21 ม.ค. เวลา 07:02 • หุ้น & เศรษฐกิจ

สำรวจ 6 หุ้น Domestic Play รับอานิสงส์ “ดิจิทัล วอลเล็ต” เฟส 2

กลับมาเป็นตัวกระตุ้นเศรษฐกิจอีกครั้ง สำหรับกรณีการเตรียมแจกเงินดิจิทัล วอลเล็ต เฟส 2 ให้กับกลุ่มผู้สูงอายุ ซึ่งในช่วงที่มีการแจกเงินในเฟสแรก ถือว่าได้รับผลตอบรับในแง่ของการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศได้ในระดับหนึ่ง จากการจับจ่ายใช้สอยของผู้ที่ได้รับวงเงินดังกล่าว
ทั้งนี้ นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ในเบื้องต้นวันที่ 27 ม.ค. 2568 รัฐบาลจะมีการดำเนินการโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ผ่านโครงการแจกเงิน 10,000 บาท เฟส 2 สำหรับผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ที่ลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชันทางรัฐ และได้ผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติแล้ว
โดยจากประเด็นนี้ บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ประเมินว่าจะสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจราว 4 หมื่นลบ. และเป็นบวกต่อ GDP ราว +0.1% และเป็นปัจจัยบวกเชิง Sentiment ต่อ Domestic Play เช่น CPALL, CPAXT, OSP, GLOBAL, DOHOME, TNP เป็นต้น
ทั้งนี้ แนะนำ “ซื้อ” บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL พร้อมให้ราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2568 ที่ 81.00 บาท โดยคาดผลประกอบการในไตรมาส 4/67 จะเติบโตจากไตรมาสก่อน และจากช่วงเดียวกันของปีก่อน หนุนจากช่วง High Season และแรงหนุนจากกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้นตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่, การแจกเงินหมื่นให้กลุ่มเปราะบางในช่วงปลายไตรมาส 3/67,
ภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวต่อเนื่องสอดคล้องกับข้อมูลงวด 9 เดือน 2567 ที่ยอดขายต่อสาขาในพื้นที่ท่องเที่ยว (ราว 10% ของจำนวนสาขาทั้งหมด) จะเติบโตดีกว่าค่าเฉลี่ยทั้งกลุ่ม อย่างไรก็ดี เบื้องต้นคงประมาณการปี 2567-2568 ที่ 2.3 หมื่นลบ. (+29% จากปีก่อน) และ 2.6 หมื่นลบ. (+12% จากปีก่อน) ตามลำดับ
เช่นเดียวกับที่คงคำแนะนำ “ซื้อ” บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) หรือ CPAXT พร้อมให้ราคาเหมาะสมใหม่ที่ 38.50 บาท โดยคาดว่าราคาหุ้นตอบสนองเชิงลบจากความกังวลของตลาด 1) เงินลงทุนสูงกว่าการขยายสาขาแบบปกติและอาจมีค่าใช้จ่ายในการพัฒนาเพิ่มเติมจนกว่าจะเปิดโครงการ
และ 2) การแข่งขันในพื้นที่ The Forestias บางนา ค่อนข้างสูงและส่วนใหญ่เป็นผู้เล่นที่มีประสบการณ์ เช่น Mega Bangna ของ CPN และ Bangkok Mall (คาดเปิดปี 2569) ของเดอะมอลล์กรุ๊ป อย่างไรก็ดี หากราคาหุ้นปรับลงเกิน 5-10% มองเป็นโอกาสในการทยอยสะสม เพราะมูลค่าโครงการดังกล่าวคิดเป็นเพียง 2% ของสินทรัพย์ทั้งหมดเงินลงทุนที่ใช้ต่ำกว่ากระแสเงินสดจากการดำเนินงานต่อปีที่ระดับ 2 หมื่นลบ.
และประเมินผลขาดทุนในปีแรกไม่ถึง 4% ของฐานกำไรทั้งปี สะท้อนว่าการลงทุนดังกล่าวยังไม่ได้สร้างผลกระทบเชิงลบอย่างมีนัยสำคัญต่อฐานะทางการเงินบริษัท ทั้งนี้ ปรับประมาณการกำไรปกติปี 2568 ลง 1.7% เป็น 1.3 หมื่นลบ. (+19% จากปีก่อน)
พร้อมทั้งคงคำแนะนำ “ซื้อ” บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) หรือ OSP ให้ราคาเหมาะสมที่ 30.00 บาท โดยมองเป็นจังหวะที่ดีในการเข้าลงทุนจากราคาหุ้นที่ถูกสุดตั้งแต่ IPO และปัจจัยกดดันจากค่าใช้จ่ายพิเศษที่สิ้นสุดลง และยังมี Upside จากดีล M&A ที่คาดจะชัดเจนในช่วงครึ่งปีแรก 2568
ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าการเติบโตของรายได้ปี 2568 ที่ 8–9% จากการเติบโตของธุรกิจในประเทศที่ 5% และตั้งเป้าการเติบโตธุรกิจในต่างประเทศที่ระดับ Double Digit จากการเพิ่มส่วนแบ่งตลาดในเมียนมา, กลับไปรุกตลาดเวียดนามตั้งแต่ไตรมาส 1/68 ทั้งนี้ ปรับประมาณการกำไรปกติปี 2567-2568 ขึ้น 6.6% และ 3.8% เป็น 3,096 ลบ. (+42.5% จากปีก่อน) และ 3,450 ลบ. (+11.4% จากปีก่อน) ตามลำดับ
อีกทั้ง แนะนำ “TRADING” บริษัท สยามโกลบอลเฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ GLOBAL พร้อมให้คำราคาเหมาะสมที่17.00 บาท โดยประมาณการปี 2568 คาดการณ์กำไรปกติที่ 2.9 พันลบ. โต 19% จากปีก่อน โดยมีปัจจัยหนุน 1) คาด SSSG ฟื้นตัว 2-3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ใกล้เคียงคาดการณ์ GDP และมีปัจจัยหนุนจากงานก่อสร้างที่กลับมาจากงบประมาณรัฐฯ,
ภาวะลานีญาช่วยเพิ่มรายได้ภาคเกตรกรหนุนกำลังซื้อ 2) คาดจำนวนสาขาใหม่ที่ 8 สาขาต่อปี 3) คาด GPM เพิ่มขึ้น 20bps จากช่วงเดียวกันของปีก่อน หนุนจากแผนการเพิ่มสัดส่วนสินค้า House Brand ที่มีอัตราทำกำไรดี
ขณะที่บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) แนะนำ “ถือ” บริษัท ดูโฮม จำกัด (มหาชน) หรือ DOHOME ที่มูลค่าพื้นฐาน 9.00 บาท โดยบริษัทตั้งเป้า SSSG 7-9% อัตรากำไรขั้นต้น 17-18% และ SG&A-to-sales ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่บล.พาย มองว่าในปี 2568 เป้าหมายยอดขายของบริษัทค่อนข้างท้าทายในสถานการณ์ปัจจุบัน
ทั้งนี้ คาดการณ์กำไรสุทธิปี 2568 ที่ 855 ล้านบาท (+29% จากปีก่อน) หนุนจากยอดขายที่โต 7% จากสมมติฐานยอดขายสาขาเดิมเติบโต 3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และยอดขายสาขาใหม่ 2 สาขา อัตรากำไรขั้นต้นดีขึ้น 10 bps จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และควบคุมค่าใช้จ่ายที่ดีขึ้น 40 bps จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ด้าน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) แนะนำ “ซื้อ” บริษัท ธนพิริยะ จำกัด (มหาชน) หรือ TNP พร้อมให้ราคาเป้าหมาย 5.00 บาท โดยคาดการณ์กำไรไตรมาส 4/67 ที่ 49 ลบ. +2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน, +3% จากไตรมาสก่อน ทั้งนี้ หากกำไรไตรมาส 4/67 ตามคาดจะทำให้กำไรปี 2567 สูง 183 ลบ. (+18% จากปีก่อน) สูงกว่าคาด 8% โดยเป็นผลบวกหลักจากนโยบายรัฐ และน้ำท่วม ทำให้ยังคงกำไรปี 2568 ที่ 190 ลบ. (+4% จากปีก่อน) ระยะสั้นมองกำไรไตรมาส 1/68 เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน, จากไตรมาสก่อน
โดยจากต้นไตรมาสถึงปัจจุบัน ยอดขายเริ่มดีขึ้นใกล้ระดับปกติที่เติบโต Double digit จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และจะได้อานิสงส์บางส่วนจากนโยบายรัฐแจกเงิน 10,000 บาท ให้กับผู้สูงอายุ ซึ่งจะเกิดขึ้นช่วงปลายเดือนม.ค.
โฆษณา