่า กลัวจนขี้ขึ้นสมอง ขี้ตกใจ ..กลัว ..เห็นอะไรก็อุปทาน ..อุปโลกน์กลัวว่า อย่างนั้นอย่างนี้ มันเป็นสัญญาอารมณ์ ที่ใช้จนเคยชิน บันทึกอยู่กับธาตุทั้งสี่ ที่ปลดปล่อยอารมณ์กลัวนั้นออกมา
2
สิ่งที่ไหลออกมาจากสิ่งที่ประกอบเป็นกาย ด้วยธาตุทั้งสี่ ไหลออกมา..เกิดสิ่งที่ว่า ตัวกระทำของตัวกลัว เป็นสีม่วงสีดำ จิตก็ยึดตัวกระทำของตัวกลัว ..กิริยาต่างๆ ก็แสดงไปตามตัวกลัวที่เกิดขึ้น ขันธ์ทั้งห้าก็เปลี่ยนแปลงไป ..รูป เวทนา สัญญา สังขารวิญญาณ ก็เกิดเป็นตัวกระทำ ของตัวกลัวอารมณ์กลัว ..ถ้าจะเปรียบเทียบ ก็เหมือนที่ว่า รูปนั่นมันเปลี่ยนแปลง เป็นเหมือนกุ้ง ขี้ขึ้นสมอง ..
คราวนี้ ..เรามาดู ผู้ที่เรียนรู้จักอารมณ์ ลดละกรรม ..ท่านก็ทำความเพียร สลัด ..อารมณ์กรรมนั้นออกไป ท่านไม่ได้ทำแบบของเล่น เล่นปาหิ..เราฟังพระผู้ใหญ่ ท่านเล่าให้ฟัง ว่า พระพุทธเจ้า ท่านก็ไม่บอกบรรยายอะไรมา ใครอยากบรรลุถึงธรรมของท่าน ก็ต้องมีความขันติอดทนเหมือนท่าน
ผู้ที่มีจิต ..เกิดคำว่า ขันติเป็นบารมี ท่านก็ทำกายนิ่ง จิตนิ่ง ..ไปนั่งในที่แจ้ง ไปอยู่ป่า มีพระจากหิมาลัย ท่านเล่าว่า ฉันก็ไปนั่งนิ่งๆ หิมะตกลงมา ใส่หัวโน นั่งไปทั้งคืน เช้ามาออกจากสมาธิ ผิวกายก็มีแต่เกล็ดน้ำแข็ง ท่านบอกว่า สัตว์มันยังอยู่ได้ เราเป็นคนก็อยู่ได้ บางพระองค์ก็แช่ในน้ำที่เป็นน้ำแข็งเป็นวันเป็นคืน เพื่อจะทิ้ง คำว่าทุกข์ .เป็นเรื่องของผู้ที่มีปัญญาธรรม จิตมีบุญกุศล เป็นบารมี มีขันติบารมี จึงสามารถกระทำได้
บางพระองค์ก็นั่งป่าเขาฝนตกลงมา น้ำป่าก็พัดกิ่ไม้ โคลนก้อนหิน น้ำไหบมาท่วมถึงคอ ท่านก็นั่งนิ่ง พอน้ำไหลผ่านไปหมด ท่านลืมตาดู เอ้า ..มันโล่งไปหมด ท่านก็นั่งนิ่งที่เดิม ท่านก็ตรวจสอบว่า ทำไมไม่ไหบไปตามน้ำกิ่งไม้ ..ท่านตรวจสอบ ก็ธาตุทั้งสี่ ..ก็ได้รู้ว่า บุญกุศลที่ท่านสะสมมา เป็นอสงไขย ..ฝากไว้กับธาตุทั้งสี่ ก็ทำให้ น้ำป่านั่น ไม่สามารถจะพัดกายของท่านให้ขยับเขยื้อนตามกระแสนน้ำป่า เหมือนกายที่เป็นบุญบารมีนั้น ปักลงไปในแผ่นดิน ..น้ำป่า ก็โยกคลอน ไม่ได้เลย
ธรรมของพระพุทธเจ้า ท่านฝากไว้กับดินฟ้าอากาศ เมื่อกายนิ่ง จิตนิ่ง เป็นสมาธิเกิดขึ้น ธรรมที่ท่านฝากไว้กับดินฟ้าอากาศ ก็ไหลลงมา ส่องลงมา ที่จิต . ที่ว่า มาเป็นแสง เป็นสี เป็นภาพ เป็นเสียง เป็นเหตุผล . คลี่คลายมายาต่างๆของกาย ของอารมณ์ มายาที่อยู่กับวิญญาณทั้งหก. ท่านก็ชำระสะสางให้สะอาดสะอ้าน
ในการชำระสะสาง จิตที่มีขันติเป็นบารมี ..ท่านก็ไปทำในที่ลำบาก ต้องอยู่คนเดียวว้าเหว่ เพื่อที่จะ ..ขจัดสิ่งต่าง ..ที่ทำให้ทุกข์ ทีลอยขึ้นมาจากธาตุทั้งสี่ ท่านก็อาศัยจิตนั้น ที่มีขันติเป็นบารมีแก่กล้า ละลายปลดเปลื้องสิ่งสกปรกนั้นออกไป สิ่งที่เป็นมลทินออกไป เพื่อยุติการเกิด เพื่อให้กายบริสุทธิ์จิตบริสุทธิ์ ก่อนเข้าพระนิพพาน
เวลาปฏิบัติธรรม ท่านก็ไม่ไปคิดพิจารณาอะไร เพราะไปเอาเรื่องนั่นเรื่องนี้ มานึกคิด มันก็เกิดเป็นอารมณ์ปรุงแต่ง เพราะเรายังอยู่กับโลก อยู่กับอารมณ์กรรม ..เวลาปฏิบัติธรรม ท่านก็มุ่ง รักษา ให้กายนิ่ง จิตนิ่ง ต้องเตรียมกายเตรียมจ้ต ที่จะนำกายมาอยู่ในรอยของผู้ที่มีธรรม ไม่มีอารมณ์ .อารมณ์นึกคิดที่มันเกิด ..มันนำพาจิต ..ไปยึด ไปถือเรื่องราวต่างมากมาย ..ยึดถือสิ่งไม่เที่ยง แล้วก็เกิดโลภโกรธหลงเกิดขึ้น สิ่งที่ได้ นั่นก็ล้วนเกิดเป็นกรรม เกิดภาระเป็นผู้มีกรรม ต้องเกิดแก่เจ็บตายไม่จบสิ้น
1
บางคน ก็ชอบทำบุญ ..ก็ได้แต่ทำบุญไป แต่ก็ไม่เคยฟังธรรม ..จากพระที่ท่านประพฤติปฏิบัติธรรม ที่จะชี้ เรื่องราว ของการสร้างบุญกุศลบารมี ให้จิตได้จดจำ ไปพิจารณา .. .ไม่เคยรับฟัง ..ที่จะแก้ไข .นิสัยที่เราใช้อารมณ์ที่มันเกิดขึ้นในกาย แล้วก็เป็นผู้ที่ไม่รู้จักอารมณ์กรรม ..แต่ก็หลงเชื่ออารมณ์ เชื่อสัตย์ต่ออารมณ์ เกรงกลัวอำนาจอารมณ์ที่ปรุงแต่งกาย ฝืนไม่ได้ ..ยับยั้งไม่ได้ ไปจนวันตาย
โฆษณา