25 ม.ค. เวลา 04:24 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์

Ultraman Arc: พลังแห่งจินตนาการ

ความประทับใจทั้งหมด
ที่มีต่อซีรีส์ "Ultraman Arc"
คือการที่ทุกอย่างของเรื่องนี้
ถูกขับเคลื่อนด้วยพลังแห่ง "จินตนาการ"
ตั้งแต่งาน Visual Effect สุดแฟนตาซี
และโปรดักชั่นที่แปลกใหม่อลังการสุด
อะไรที่ไม่เคยคิดว่าจะได้เห็นก็ได้เห็น
ทั้งมุมกล้องหวือหวาหลายฉาก
มีอะไรให้ทึ่งตามได้ตลอด
อย่างฉากที่สลับกล้อง
มองผ่านตาของสัตว์ประหลาด
ฉากแปลงร่างที่ใส่ทรานซิชั่น
และฉากต่อสู้ซึ่งมาพร้อม
ลูกเล่นหลายรูปแบบ
แม้แต่การสู้กันในโลกดิจิทัลคอยน์ก็มี
คือแต่ละตอนเราแทบคาดเดาไม่ได้เลย
ว่าเขาจะงัดอะไรออกมาให้ชม
เรียกได้ว่าจัดเต็มสมศักดิ์ศรี
สำหรับผลงานยุคใหม่ที่มีเทคโนโลยี
มาช่วยเนรมิตให้คอนเทนต์ยุคคลาสสิก
อย่างอุลตร้าแมนได้มีท่าใหม่ๆ มาใช้ไม่สิ้นสุด
โดยเฉพาะตอนจบที่ยิงลำแสงรอบโลก
พิฆาตลาสบอสอย่าง “สวีด” ลงได้
คือโหดเกิ๊นนน โคตรทัชใจมาก
ตรงนี้ขอชื่นชมในจินตนาการและ
ความคิดสร้างสรรค์ของทีมงานจริงๆ
สิ่งสำคัญต่อมาคือเนื้อหาข้างใน
ที่บอกคนดูอย่างเราๆ ได้ชัดเจน
ถึงอานุภาพแห่งจินตนาการ
ที่ส่งผ่าน "Yuma" ตัวเอก
หนุ่มหน้าหยกแห่งหน่วย SKIP
ผู้ผ่านโชคชะตาและเรื่องราวมากมาย
มาตลอด 16 ปีนับจาก "K-Day"
จากเด็กน้อยที่ต้องสูญเสียพ่อแม่
ผู้เป็นที่รักแบบไม่ทันตั้งตัว
ต้องใช้ชีวิตอยู่ภายใต้ความกลัว
จากภาพความเจ็บปวดในอดีต
ที่กรีดหัวใจมาถึงปัจจุบัน
มีเพียงคุณย่า (หรือยายไม่แน่ใจ)
และสมุดภาพระบายสีน้อยๆ
คอยเป็นเพื่อนปลอบขวัญ
ให้ไปต่อได้ในทุกวัน
พร้อมขีดเขียน ลากเส้น
แต่งเติมจินตนาการต่างๆ ลงไป
ให้เป็นเพื่อนฮีโร่ตัวโปรดบนหน้ากระดาษ
เติมเต็มตัวตนใหม่ให้ชาวรูเที่ยน
อย่าง "Arc" ได้มีสีสันบนร่าง
และชีวิตที่ได้เรียนรู้คุณค่า
แห่งความรัก ความอบอุ่นของมนุษย์
จนเข้าอกเข้าใจยูมะเป็นอย่างดี
มันเลยพาให้เรารู้สึกอินตาม
เสมือนพวกเขาเป็นคนๆ เดียวกันจริงๆ
ต่างเติบโตไปด้วยจนสุดทางเลย
มากกว่าการเป็นอุลตร้าแมน+ร่างสถิต
แบบซีรีส์ก่อนหน้านี้ที่ผ่านมา
(อ้อ! Taiga / Z / Blazar
ก็ทำให้รู้สึกเหมือนกัน)
ตัวตนและจินตนาการของ
เด็กน้อยยูมะคนนั้นยังต่อยอด
ให้เกิดความเป็นไปได้นับอนันต์
สร้างสรรค์ออกมาระหว่าง
การต่อสู้ได้อีกมากมาย
ทั้งการพลิกลำแสงไม้ตาE
จากเส้นตรงให้เป็นเส้นโค้ง
ตวัดหลบบาเรียเข้าไปปลิดชีพศัตรู
ทั้งหยิบเอาบาเรียมาหมุนเป็นใบพัดไล่อากาศ
หรือฉีกบาเรียออกเป็นอาวุธ
เปลี่ยนจากรับเป็นรุกได้อีก
รวมถึงอีกหลายตอนที่ทำท่าจะหลับ
ก็หาทางพลิกแพลงกลับมาได้ตลอด
ดูแล้วก็รู้สึกทึ่งว่าเฮ้ย
อุลตร้าแมนคนนี้มันมีของว่ะ
ซึ่งของในที่นี้มันคือกึ๋นในการสู้
ที่เราไม่ได้เห็นมานานแล้ว
ยิ่งในซีรีส์ยุคนิวเจนที่เน้นอัพร่าง
แล้วอาศัยพลังสุดยอดเข้าชิงชัย
แบบยังไม่ทันพยายามอะไรก่อนเลย
(เข้าใจแหละครับว่าเหตุผลคือขายของเล่น
แต่ก็นะ มันดูแล้วไม่อินเท่ายุคก่อนๆ
ที่ชนะด้วยฝีมือจริงๆ จนมาดูอาร์ค)
ต่อด้วยการเนรมิตไอเดียบนกระดาษ
ออกมาใช้เป็นชุดเกราะต่างๆ ได้จริง
ซึ่งแต่ละชุดต่างก็มีความโดดเด่น
ชวนให้เห็นถึงจินตนาการที่เป็นจริงได้ไม่สิ้นสุด
คือถึงจะเป็นร่างอัพเวล ก็ยังคงเปี่ยมด้วยลูกเล่น
และไอเดียการต่อสู้มาให้เราว้าวได้ตลอดอยู่
อัปเกรดทั้งพลังและความสามารถ
แบบนี้โอเคเลย สมเหตุสมผลกัน
และก็เพราะจินตนาการ
ที่ทำให้ยูมะสามารถเข้าใจคนอื่น
เสมือนไปนั่งในใจอีกฝ่าย
จนรู้สึกไปสุขทุกข์ตามไปด้วย
ไม่ว่าจะคนหรือเอเลี่ยน
จน "Ishido Shu (ชูซัง)" ยังเคยชมว่า
"ยูมะคุง! นายมีสิ่งที่คนอื่นไม่มี
นั่นคือจินตนาการที่สัมผัสและเข้าใจ
ความรู้สึกคนอื่นอย่างแท้จริง"
ทุกสิ่งที่ยูมะทำก็มักจะ
นึกถึงคนอื่นก่อนตัวเอง
หากคนในทีมเกิดปัญหาอะไรก็จะ "วิ่ง"
เข้าไปช่วยอย่างสุดหัวใจ
ไม่แปลกว่าทำไมเขา
ถึงเป็นที่รักของทุกคน
จนเมื่อตัวเองตกอยู่ในอันตราย
หัวหน้าและผองเพื่อนก็
พร้อมจะลุยไปช่วยเช่นกัน
สิ่งเหล่านี้คือพลังอันยิ่งใหญ่
ที่ทำให้เขาและอาร์คพัฒนา
ฝ่าฟันอุปสรรคต่อไปได้เรื่อยๆ
ไม่ว่าจะศัตรูจะแกร่งขึ้นอีกกี่เท่า
จนกระทั่งเรื่องราวตอนจบมาทำให้เห็นว่า
ชายหนุ่มคนนี้ยังมีบางอย่างที่ก้าวข้ามไปไม่ได้
นั่นคือปมในอดีตที่ฝังแน่น
แอบกลัว เจ็บปวด และไม่ให้อภัยตัวเองอยู่ลึกๆ
ซึ่งผมเชื่อว่าจิตใต้สำนึกเขาเอง
ก็ยังแอบจินตนาการถึงโลกความเป็นไปได้อื่นๆ
ที่พ่อแม่ยังมีชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างอบอุ่น
สัตว์ประหลาดสร้างฝัน “กิลบากุ”
มันจึงไม่ได้มโนเองหรอก
แต่อาศัยแผลนี้มาฉายภาพในใจ
แล้วบดขยี้จากภายในอย่างร้ายกาจ
ประโยคของพ่อแม่ที่บอกเขาก่อนจากไปว่า
"วิ่งไปสิยูมะ วิ่งไปเร็ว!" ในวันนั้น
คือการบอกให้ลูกหนีพ้นภัยสัตว์ประหลาด
มาวันนี้กลับมีความเหมื่อนที่ต่างกัน
"Time to Run, Yuma! ได้เวลาวิ่งแล้ว ยูมะ!"
ที่ฟังเผินๆ เหมือนแค่บอกให้วิ่งออกไปสู้
ลุยมันเลยลูก กอบกู้โลกให้ได้
แต่จริงๆ หากมองลึกลงไปในความหมาย
พ่อแม่เขาน่าจะอยากสื่อว่าจงมูฟออน
วิ่งไปจากอดีต ปลดปล่อยตัวเองจากวันนั้น
แล้วมุ่งหน้าสู่อนาคตให้ถึงที่สุดเถอะ
โดยรวมอาร์คเป็นอีกหนึ่งซีรีส์อุลตร้าแมน
ที่ทำออกมาได้ดีเกินคาดและอยากยกให้
เป็นเรื่องราว Top5 ของยุคนิวเจน
ไม่คิดเลยว่าการใช้ตัวละครไม่กี่คน
และการกำหนดให้เรื่องทั้งหมด
เกิดขึ้นแค่ในเมืองโฮชิโมโตะเป็นหลัก
ดูสเกลเล็ก แต่กลับให้อารมณ์ที่อิมแพ็ค
(ฟีลเหมือนอุลตร้าแมนกิงกะ part 1
อันนั้นเล็กสุดๆ สู้กันอยู่แค่ใน รร.
ก่อนจะค่อยๆ ไต่สเกลขึ้นมา
จนใหญ่ระดับกาแล็กซี่)
เพราะนอกจากทีม SKIP แล้ว
แทบไม่เห็นใครเข้ามามีส่วนเลยจริงๆ
ยังดีว่าหน่วย GDF ส่งเครื่องบินรบ
มาช่วยสู้บ้าง ไม่งั้นคงเหมือนทั้งโลก
มีแค่ 4+1 คนที่คอยพยายามสู้
แต่ก็เป็นข้อดีที่พอตัวละครน้อย
มันก็ทำให้เน้นบทได้มากขึ้น
นอกนั้นก็แอบเสียดายบ้าง
ที่การคอลแลปข้ามจักรวาลกับเบลซาร์
ทำออกมาบาง ไม่ขยี้เท่าที่ควร
สวนทางกับที่ปูเรื่องส่วนนี้มานาน
หรือการได้ซัดกับสัตว์ประหลาดระดับลาสบอส
จากหนังอุลตร้าแมนไกอา แต่กลับไม่ได้เห็น
ยอดฮีโร่แห่งผืนปฐพีเข้ามาแจม
ก็คงต้องลุ้นต่อไปว่าจะได้เห็นร่างใหม่
แบบเป็นทางการในเนื้อเรื่องตอนไหนกัน
และอีกแก่นสำคัญที่อาร์คได้ให้มา
คือไม่ว่าเราจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่แค่ไหน
อย่าลืมความเป็นเด็กอันสุขสดใส
พร้อมปลดปล่อยจินตนาการอันกว้างไกล
นำไปใช้ต่อได้เสมอ ไม่ว่าจะเจองาน
หรือโจทย์ชีวิตอะไรเข้ามา
เราจะหาทางออกได้ในที่สุด
ติดตามดูมาทุกวันเสาร์
พอวันนี้ไม่มีก็เหงาแปลกๆ เหมือนกันนะ
รอดูเดอะมูฟวี่อย่างใจจดใจจ่อ
แล้วพบกันใหม่ "Jump'n to the sky!"
โฆษณา