หายไปนานเลยครับ ไม่ใช่เพราะยุ่งอะไร มัวแต่ติดเกมอยู่ -*-
ช่วงนี้กลับมาทบทวนพอร์ตตัวเอง เพื่อรับมือกับปีใหม่นี้
ผมก็สนใจอยู่ไม่กี่ธุรกิจ หนึ่งในนั้นคือชิปที่ใช้ในรถยนต์ จริงๆ เคยเขียนเรื่องเทคโนโลยีชิปในรถยนต์ไปบ้างแล้ว แต่เขียนเอาไว้ในบริษัท On Semiconductor
ถ้าอยากรู้ว่าทำไมผมสนใจธุรกิจนี้ ลองไปย้อนอ่านดูได้
แต่ต้องยอมรับว่าที่ผ่านมา ไม่ใช่ช่วงเวลาที่ดีในการลงทุนในธุรกิจนี้เลย เพราะเป็นช่วง down cycle ลูกค้ากำลังเร่งระบาย stock เก่ากันอยู่
แต่มุมมองในระยะยาวผมยังเหมือนเดิม สรุปคือรอได้ เพราะหุ้นกลุ่มนี้ valuation ไม่แพงอยู่แล้ว
ช่วงที่รอๆ ว่างๆ เนี่ยแหละ ผมก็ได้มีโอกาสเข้าไปเช็คงบการเงินของหุ้นเบอร์ 1,2,3 ของอุตสาหกรรมนี้ ว่ามันมีแนวโน้มที่สอดคล้องกับหุ้นที่ผมถืออยู่ไหม
จนมาเจอบริษัทนี้เข้า
NXP เป็นบริษัทเนเธอร์แลนด์ แต่เข้ามาจดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ
เป็นบริษัทแบบ IDM (Integrated device manufacturer) คือทำทั้งออกแบบ และผลิตชิปในบริษัทเดียว
จริงๆ บริษัทนี้ก็มีโรงงานในไทยด้วย แต่เป็นโรงงานที่ทำในส่วนของ testing & packaging พูดภาษาชาวบ้านคือ เป็นโรงงานตรวจสอบคุณภาพชิป และประกอบเป็นแผงวงจร IC นั้นเอง
เท่าที่สังเกตดูบริษัทที่ทำพวกชิปประเภท Memory กับ Analog จะเป็น IDM ซะเยอะ
ไม่เหมือนพวกที่ทำ Microprocessors อย่าง Nvidia ไม่ก็ AMD พวกนี้จะเลือกไปเลยว่าจะทำธุรกิจ fabless (ออกแบบอย่างเดียว) หรือ Fab (โรงงานผลิตแบบ TSMC ; ที่จริง TSMC ก็เน้นผลิตชิปแบบ Microprocessors)
มีแต่ Intel เนี่ยแหละ ทู่ซี้จะทำ 2 อย่าง เลยสู้ใครเขาไม่ได้เลย
คงเป็นเพราะชิปประเภทนี้ ไม่ต้องทำให้มันเล็กขนาดนั้น เพราะไม่ใช่ชิปประมวลผล เลยไม่มีความซับซ้อนทางด้านงานออกแบบ หรือการผลิต
คือใช้เงินไม่เยอะในการ R&D และ Capex ในส่วนโรงงาน
กลับมาที่เรื่อง NXP พอผมไปดูงบแล้ว ผมกลับชอบบริษัทนี้มากกว่า On Semiconductor ที่อยู่ในพอร์ตผมซะอีก
เพราะผมพึ่งสังเกตว่า On เน้นค่าใช้จ่ายด้านการตลาด กับการบริหารมากเกินไป ส่วนค่าใช้จ่าย R&D กลับมีน้อยกว่า
ผมว่าบริษัททำ Capital allocation แบบนี้ไม่ถูก คือคุณอยู่ในธุรกิจที่ขายเทคโนโลยี ไม่ใช่ธุรกิจขายสินค้าทั่วไป คุณต้องให้ความสำคัญกับเรื่อง R&D มากกว่าค่าใช้จ่ายด้านการตลาดกับการบริหาร
เท่าที่ลองเก็บงบรายไตรมาสตั้งแต่ปี 2022 พบว่า
NXP มีค่าใช้จ่าย R&D คิดเป็นสัดส่วนต่อรายได้รวม ประมาณ 16 - 19% และ NXP มีรายได้เยอะกว่า On เกือบ 2 เท่า
On มีค่าใช้จ่าย R&D คิดเป็นสัดส่วนต่อรายได้รวมประมาณ 6 - 9% เท่านั้นเอง
นึกออกมะ รายได้ก็น้อยกว่า ยังลงทุน R&D น้อยกว่า คุณจะไปสู้อะไรเขา
จุดที่ 2 ที่ผมดูคือ Cash Conversion Ratio มีสูตรคือ กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน / กำไรสุทธิ
ถ้าได้มากกว่า 1 แปลว่า หากบริษัทมีกำไรในทางบัญชี 1 บาท จะสามารถแปลงออกมาเป็นเงินสดเข้าบริษัทได้มากกว่า 1 บาท
ตรงนี้ยังมีหลายไตรมาสที่ On ทำได้ต่ำกว่า 1 และทำได้แย่กว่า NXP เกือบทุกไตรมาส
พอเป็นแบบนี้ เลยทำให้ NXP มี FCF margin ที่ดีกว่า On
แต่เดี๋ยวก่อน! อย่าพึ่งด่วนสรุป เพราะอย่างที่บอกว่าธุรกิจชิปแบบ IDM ทำทั้งออกแบบ และผลิต ดังนั้นจะมาดูแต่งบ R&D อย่างเดียวไม่ได้
ต้องดู Capex ด้วย ก็ปรากฎว่า On เอง มีค่าใช้จ่าย Capex ต่อรายได้รวม ในอัตราที่สูงกว่า NXP
On มี Capex ต่อรายได้รวมอยู่ระหว่าง 9 - 20%
ขณะที่ NXP มี Capex ต่อรายได้รวมอยู่ระหว่าง 5 - 9% เท่านั้นเอง
จริงอยู่ที่ On สร้างกระแสเงินสดจากการดำเนินงานได้ไม่ดีเท่าไร แต่การมี Capex ที่เยอะ ก็เป็นอีกเหตุผลนึงที่ทำให้มี FCF Margin สู้ NXP ไม่ได้
ดูเรื่องตัวเลขมาเยอะแล้ว กลับมาดูข้อมูลเชิงคุณภาพกันบ้าง
ถ้าลองขุดไปลึกๆ ดู จะเห็นว่า แม้ On กับ NXP จะเป็นธุรกิจที่ขายชิปในรถยนต์เหมือนกัน แต่ก็มีจุดเด่นคนละอย่าง
On เก่งเรื่องชิปควบคุมกระแสไฟในแบตเตอรี่รถ EV
ส่วน NXP น่าจะเก่งเรื่องชิปที่ใช้ในระบบ ADAS กับชิปเรดาร์
ไม่แน่ใจว่า Power chip ที่ On ถนัด เป็นเทคโนโลยี ที่ความซับซ้อนไม่ได้อยู่ที่ R&D แต่อยู่ที่กระบวนการผลิตรึเปล่า เลยเน้น Capex มากกว่า R&D
เพราะเท่าที่ผมเช็คดู On ก็ยังกินส่วนแบ่งตลาดได้มากขึ้นเรื่อย ๆ
ก็เลยตัดสินใจว่าจะลงทุนทั้ง 2 บริษัทแหละ
ขอปิดท้ายด้วยข้อมูลที่น่าสนใจหน่อย จริง ๆ แล้ว ทั้ง 2 บริษัทนี้ไม่ใช่ pure play ที่ขายแต่ชิปในรถยนต์ เพราะขายชิปให้ภาคอุตสาหกรรม พวกชิปที่ใช้ในเครื่องจักรโรงงานด้วย
ย้อนกลับไปไตรมาส 1 ปี 2022 รายได้จากชิปในรถยนต์ของทั้ง 2 บริษัท ไม่ถึง 50% ของรายได้ทั้งหมด
แต่ปัจจุบันความต้องการชิปในรถยนต์ ค่อย ๆ เพิ่มขึ้น แบบที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้ตัว เพราะอาจจะไม่ได้ดูงบของทั้ง 2 บริษัทนี้แบบละเอียด
กลายเป็นรายได้จากชิปในรถยนต์ตอนนี้ กลายเป็นแหล่งรายได้เกิน 50% ของทั้ง On และ NXP แล้ว..
- 1
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2025 Blockdit
