5 ชั่วโมงที่แล้ว • หุ้น & เศรษฐกิจ

ลงทุนหุ้นสหรัฐอเมริกาทั้ง 500 ตัว หรือลงทุนแค่หุ้น 7 นางฟ้า แบบไหนดีกว่ากัน ?

ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ดัชนี S&P 500 ซึ่งเป็นหนึ่งในดัชนีหลักของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้น และทำจุดสูงสุด (All Time High) มาอย่างต่อเนื่อง
ที่น่าสนใจคือ กลุ่มบริษัทที่เป็นตัวแปรสำคัญในการขับเคลื่อนดัชนี S&P 500 ในตอนนี้ คือกลุ่มบริษัทเทคโนโลยี ที่เรียกว่า “Magnificent 7” หรือ “หุ้น 7 นางฟ้า” ที่ถ่วงน้ำหนักมากถึง 31% ของทั้งดัชนี S&P 500
ซึ่งหลายคนก็มีคำถามในใจว่า หุ้น 7 ตัว ที่แบกทั้งตลาดอยู่นี้ มีมูลค่าแพงเกินไปหรือไม่ ?
แล้วในฐานะนักลงทุน เราควรจะเลือกเส้นทางไหน ? ระหว่างลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่เพียง 7 ตัว หรือจะกระจายความเสี่ยงไปลงทุนหุ้นทั้งหมด 500 ตัว ในดัชนี S&P 500
ทางเลือกทั้งสองนี้ ต่างกันอย่างไรบ้าง ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
Magnificent 7 คือบริษัทที่มีมูลค่าตลาดสูงที่สุด 7 อันดับแรก ของดัชนี S&P 500
ได้แก่ Apple, Nvidia, Microsoft, Amazon, Meta, Alphabet (เจ้าของ Google) และ Tesla
1
แต่ละบริษัทนั้น มีการทำธุรกิจไปทั่วโลก ผ่านสินค้า บริการ หรือแพลตฟอร์มต่าง ๆ ที่มักมีความจำเป็นในชีวิตประจำวัน
โดยช่วงที่ผ่านมา ราคาหุ้นของบริษัทเหล่านี้ ปรับตัวขึ้นหลายเด้ง จากผลประกอบการที่เติบโตอย่างโดดเด่น ที่ล้อไปกับเมกะเทรนด์ของโลก
ทำไมบริษัทในกลุ่ม Magnificent 7 ถึงมีการเติบโตสูง ?
เหตุผลคือ เพราะบริษัทเหล่านี้ ล้วนมีแบรนด์ที่ติดตลาด มีเทคโนโลยีที่ล้ำหน้ากว่าคู่แข่ง จากการลงทุนในการวิจัยและพัฒนา (R&D) อย่างต่อเนื่อง
มีฐานลูกค้าหรือผู้ใช้งานเป็นจำนวนมาก ซึ่งทำให้เกิดความได้เปรียบเรื่องของ Network Effect ไปจนถึงการนำข้อมูลไปต่อยอด
และยังมีข้อได้เปรียบหลายอย่าง ที่เป็นเหมือนป้อมปราการที่คอยคุ้มครองธุรกิจของบริษัท
ตัวอย่างเช่น Microsoft ที่มีผลิตภัณฑ์ทั้ง Microsoft Azure, Microsoft Office และระบบปฏิบัติการ Windows ซึ่งผลิตภัณฑ์เหล่านี้ ถูกออกแบบมาให้ขยาย (Scalability) ได้ง่าย เพราะต้นทุนส่วนใหญ่ มักอยู่กับการทำ R&D ในครั้งเดียว
ทำให้ Microsoft สามารถขายผลิตภัณฑ์ดังกล่าว ให้กับลูกค้ารายใหม่ ๆ ได้ โดยที่แทบจะไม่มีต้นทุนอะไรเพิ่มเติมเลย
หรืออย่าง Amazon ที่มีธุรกิจคลาวด์ AWS ซึ่งมีต้นทุนการเปลี่ยนย้ายหรือ Switching Cost สูงมาก
เพราะถ้าหากลูกค้าคิดจะย้ายไปใช้บริการคลาวด์ของเจ้าอื่น ๆ อาจต้องเผชิญกับความยุ่งยาก การใช้ทรัพยากรจำนวนมาก รวมถึงธุรกิจอาจหยุดชะงัก
ขณะที่ Tesla ก็ครอบครองเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้าที่ทรงประสิทธิภาพ รวมถึงระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ ที่ล้ำหน้ากว่าคู่แข่ง แบบทิ้งห่าง
ทั้งหมดนี้ ทำให้บริษัทเหล่านี้ สามารถรักษาฐานลูกค้าได้อย่างเหนียวแน่น
ไปจนถึงสามารถแย่งฐานลูกค้ามาจากผู้เล่นรายอื่น ๆ ได้เรื่อย ๆ
และทำให้มูลค่าของบริษัททั้ง 7 แห่งนี้ มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จนทรงอิทธิพลที่สุดของโลก
โดยในปี 2024 ที่ผ่านมา ราคาหุ้นของกลุ่ม Magnificent 7 มีการปรับตัวขึ้นราว 70%
ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปรับตัวขึ้น 24%
เราพูดถึงหุ้น 7 ตัวแรกใน S&P 500 ไปแล้ว
ทีนี้มาดูฝั่ง 493 บริษัทที่เหลือกันบ้าง..
ถ้าหากยกตัวอย่างบริษัทในกลุ่มนี้ ที่มีความโดดเด่น ก็เช่น
- Visa ผู้ให้บริการทางการเงินชั้นนำ
- Coca-Cola ผู้ผลิตเครื่องดื่มหลากหลายยี่ห้อ
- ExxonMobil บริษัทด้านพลังงานยักษ์ใหญ่
- Eli Lilly & Co. ผู้นำอุตสาหกรรมยาระดับโลก
- Procter & Gamble (P&G) ผู้นำแบรนด์สินค้าอุปโภคบริโภค
โดยนอกจาก 5 บริษัทนี้ ก็ยังมีบริษัทอื่น ๆ ครอบคลุมทั้งบริษัทขนาดใหญ่ ไปจนถึงบริษัทขนาดกลางหลายแห่ง
แล้วในฐานะนักลงทุน การลงทุนใน Magnificent 7 กับ หุ้นบริษัททั้ง 500 ตัวเลย ทางเลือกไหนดีกว่า ?
อย่างที่บอกไปว่า Magnificent 7 มีหุ้นของบริษัทอยู่เพียง 7 บริษัทเท่านั้น ซึ่งถือว่ามีการกระจุกตัวที่สูงมาก ทำให้การมีหุ้นจำนวนน้อยในพอร์ต ก็กลายเป็นความเสี่ยงอย่างหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม ในโลกยุคนี้ที่เศรษฐกิจขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี ทำให้ยังคงยากที่จะมีบริษัทไหน หรือแม้แต่อุตสาหกรรมไหน ที่จะเติบโตได้มากกว่ากลุ่ม Magnificent 7 ได้
ขณะที่ถ้าหากเราลงทุนทั้ง 500 บริษัท ก็จะได้หุ้นของบริษัท ที่มาจากการกระจายหลาย ๆ อุตสาหกรรม มีทั้งบริษัทขนาดใหญ่และบริษัทขนาดกลาง ที่อาจยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก
มาถึงตรงนี้ เราก็สามารถแยกทางเลือกการลงทุนได้ว่า
- เลือกลงทุนใน Magnificent 7 หากเราเชื่อว่าบริษัททั้ง 7 แห่งนี้เป็นธุรกิจที่ชนะแล้ว และจะยังคงขยายไปยังน่านน้ำใหม่ ๆ รวมถึงสร้างการเติบโตต่อไปได้ในระยะยาว
- เลือกลงทุนในหุ้นทั้ง 500 บริษัท ถ้าหากต้องการกระจายความเสี่ยงไปยังอุตสาหกรรมอื่น ๆ ทำให้มีการบาลานซ์พอร์ตครบจบไปในตัว แต่ก็ต้องแลกมากับโอกาสทำผลตอบแทน ที่อาจไม่หวือหวาเท่า
ซึ่งต้องบอกว่า ไม่มีทางเลือกไหนที่ดีที่สุด เพราะฉะนั้น เราในฐานะนักลงทุน ต้องประเมินผลตอบแทนที่ตัวเราเองคาดหวัง และความเสี่ยงที่รับได้
หากใครคิดว่าแนวทางลงทุนใน 500 บริษัท เป็นความคิดที่ดี มีความผันผวนน้อยกว่า ผลตอบแทนโอเค ลงแล้วสบายใจ
การลงทุนในกองทุนรวมอิงดัชนี S&P 500 ที่คิดค่าธรรมเนียมต่ำ ก็เป็นคำตอบที่ตอบโจทย์
แต่ถ้าใครชอบลงทุนแบบโฟกัสมากกว่า โดยเน้นแค่ 7 ตัวเน้น ๆ อีกทั้งมองว่าเป็นธุรกิจที่ชนะแล้ว และขยายไปทั่วโลก มีศักยภาพเติบโตได้อีก
แนวทางนี้ ก็มีตัวเลือกในการลงทุนหลายวิธี ทั้งซื้อเป็นหุ้นรายตัวโดยตรง ให้ครบทั้ง 7 ตัว
หรือซื้อผ่านกองทุนรวม เช่น MEGA10 หรือ MEGAWORLD30 ที่รวมบริษัทผู้ชนะเหล่านี้เอาไว้นั่นเอง..
โฆษณา