[BeautyInvestor] 🇺🇸 กองทุน Passive หุ้นสหรัฐฯ ในไทย มีอะไรให้เลือกบ้าง และแต่ละกองทุนเหมาะกับใคร? สำหรับนักลงทุนที่สนใจโอกาสเติบโตจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ หนึ่งในทางเลือกที่สะดวกและใช้เงินไม่มาก คือการลงทุนผ่านกองทุนรวม ซึ

สำรวจ
ลงทุน
คำถาม

มีบัญชีอยู่แล้ว?หรือ

•

19 ม.ค. เวลา 02:56 • หุ้น & เศรษฐกิจ

🇺🇸 กองทุน Passive หุ้นสหรัฐฯ ในไทย มีอะไรให้เลือกบ้าง และแต่ละกองทุนเหมาะกับใคร?

สำหรับนักลงทุนที่สนใจโอกาสเติบโตจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ หนึ่งในทางเลือกที่สะดวกและใช้เงินไม่มาก คือการลงทุนผ่านกองทุนรวม ซึ่งในประเทศไทยมีทั้งกองทุนแบบ Active และ Passive ให้เลือกหลากหลาย แต่บทความนี้จะโฟกัสที่กองทุน Passive เป็นหลัก เพราะมีค่าธรรมเนียมถูก และบางกองทุนไม่เก็บค่าธรรมเนียมตอนซื้อ (Front-end Fee) อีกทั้งยังมีงานวิจัยที่ชี้ว่า ในระยะยาวกองทุน Active ทำผลงานชนะกองทุนดัชนีได้ค่อนข้างน้อยค่ะ

📊 ดัชนีหุ้นสหรัฐฯ ที่กองทุนไทยนิยมลงทุน

1️⃣ ดัชนี S&P500

ภาพรวม: ประกอบด้วยหุ้นขนาดใหญ่ 500 บริษัทในตลาดหุ้นสหรัฐฯ เช่น Apple, Microsoft, Amazon, Alphabet, และ Meta

จุดเด่น: หากลงทุนใน S&P 500 ก็เท่ากับเป็นเจ้าของหุ้นยักษ์ใหญ่ทั่วสหรัฐฯ ในพอร์ตเดียวค่ะ

เหมาะกับใคร: นักลงทุนระยะยาวที่ต้องการกระจายความเสี่ยง และเชื่อมั่นในศักยภาพของบริษัทใหญ่

2️⃣ ดัชนี Nasdaq100

ภาพรวม: เน้นลงทุนในหุ้นเทคโนโลยี 100 ตัวที่ใหญ่ที่สุดในตลาด Nasdaq (ไม่รวมกลุ่มการเงิน)

จุดเด่น: มีโอกาสได้ผลตอบแทนสูง แต่ความผันผวนก็มากตามไปด้วย

เหมาะกับใคร: นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง และเชื่อในศักยภาพของหุ้นเทคฯ

3️⃣ ดัชนี Russell 1000

ภาพรวม: ลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ ขนาดใหญ่ถึงขนาดกลาง 1,000 ตัว ครอบคลุมทั้งหุ้นเติบโต (Growth) และหุ้นคุณค่า (Value)

จุดเด่น: กระจายความเสี่ยงได้กว้างกว่าดัชนี S&P500 แต่ยังผูกกับภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ

เหมาะกับใคร: นักลงทุนที่ต้องการความหลากหลายครอบคลุมทั้งหุ้นใหญ่และหุ้นกลาง

4️⃣ ดัชนี Russell 2000

ภาพรวม: ลงทุนในบริษัทขนาดเล็ก 2,000 บริษัท (อันดับ 1,001-3,000 ตามมูลค่าตลาด)

จุดเด่น: มีโอกาสเติบโตสูง แต่ก็มีความผันผวนสูงเช่นกัน

เหมาะกับใคร: นักลงทุนที่มองหา “ดาวรุ่ง” ในตลาดหุ้น และยอมรับความผันผวนได้มาก

🔎 เลือกกองทุนอย่างไรให้เหมาะกับตัวเอง

📌 S&P500: เหมาะกับนักลงทุนระยะยาวที่ต้องการความมั่นคง และกระจายความเสี่ยงในหุ้นขนาดใหญ่

📌 Nasdaq100: เหมาะกับสายเทคฯ ที่ต้องการผลตอบแทนสูงและรับความผันผวนได้สูง

📌 Russell 1000: เหมาะกับคนที่อยากได้ทั้งหุ้นใหญ่และหุ้นกลาง ครอบคลุมทั้ง Growth และ Value

📌 Russell 2000: เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการโอกาสเติบโตสูงจากหุ้นเล็ก และยอมรับความผันผวนได้มาก

📈 กองทุน S&P500 ที่น่าสนใจในไทย

กองทุน Passive ที่อิง S&P500 เป็นหลักจะลงทุนผ่าน SPDR® S&P 500 ETF (SPY) หรือ iShares Core S&P 500 ETF (IVV)

โดยข้อแตกต่างคือ SPY จะมีค่าธรรมเนียมประมาณ 0.0945% ต่อปี และสภาพคล่องสูง ขณะที่ IVV จะมีค่าธรรมเนียมต่ำกว่าที่ 0.03% ต่อปี ออกโดย BlackRock ค่ะ

📈 กองทุน Nasdaq100 ที่น่าสนใจในไทย

กองทุนไทยที่ลงทุนใน Nasdaq100 ส่วนใหญ่จะลงทุน Invesco NASDAQ 100 ETF (QQQ) ดังนั้นในบ้านเราจะไม่ค่อยแตกต่างกัน ยกเว้นในส่วนของค่าธรรมเนียมค่ะ

📈 กองทุน Russell 1000 & 2000 ในไทย

มีไม่กี่กองในไทย เช่น PRINCIPAL USEQ-A (Russell 1000) และ SCBRS2000(A) (Russell 2000)

โดยทั่วไป ไม่ค่อยแนะนำสำหรับนักลงทุนทั่วไป เพราะผันผวนมากกว่ากอง S&P500 และ Nasdaq100 และมีค่าธรรมเนียมสูง เพราะคู่แข่งในไทยยังน้อยอยู่ค่ะ

📈 กองทุน Passive สหรัฐฯ ธีมอื่นๆ

ES-USTECH: เน้นเฉพาะกลุ่มเทคฯ ในดัชนี S&P500 (Market Cap Weight) มีสัดส่วน Apple, Microsoft, NVIDIA รวมกันกว่า 50% โดยจะเหมาะกับนักลงทุนที่อยากโฟกัสหุ้นเทคฯ รายใหญ่เป็นหลัก

KKP EWUS500: ลงทุนใน S&P500 แบบ Equal Weight (หุ้นแต่ละตัวถ่วงน้ำหนักเท่ากัน ~0.2%) เหมาะกับคนที่ต้องการลดการกระจุกตัวของหุ้นขนาดใหญ่ค่ะ โดยจะให้ความสำคัญเท่ากันโดยไม่สนใจขนาดของบริษัทค่ะ

💸 ประเภทของกองทุน (Hedged vs Unhedged)

1️⃣ กองทุนที่ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน (Hedged)

ใช้สัญญาหรือเครื่องมือทางการเงินเพื่อลดความผันผวนจากค่าเงิน โดยทั่วไป Standard Deviation (SD) ของกองทุนจะต่ำกว่า เพราะความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนถูก “ล็อก” ไว้บางส่วน

อย่างไรก็ตามกองทุนประเภทนี้จะมี “ต้นทุนในการป้องกันความเสี่ยง (Hedge Cost)” เช่น ถ้าดอกเบี้ยสหรัฐฯ สูงกว่าไทย กองทุนอาจต้องจ่ายเพิ่มเพื่อซื้อสัญญา Hedging แต่ถ้าดอกเบี้ยไทยสูงกว่าสหรัฐฯ กองทุนก็อาจได้ผลตอบแทนส่วนเพิ่มกลับมาเช่นกัน

2️⃣ กองทุนที่ไม่ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน (Unhedged)

กองทุนประเภทนี้ผู้ลงทุนต้องรับความผันผวนของค่าเงินเอง ทำให้ Standard Deviation (SD) ของกองทุนจะสูงกว่า เพราะรวมความผันผวนของค่าเงินเข้าไปด้วย

ถ้าเงินสกุลต่างประเทศแข็งค่า (เทียบกับเงินบาท) ผู้ลงทุนจะได้กำไรเพิ่ม แต่ถ้าค่าเงินต่างประเทศอ่อนลงก็อาจขาดทุนจากส่วนต่างนี้ได้เช่นกัน

🎯 สรุปและคำแนะนำ

ในระยะยาวๆให้เลือกกองทุนจากธีมที่เราชื่นชอบ และระดับความเสี่ยงที่เรายอมรับได้ก่อนค่ะ แล้วมาเลือกต่อโดยดูกองทุนที่เก็บค่าธรรมเนียมต่ำสุด ซึ่งในที่นี้จะหมายถึง Total Expense Ratio ค่ะ เป็นค่าใช้จ่ายรวมต่อปีทั้งหมด เพราะมีผลต่อผลตอบแทนอย่างมหาศาลในระยะยาวค่ะ

ท้ายที่สุด อย่าลืมพิจารณาว่าเรารับความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้มากน้อยแค่ไหน (Hedged vs Unhedged) ถ้ารับความเสี่ยงค่าเงินได้ ก็อาจจะเลือกกองทุนประเภท Unhedged เพราะ ณ ปัจจุบันกองทุนยังเสียค่าใช้จ่ายในการป้องกันความเสี่ยงค่าเงินอยู่ค่ะ

แต่ถ้ารับความเสี่ยงค่าเงินไม่ได้ ก็อาจจะต้องเลือกลงทุนกองทุนประเภท hedged ค่ะ

บางเจ้าจะมี Class E ด้วย ซึ่งจะค่าธรรมเนียมต่ำ ถึงไม่มีเลย (แต่จะมี exit fee) โดยอย่างของ SCBAM จะจำกัดมูลค่าพอร์ต 1 ล้านบาท (ส่วนที่เกิน 1 ล้านจะถูกคิดค่าธรรมเนียมค่ะ)

โฆษณา

ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน

🇺🇸 กองทุน Passive หุ้นสหรัฐฯ ในไทย มีอะไรให้เลือกบ้าง และแต่ละกองทุนเหมาะกับใคร?

ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน