20 ม.ค. เวลา 12:40 • หุ้น & เศรษฐกิจ

"Drill, Baby, Drill" EP.1/3

...วันนี้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดทำการ 1 วัน เนื่องจากเป็นวัน Martin Luther King Jr. ตรงกับวันที่จันทร์ของสัปดาห์ที่ 3 ของเดือนมกราคม ของทุกปี เพื่อเป็นเกียรติ ที่ถูกสังหารภายหลังจากการเป็นผู้น้ำเรียกร้องอย่างสันติ ให้เกิดความเท่าเทียมในสังคม ช่วงทศวรรษที่ 1950 และ 1960
...ก่อนพิธี สาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี คนที่ 47 ของสหรัฐฯ ซึ่งก็คือ Donald Trump ในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า ในเวลา 12.00 ตามเวลาท้องถิ่น หรือตรงกับเวลาเที่ยงคืนของไทย อยากจะเสนอมินิซีรี่ การลงทุนเชิงประวัติศาสตร์ เกี่ยวกับหุ้นที่ได้ประโยชน์ จากวลีอันโด่งดังในการหาเสียงของทรัมป์
Drill, Baby, Drill
Donald Trump
...หากใครได้ติดตามการหาเสียง และการดีเบต อาจจะทราบดีกว่า ทรัมป์เป็นคนที่ไม่เชื่อในโลกร้อน และสนับสนุนให้ใช้พลังงานฟอสซิลมาตั้งแต่สมัยแรกที่ได้ตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ ในปี 2017 ทันทีที่ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรก โดนัลด์ ทรัมป์ ก็ถอนสหรัฐฯออกจาก Paris Agreement หรือข้อตกลงปารีส ซึ่งเป็นข้อตกลงระหว่างประเทศที่มุ่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ทรัมป์สั่งให้ลดงบประมาณและอำนาจของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและวิจัยด้านสิ่งแวดล้อม ที่โดนกระทบมากที่สุดคือ EPA หรือสำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อม
...ทรัมป์บอก ฉันจะส่งเสริมการผลิตและใช้หลังงานฟอสซิล ไม่ว่าจะเป็นน้ำมัน ถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติ ฉันไม่เชื่อเรื่องพลังงานสะอาด ไม่ว่าจะพลังงานแสดงอาทิตย์ ลง นิวเคลียร์ ไฮโดรเจน ฯลฯ
...ซึ่งในช่วงที่ทรัมป์ดำรงตำแหน่งสมัยแรก มีหุ้นพลังงานฟอสซิลของ 2 บริษัทชั้นนำระดับโลก ซึ่งมี market share ใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรมของสหรัฐเติบโตสูงถึง +60% และอักบริษัท +40% ในเวลาเดียวกัน ซึ่งสองบริษัทนั้นคือ
  • Exxon Mobil (XOM)
  • Chevron (CVX)
ทำไม Exxcon และ Chevron จะได้รับประโยชน์จากทรัปม์ ?
เมื่อ โดนัลด์ ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ครั้งแรกในปี 2017 เขาได้นำเสนอนโยบายหลายประการที่มุ่งเน้นไปที่การกระตุ้นการผลิตพลังงานในสหรัฐฯ โดยเฉพาะการสนับสนุน พลังงานจากฟอสซิล ซึ่งตรงกับกลยุทธ์ของ ExxonMobil และ Chevron ที่เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมพลังงานฟอสซิล
1. นโยบายการส่งเสริมการผลิตพลังงานจากฟอสซิล
ขวัญที่โด่งดังของทรัมป์ในเรื่องการส่งเสริมการผลิตพลังงานคือ "Drill, Baby, Drill" ซึ่งเป็นการสนับสนุนให้ขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติจากแหล่งที่มีอยู่ในประเทศ โดยเฉพาะในเขต อาร์กติก และ เขตน้ำลึกในทะเล การเปิดโอกาสให้ขุดเจาะในพื้นที่เหล่านี้จะทำให้บริษัทอย่าง ExxonMobil และ Chevron ที่มีความเชี่ยวชาญในเทคโนโลยีการขุดเจาะที่ซับซ้อนได้รับประโยชน์จากโอกาสในการขยายการผลิตน้ำมัน
2. การลดภาษีและการสนับสนุนด้านนโยบาย
ในระหว่างที่ทรัมป์ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี เขาได้ผลักดันให้มีการลดภาษีสำหรับบริษัทน้ำมัน รวมถึงการให้ ข้อยกเว้นทางภาษี และ การยกเลิกกฎระเบียบ ต่างๆ ที่เป็นอุปสรรคในการลงทุนด้านพลังงาน ฟอสซิล สิ่งนี้ช่วยให้ ExxonMobil และ Chevron สามารถเพิ่มผลกำไรได้จากต้นทุนภาษีที่ลดลงและลดความซับซ้อนในการดำเนินงาน
3. การสนับสนุนจากการเปิดการขุดเจาะในเขตน้ำลึกและอาร์กติก
โดยการยกเลิกข้อห้ามการขุดเจาะน้ำมันใน อาร์กติก และ เขตน้ำลึกในทะเล ทรัมป์ได้เปิดโอกาสให้บริษัทอย่าง ExxonMobil และ Chevron สามารถเข้าถึงแหล่งน้ำมันที่มีศักยภาพสูงเหล่านี้ ซึ่งอาจจะนำไปสู่การเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันในระยะยาว
4. การสนับสนุนการลงทุนในเทคโนโลยีการขุดเจาะที่ลึกและซับซ้อน
ทั้ง ExxonMobil และ Chevron เป็นบริษัทที่มีเทคโนโลยี deepwater drilling และ enhanced oil recovery ที่ล้ำสมัย ซึ่งช่วยให้พวกเขาสามารถขุดเจาะน้ำมันจากแหล่งที่ท้าทายได้ การสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ ในการลดข้อจำกัดทางกฎหมายเกี่ยวกับการขุดเจาะและการลงทุนในเทคโนโลยีเหล่านี้จึงช่วยเปิดโอกาสให้บริษัทเหล่านี้สามารถขยายการผลิตได้มากขึ้น
5. การกระตุ้นการสร้างงานและการลงทุนในอุตสาหกรรมพลังงาน
นโยบายของทรัมป์มุ่งเน้นไปที่การสร้างงานในอุตสาหกรรมพลังงาน โดยการขุดเจาะและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางพลังงานจะกระตุ้นการลงทุนจากบริษัทต่างๆ รวมถึง ExxonMobil และ Chevron ที่จะได้ประโยชน์จากการขยายงานและการเพิ่มความต้องการพลังงานฟอสซิลในประเทศ
สรุป
ExxonMobil และ Chevron จะได้รับประโยชน์จากนโยบายของ โดนัลด์ ทรัมป์ ที่เน้นไปที่การ ส่งเสริมการผลิตพลังงานจากฟอสซิล และ การลดภาษี ซึ่งช่วยให้ทั้งสองบริษัทสามารถขยายการผลิตน้ำมันในประเทศได้มากขึ้น การยกเลิกข้อจำกัดต่าง ๆ เช่น การขุดเจาะใน อาร์กติก และ เขตน้ำลึก จะเปิดโอกาสให้บริษัททั้งสองได้เข้าถึงแหล่งน้ำมันใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพสูง ทำให้พวกเขามีโอกาสในการเพิ่มผลกำไรและขยายการลงทุนในระยะยาว
โฆษณา