20 ม.ค. เวลา 13:20 • หุ้น & เศรษฐกิจ

"Drill, Baby, Drill" EP.2/3

คู่แข่งที่สำคัญ...
...ซาอุดิอาระเบีย ในอดีตเป็นเพียง ชนเผ่าร่อนเร่ในทะเลทราย ที่ไม่ได้มีฐานะร่ำรวย ในอดีต ราชวงศ์ซาอุ และ จอร์แดน มีความสัมพันธ์ที่ ซับซ้อน และ ห่างเหิน โดยเฉพาะในช่วง ต้นศตวรรษที่ 20 หลังจากที่ ราชวงศ์ซาอุดิอาระเบีย (ที่นำโดย กษัตริย์อับดุลอาซิซ อัล-ซาอุด) ได้เข้ายึดพื้นที่ในแถบ ฮิยาซ (ส่วนหนึ่งของซาอุดิอาระเบียในปัจจุบัน) และมีบทบาทสำคัญในการขับไล่ชาว ชาวออตโตมัน ซึ่งทำให้เกิดความตึงเครียดกับ ราชวงศ์ฮาชไมต์ (ที่มีความสัมพันธ์กับจอร์แดน)
...หลังจากที่ ราชวงศ์ฮาชไมต์ (ที่เป็นผู้นำในพื้นที่ของจอร์แดน) ได้รับการสนับสนุนจาก อังกฤษ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 และการล่มสลายของอาณาจักรออตโตมัน ราชวงศ์ซาอุดิอาระเบียได้พยายามผลักดันให้ จอร์แดน ขึ้นเหนือ โดยมุ่งหวังที่จะขยายอิทธิพลในพื้นที่และสร้างความมั่นคงให้กับราชวงศ์
...ซาอุดิอาระเบียเริ่มจากการเป็นประเทศเล็ก ๆ ที่มีรายได้จาก การเกษตร, การประมง, และ การเลี้ยงสัตว์ โดยในตอนแรก ซาอุดิอาระเบีย ไม่ได้มี รายได้จากน้ำมัน ที่สำคัญเท่าในปัจจุบัน การพัฒนาเศรษฐกิจจึงขึ้นอยู่กับ ทรัพยากรธรรมชาติที่มี และ อุตสาหกรรมการเกษตร โดยเฉพาะการเลี้ยงอูฐและการผลิต ข้าวบาร์เลย์ ซึ่งเป็นแหล่งอาหารหลักในช่วงเวลานั้น
...สมัยก่อนประเทศในแถบตะวันออกกลางหรือเอเชียยังไม่เห็นความสำคัญของน้ำมันเพราะยังไม่มีการใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในหรือเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการขับเคลื่อนพาหนะและเครื่องจักร เมื่อไม่มีความต้องการเชื้อเพลิงมากนัก จึงยังไม่เห็นว่าการขุดเจาะน้ำมันจะเป็นประโยชน์อย่างไร
Ford Factory
...แต่จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในช่วง สงครามโลกครั้งที่ 1 และต่อเนื่องมาจนถึง สงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อ ความต้องการน้ำมัน เพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะจากการที่ อุตสาหกรรมรถยนต์ เริ่มมีการพัฒนาและแพร่หลายไปทั่วโลก โดยที่ เฮนรี่ ฟอร์ด ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งบริษัท Ford Motor Company ได้ผลักดันการผลิตรถยนต์ในราคาที่สามารถจับต้องได้ ทำให้การใช้งานรถยนต์เพิ่มขึ้น และ ความต้องการน้ำมัน ในการขับเคลื่อนรถยนต์ก็เพิ่มขึ้นตามมา
...การเปลี่ยนแปลงใหญ่เกิดขึ้นเมื่อ การค้นพบน้ำมัน ใน ซาอุดิอาระเบีย และการลงทุนของ สหรัฐฯ ในช่วงปี 1930 ในแหล่งน้ำมัน ของซาอุผ่านบริษัท Standard Oil และต่อมาได้ก่อตั้ง "Saudi Aramco" ทำให้ซาอุดิอาระเบียกลายเป็น ประเทศที่ร่ำรวย และสามารถ ขยายอำนาจทางเศรษฐกิจและการเมือง ในภูมิภาคได้ในระยะยาว ซึ่งเปลี่ยนแปลงสถานะของซาอุดิอาระเบียจากประเทศเล็ก ๆ ที่มีรายได้จากการเกษตรและการเลี้ยงสัตว์มาเป็น หนึ่งในผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ ที่มีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจและการเมืองของโลก
กระบวนการที่ทำให้ซาอุดิอาระเบียร่ำรวย
1. การค้นพบและพัฒนาแหล่งน้ำมัน
  • ในปี 1938 ซาอุดิอาระเบียได้ค้นพบแหล่งน้ำมันขนาดใหญ่ที่ พื้นที่ Dammam ซึ่งถือเป็นการค้นพบที่สำคัญ และได้ทำให้ประเทศนี้เริ่มมีศักยภาพในการพัฒนาน้ำมัน
  • การพัฒนาแหล่งน้ำมันในซาอุดิอาระเบียต้องใช้ เทคโนโลยีขุดเจาะ ที่ทันสมัยในขณะนั้น ซึ่งสหรัฐฯ เป็นผู้ให้การสนับสนุนด้านเทคโนโลยีและความรู้ในการขุดเจาะน้ำมัน โดยเฉพาะการช่วยเหลือจาก บริษัทน้ำมันสหรัฐฯ เช่น Standard Oil of California (Socal) ซึ่งภายหลังได้กลายเป็น Chevron
Dammam Well, March 1938
2.ความช่วยเหลือจากสหรัฐฯ
  • ซาอุดิอาระเบียได้ เซ็นสัญญากับบริษัทน้ำมันสหรัฐฯ ตั้งแต่ช่วงปี 1930s โดยให้สิทธิ์แก่บริษัทเหล่านี้ในการพัฒนาแหล่งน้ำมันและส่งออกน้ำมันจากประเทศ
  • ในปี 1944 ซาอุดิอาระเบียได้จัดตั้งบริษัท Aramco ซึ่งเป็นบริษัทที่รวมตัวกันระหว่างบริษัทน้ำมันจากสหรัฐฯ (เช่น Standard Oil และ Texaco) ซึ่งช่วยในการพัฒนาอุตสาหกรรมน้ำมันของประเทศ
  • ความร่วมมือดังกล่าวทำให้ซาอุดิอาระเบียได้รับ ความรู้ด้านการขุดเจาะ รวมถึงการบริหารจัดการอุตสาหกรรมพลังงานที่มีมาตรฐานสูง
3. การรับซื้อน้ำมันจากสหรัฐฯ
  • ซาอุดิอาระเบียกลายเป็นหนึ่งในผู้ผลิตน้ำมันรายใหย่ของโลก และต้นทุนการผลิตที่ต่ำ สหรัฐฯได้ รับการจัดหาน้ำมันจากซาอุฯในปริมาณที่มาก นอกจากนี้สหรัฐฯ ยังเป็นหนึ่งในผู้ลงทุนหลัก ในอุตสาหกรรมน้ำมันของซาอุฯ และได้รับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ตากการมีฐานการผลิตน้ำมันที่มั่นคง
RoosUS President Roosevelt meet with King Saudi Arabia
4. การก่อตั้ง Saudi Aramco
  • ในปี 1973 ซาอุดิอาระเบียเริ่ม แปรรูป Aramco ให้เป็น บริษัทน้ำมันของรัฐ เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดจากทรัพยากรธรรมชาติของตนเอง
  • Saudi Aramco กลายเป็น บริษัทน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีมูลค่าตลาดที่สูงมาก และยังคงครองความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมน้ำมันโลกมาจนถึงปัจจุบัน
...จากที่กล่าวมาทั้งหมด เรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่าง ซาอุฯ และสหรัฐฯ ดูเหมือนจะไปได้ดี แต่ความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศกลับชะงักลง และมีทีท่าว่าจะเป็นไปทางกระท่อนกระแท่น จากการเปลี่ยนผู้นำ
...การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและเศรษฐกิจในซาอุดิอาระเบีย ที่สะท้อนถึง การปรับเปลี่ยนนโยบายต่างประเทศ ภายใต้การนำของ เจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน (MBS) ซึ่งอาจจะเห็นความสัมพันธ์ระหว่างซาอุดิอาระเบียกับสหรัฐฯ เปลี่ยนไปในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
...ซาอุดิอาระเบีย มีความพยายามที่จะ ปรับเปลี่ยน ระบบการค้า น้ำมัน ในตลาดโลก โดยเฉพาะในแง่ของการ ใช้สกุลเงิน ในการซื้อขายน้ำมัน ซึ่งระบบ เปรโตดอลลาร์ (Petrodollar) ที่ใช้ดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นสกุลเงินหลักในการซื้อขายน้ำมันทั่วโลกนั้นมีมาอย่างยาวนาน
...ในปี 2022 มีข่าวว่า ซาอุดิอาระเบีย กำลังพิจารณาการ ใช้หยวน (Renminbi หรือ CNY) แทน ดอลลาร์สหรัฐฯ ในการ ซื้อขายน้ำมัน โดยมีความสนใจจาก จีน ซึ่งเป็นหนึ่งใน คู่ค้าหลัก ของซาอุดิอาระเบีย นอกจากนี้ ซาอุดิอาระเบียยังมีท่าทีที่สนับสนุน การเข้าร่วมกลุ่ม BRICS ซึ่งรวมถึง บราซิล, รัสเซีย, อินเดีย, จีน และ แอฟริกาใต้ โดยการเข้าร่วมกลุ่มนี้อาจจะเป็นการเปิดโอกาสให้ซาอุดิอาระเบียมีบทบาทในระบบการเงินโลกที่หลากหลายและไม่ขึ้นอยู่กับดอลลาร์สหรัฐฯ เพียงอย่างเดียว
...การเปลี่ยนจาก เปรโตดอลลาร์ ไปเป็น เปรโตหยวน (Petro-yuan) จะช่วยให้ จีน สามารถเพิ่มอิทธิพลใน ตลาดน้ำมัน และสร้างระบบการเงินที่ไม่ได้พึ่งพาดอลลาร์สหรัฐฯ อีกต่อไป นอกจากนี้ยังเป็นการสนับสนุนกลยุทธ์ "เส้นทางสายไหม" (Belt and Road Initiative) ของจีน ที่มุ่งเน้นการขยายอิทธิพลทางเศรษฐกิจและการค้าไปยังหลายประเทศทั่วโลก
...ท่าทีนี้ของซาอุดิอาระเบียแสดงถึงการเปลี่ยนแปลงใน แนวทางการค้าระหว่างประเทศ และ การตั้งคำถามต่อความแข็งแกร่งของดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งถือเป็น การท้าทาย และ เสี่ยงต่อการเปลี่ยนแปลงลำดับความสำคัญ ของสกุลเงินที่ใช้ในการค้าระหว่างประเทศ
สาเหตุที่ทำให้ซาอุดิอาระเบียแสดงท่าทีแข็งข้อต่อสหรัฐฯ
1. การปรับตัวในเชิงยุทธศาสตร์
  • MBS (เจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน) ซึ่งเป็นผู้นำที่อายุน้อย ได้เริ่มดำเนินการในหลาย ๆ ด้านที่มีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ในการเชื่อมสัมพันธ์กับประเทศอื่น ๆ ในการสร้าง อำนาจและอิทธิพลที่มากขึ้น โดยไม่พึ่งพาเพียงสหรัฐฯ เท่านั้น
  • การที่ซาอุดิอาระเบียเริ่ม กระชับความสัมพันธ์ กับ ประเทศอื่น ๆ เช่น จีน, รัสเซีย หรือ ประเทศในภูมิภาค อาจทำให้เกิดท่าทีที่ดูเหมือนกับการ ลดการพึ่งพา สหรัฐฯ ในบางประเด็น
2. ท่าทีต่อการผลิตน้ำมันและการควบคุม OPEC
  • ซาอุดิอาระเบียยังคงมีอำนาจในการควบคุมการผลิตน้ำมันผ่าน OPEC และ OPEC+ ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมัน ที่มี การเจรจาและการตัดสินใจ ที่เกี่ยวข้องกับราคาน้ำมันระดับโลก
  • ซาอุดิอาระเบียในช่วงหลังเริ่มแสดงท่าทีที่ ไม่ยึดติดกับความต้องการของสหรัฐฯ โดยเฉพาะในช่วงที่มีการประท้วงการตัดสินใจเกี่ยวกับการผลิตน้ำมัน และในบางครั้ง การลดการผลิต ของน้ำมันก็เป็นการตัดสินใจที่มี ผลกระทบต่อตลาดน้ำมันโลก ซึ่งสหรัฐฯ ไม่สามารถควบคุมได้เหมือนในอดีต
3. ท่าทีทางการเมืองและเรื่องสิทธิมนุษยชน
  • บางครั้งสหรัฐฯ ได้วิจารณ์ การละเมิดสิทธิมนุษยชน หรือการดำเนินนโยบายในซาอุดิอาระเบีย แต่ซาอุดิอาระเบียในภายใต้การนำของ MBS ก็ได้มีท่าทีที่ดูเหมือนกับการ ปฏิเสธ หรือ ไม่ยอมรับ คำแนะนำจากสหรัฐฯ ในหลายเรื่อง
4. การพัฒนาภายในประเทศ
  • เจ้าชาย MBS ได้มีการผลักดัน โครงการ "Vision 2030" ซึ่งเป็นการวางแผนเพื่อทำให้ซาอุดิอาระเบีย พัฒนาในด้านอื่น ๆ นอกเหนือจากพลังงาน และลดการพึ่งพาน้ำมันเป็นแหล่งรายได้หลัก
  • นอกจากนี้การ เปิดประเทศ และ พัฒนาเศรษฐกิจ ในเชิงการท่องเที่ยวและการลงทุนก็เป็นการพยายามเพิ่ม อำนาจการต่อรอง ในระดับนานาชาติ
...หลายๆ ท่านที่อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว อาจจะมีความสงสัยหรือไม่เข้าใจว่า จากประวัติศาสตร์ทั้งหมด จนมาถึงความสัมพันธ์ระหว่างสองชาติ จะส่งผลให้ Exxon และ Chevron ได้เปรียบอย่างไร EP ถัดไป จะทำการสรุปให้เห็นภาพท้งหมด
ขอบพระคุณทุกท่านที่ติดตาม...
โฆษณา