วันนี้ เวลา 09:30 • หุ้น & เศรษฐกิจ

“จำนำหุ้นนอกตลาด” ฉุดความเชื่อมั่น ต่างชาติยังไม่กล้าซื้อ ทำหุ้นไทยผลตอบแทนติดลบอันดับ 3 ของโลก

ในช่วงที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยต้องเผชิญกับแรงกดดันอย่างหนัก จากกรณีที่ผู้บริหารของบริษัทจดทะเบียนบางแห่ง นำหุ้นของตัวเองไปจำนำเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันนอกตลาด และวางในบัญชีมาร์จิ้น
ซึ่งเมื่อราคาหุ้นปรับตัวลดลงถึงจุดที่นำไปสู่การบังคับขายหุ้น (ฟอร์ซเซล) จะส่งผลให้ราคาหุ้นลดลงอย่างรุนแรง สร้างความเสียหายให้กับนักลงทุนรายย่อย รวมถึงส่งผลต่อความเชื่อมั่นในตลาดหุ้นไทยที่เปราะบางอยู่แล้ว
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ ชี้ว่าความเชื่อมั่นที่ลดลงของนักลงทุน สะท้อนออกมาผ่านมูลค่าการซื้อขายที่เบาบาง ขณะที่กระแสเม็ดเงินลงทุนต่างชาติ (Fund Flow) ก็ยังไม่มีวี่แววจะไหลกลับเข้ามา ทำให้นับตั้งแต่ต้นปี 2568 ที่ผ่านมา ดัชนีตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนติดลบ และต่ำสุดเป็นอันดับ 3 ของโลก
ฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ว่า “ขาดความเชื่อมั่น = ขาด FUND FLOW” โดยประเด็นที่สร้างแรงกดดันให้กับตลาดหุ้นยังมีให้เห็นอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดเป็นเรื่องของการจำนำหุ้นนอกตลาด และการวางหลักทรัพย์ค้ำประกันชำระหนี้ในบัญชีมาร์จิ้น ถือเป็นปัจจัยที่ลดความเชื่อมั่นของนักลงทุนซึ่งถูกสะท้อนผ่านออกมาทางมูลค่าการซื้อขายที่เบาบาง
ส่วนในอีกทางหนึ่งกระแสเม็ดเงินลงทุนต่างชาติก็ยังไม่เห็นสัญญาณการกลับตัว เฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่สหรัฐฯ กำลังจะมีประธานาธิบดีคนใหม่เข้ามารับตำแหน่ง ซึ่งจากหลายนโยบายที่มีโอกาสกระตุ้นเงินเฟ้อสูงขึ้น ทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายต้องคงตัวในระดับสูง ทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่า
อีกทั้งการปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคคลก็เป็นปัจจัยที่เสริมเสน่ห์ให้กับตลาดหุ้นสหรัฐ ทำให้เม็ดเงินลงทุนยังคงอยู่ในตลาดสหรัฐเป็นหลัก ส่วนบ้านเราที่ต้องติดตามก็คือผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากนโยบายของ ประธานาธิบดีคนใหม่ซึ่งดูเหมือนจะเป็นลบมากกว่าบวก คาดว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยน่าจะผันผวนในทิศทางลง จากภาวะที่ยังไม่เห็น Fund Flow รวมถึงปัจจัยขับเคลื่อนใหม่ๆ เข้ามา
อย่างไรก็ตาม นับจากต้นปี 2568 ตลาดหุ้นไทยต่ำสุดอันดับ 3 ของโลก (1 –17 ม.ค. 67) ยังขาดความเชื่อมั่น โดยตลาดหุ้นเอเซียและไทยลงแรงติดอันดับต้นๆ ของโลก จากความกังวลเริ่มต้นเข้าสู่ยุค TRUMP 2.0 อาทิ ตลาดหุ้นมาเลเซียลงแรงอันดับ 1 ของโลก -5.3% จากต้นปี รองลงมาอันดับ 2 ตลาดหุ้นบาห์เรน -4.3% จากต้นปี และตลาดหุ้นไทย ลงมาอันดับ 3 ของโลก -4.26% จากต้นปี ตามมาด้วยตลาดหุ้นจีน -2.74% จากต้นปี , และตลาดหุ้น ฟิลิปปินส์ -2.71% จากต้นปี
ดังนั้น ภายใต้มูลค่าซื้อขายเบาบาง หุ้นกลัว TRUMP2.0 ก็มีเม็ดเงินขายออกมา กดดันให้ราคาหุ้นลงมาหนักมากแล้ว คำแนะนำ นักลงทุนติดตามประเด็นการเมืองสหรัฐอย่างใกล้ชิด ถ้าเห็นความผ่อนคลายลง อาจเห็นหุ้นกลุ่มดังกล่าวมีการรีบาวน์กลับขึ้นมาได้บ้าง อาทิ HANA, SCGP, ITC, SJWD, SCC, ERW, TU เป็นต้น
แต่ถ้ากระแส TRUMP รุนแรงก็น่าจะเห็นเม็ดเงินวนเวียนอยู่ในหุ้นที่อิงกับเศรษฐกิจภายในประเทศกับหุ้นปันผลสูงเป็นหลัก อาทิ BBL, KBANK, ADVANC, INTUCH, DIF, 3BBIF, VGI, PLANB, MAJOR เป็นต้น
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่ 👇🏻
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้👇🏻
โฆษณา