โดยจากผลสำรวจ 2024 Philips Future Health Index report เผยให้เห็นว่า 92% ของผู้บริหารชั้นนำในวงการเฮลท์แคร์เชื่อว่า เทคโนโลยีอัตโนมัติเป็นกุญแจสำคัญในการช่วยแก้ไขปัญหาด้านการขาดแคลนบุคลากร โดยเทคโนโลยีอัตโนมัติสามารถช่วยลดงานและกระบวนการที่ซ้ำซ้อนได้ ในขณะที่กว่าร้อยละ 90 ยังเชื่อว่าเทคโนโลยีอัตโนมัติจะลดภาระงานด้านเอกสาร ทำให้บุคลากรทางการแพทย์มีเวลาในการดูแลรักษาผู้ป่วยได้มากขึ้น
Generative AI หรือ ปัญญาประดิษฐ์เชิงสร้างสรรค์ เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการสนับสนุนเทคโนโลยีทางการแพทย์ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ตลอดระยะเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมา ดังนั้น 85% ของผู้บริหารชั้นนำในวงการเฮลท์แคร์ทั่วโลกจึงหันมาลงทุนหรือมีแผนที่จะลงทุนใน Generative AI ภายในสามปีข้างหน้า ซึ่งคาดว่าเทรนด์นี้จะมาแรงในช่วงปี 2025 นี้
ในปัจจุบัน Generative AI สามารถเป็นผู้ช่วยเสมือนจริงที่ช่วยลดระยะเวลาทำงานให้กับบุคลากรทางการแพทย์ ด้วยโมเดลด้านภาษาขนาดใหญ่ที่มาช่วยจัดระเบียบบันทึกทางคลีนิกและช่วยสื่อสารข้อมูลผู้ป่วยระหว่างทีมต่างๆ ให้เป็นไปได้อย่างง่ายดาย
สำหรับการดูแลผู้ป่วยโรคมะเร็ง Generative AI สามารถช่วยด้านการจัดการรายงานประวัติผู้ป่วยจำนวนมาก เพื่อให้ทีมแพทย์และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในการดูแลรักษาผู้ป่วยสามารถเข้าถึงข้อมูลเชิงลึกของผู้ป่วยได้อย่างสะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยจัดงานรายงานและประมวลผลข้อมูลทางการแพทย์ที่ซับซ้อนให้เข้าใจง่ายได้อีกด้วย ทำให้ผู้ป่วยสามารถเข้ามามีส่วนร่วมในการดูแลรักษาตัวเองได้
2. ทำให้การวินิจฉัยที่ซับซ้อนเป็นเรื่องง่ายด้วย AI
แม้ว่าปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะช่วยปรับปรุงการการทำงานด้านบริหารจัดการและเพิ่มการมีส่วนร่วมของผู้ป่วยได้อย่างมาก แต่บทบาทของ AI ในด้านสาธารณสุขไม่ได้มีเพียงแต่ในด้านการทำงานระบบอัตโนมัติ แต่ AI ยังสามารถช่วยยกระดับทักษะของบุคลากรทางการแพทย์ได้อีกด้วย
ในขณะที่บุคลากรทางการแพทย์ที่มีประสบการณ์เฉพาะทางขาดแคลนในหลายๆ พื้นที่ทั่วโลก แต่หากมีการนำเทคโนโลยี AI เข้ามาใช้จะช่วยให้การวินิจฉัยที่ซับซ้อนกลายเป็นเรื่องง่ายขึ้น และช่วยให้บุคลากรรุ่นใหม่สามารถให้การดูแลรักษาที่มีประสิทธภาพได้อย่างมั่นใจ
จากเทรนด์เทคโนโลยีทางการแพทย์ที่กล่าวถึงข้างต้น ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI เป็นเทคโนโลยีที่ศักยภาพอย่างมากในการเปลี่ยนแปลงวงการสาธารณสุข ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพ พัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้คน และ AI ยังช่วยในด้านการพัฒนาความยั่งยืนให้กับอุตสาหกรรมเทคโนโลยีทางการแพทย์อีกด้วย
อุตสาหกรรมด้านเฮลท์แคร์มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทั่วโลกถึง 4.4% [6] ซึ่งมากกว่าอุตสาหกรรมการบินและการขนส่ง แต่เทคโนโลยี AI สามารถช่วยวิเคราะห์ห่วงโซ่อุปทานและระบุจุดที่ต้องปรับปรุงได้ ไม่ว่าจะเป็น การลดขยะและของเสีย หรือการปรับปรุงการจัดการสถานพยาบาล นอกจากนี้ AI ยังช่วยเพิ่มความรวดเร็วในการถ่ายภาพรังสีวินิจฉัย แต่ทำให้ลดการใช้พลังงานต่อการสแกนแต่ละครั้ง ดังนั้นการใช้ AI เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลก และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องที่น่าจับตาสำหรับปี 2025 และปีต่อๆ ไป
อย่างไรก็ตามเมื่อมีการใช้งาน AI มากขึ้น อาจนำไปสู่ผลกระทบที่ไม่คาดคิดต่อสิ่งแวดล้อม เนื่องจากดิจิทัลโซลูชั่นส์จำเป็นต้องใช้พลังงานและทรัพยากรในกระบวนการและการจัดเก็บข้อมูล พร้อมกับการใช้น้ำเพื่อทำความเย็นให้กับดาต้าเซ็นเตอร์ที่มีความร้อนสูง ซึ่งทั้งหมดนี้มีส่วนในการเพิ่มการปล่อยก๊าซคาร์บอนได้ออกไซด์ของอุตสาหกรรมเฮลท์แคร์