21 ม.ค. เวลา 07:39 • การเมือง

ไขปริศนา เวที ‘นายใหญ่’ ไฟต์บังคับ งดปลุก‘เสื้อแดง’

เกือบทุกเวทีปราศรัยของ “นายใหญ่” ทักษิณ ชินวัตร ในฐานะผู้ช่วยหาเสียงผู้สมัครนายก อบจ. ในนามพรรคเพื่อไทย มักจะพูดนโยบายของรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร เป็นประเด็นหลัก โดยไม่ได้ลงรายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของ อบจ.แต่อย่างใด
แม้ “อิทธิพร บุญประคอง” ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง จะออกมาส่งสัญญาณว่า คำปราศรัยของ “ทักษิณ” อาจจะก่ำกึ่งที่จะผิดข้อกฎหมาย กกต.มอนิเตอร์ เพื่อพิจารณารายละเอียด
ทว่า เวทีอีสานตอนเหนือ ระหว่างวันที่ 18-20 ม.ค. ทักษิณตระเวนหาเสียง 4 จังหวัด ตั้งแต่ นครพนม บึงกาฬ หนองคาย ปิดท้ายที่มหาสารคาม
แนวทางปราศรัยยังพูดถึงนโยบายรัฐเป็นหลัก ทั้งเดินหน้าแจกหมื่น ลดราคาน้ำมัน ลดค่าไฟให้เหลือ 3.70 บาท ผลักดันขึ้นราคาค่าแรง เป็นต้น
ในแง่ของข้อกฎหมายมี “นักร้อง” ยื่นให้ กกต.พิจารณา แต่ก็ต้องรออีกหลายขั้นตอน ขณะที่การเลือกตั้งนายกอบจ.จะมีขึ้นในวันที่ 1 ก.พ.นี้ ดังนั้นการพิจารณาข้อกฎหมาย ย่อมจะแล้วเสร็จหลังวันกาบัตรอย่างแน่นอน
ทว่า ในแง่ของจิตวิทยา “ทักษิณ-เพื่อไทย” ได้แต้มจากการใช้นโยบายรัฐ เป็นส่วนหนึ่งในการหาเสียงเลือกตั้งระดับท้องถิ่น ทั้งที่การบริหารงานระดับท้องถิ่น ซึ่งมีการกระจายอำนาจจากส่วนกลาง อาจไม่ผูกโยงกับนโยบายภาพใหญ่
อย่างไรก็ตาม หากเจาะลึกลงไปในการหาเสียงของ “นายใหญ่” เพื่อไทย พยายามใช้เวทีปราศรัย “ปลุกคนเสื้อแดง” ที่ยังรักและศรัทธาในตัวของ “ทักษิณ-ตระกูลชินวัตร” ให้กลับมาเชื่อใจอีกครั้ง
เนื่องจากผลการเลือกตั้งปี 2566 สะท้อนจุดอ่อนได้เป็นอย่างดีว่า “มนต์ทักษิณ” เริ่มเสื่อมลงในหลายพื้นที่ โดน“กระแสสีส้ม”โจมตีอย่างหนัก จนยึดฐานที่มั่นเพื่อไทยไปได้หลายจังหวัด
ที่สำคัญการที่ “ทักษิณ-เพื่อไทย” หักอก “คนเสื้อแดง” ที่มีอุดมการณ์แรงกล้า จนโดนกล่าวหาว่าทรยศต่อจุดยืน ยิ่งทำให้แต้มการเมืองของเพื่อไทยลดน้อยถอยลง
ตรงกันข้าม จาก“คนเสื้อแดง”ที่ต้องเปลี่ยนไปสวม“เสื้อสีส้ม” มีจุดยืน อุดมการณ์ทางการเมืองแข็งแรงกว่า
ดังนั้นบนเวทีปราศรัย จึงเป็นไฟต์บังคับ ที่ “ทักษิณ” ต้องพูดนโยบายรัฐ ขายความเชื่อมั่นว่า จะสามารถพลิกฟื้นเศรษฐกิจให้กลับมาดีได้ โชว์ความมั่นใจว่า จะทำให้“คนไทย”กลับมาอยู่ดีกินดี
เนื่องจาก ทักษิณในวันนี้ แตกต่างจากทักษิณก่อนที่จะจับมือกับ “หัวขบวนอนุรักษ์” หากจะมาพูดอุดมการณ์ทางการเมือง จุดยืนประชาธิปไตย ซึ่งเคยเป็นจุดขายปลุกให้ “คนเสื้อแดง” ศรัทธาในฐานะผู้นำทางจิตวิญญาณ คงไม่มีใครเชื่อ และจะโดนคู่แข่งโจมตีได้
จึงไม่แปลก ที่ “ทักษิณ” จะใช้จุดแข็งของตัวเอง ที่เคยพลิกโฉมประเทศไทยด้วยนโยบายประชานิยม จนมีฐานเสียงที่เข้มแข็งมาช่วย “ลูกทีมเพื่อไทย” หาเสียงสู้ศึกชิงนายก อบจ.
ล่าสุดเวทีหาเสียง ใน อ.พยัคฆภูมิพิสัย มหาสารคาม “ทักษิณ” โดนท้าทายซึ่งหน้า โดยมี “สตรีเสื้อแดง” ปาสิ่งของไปบนเวทีปราศรัย โดยอ้างตัวว่า เป็นคนเสื้อแดงที่ครอบครัวแตกสลายมาตั้งแต่ปี 2552 เนื่องจากขายของไม่ดี “คนไม่ชอบเสื้อแดง” ไม่อุดหนุน และจากที่นั่งฟังอยู่นาน นึกถึงแล้ว มันไม่ใช่
แม้หน้าฉาก “ทักษิณ” จะตอบคำถามสื่อถึงเรื่องนี้ว่า “ไม่เป็นไร คนไทยต้องให้อภัยกัน บางทีคนเราก็เก็บกด ไม่มีปัญหา ใจเย็นๆ พี่น้อง คนเราบางทีมีปัญหาหนี้สินมั่ง บางทีมีปัญหาครอบครัวบ้าง บางทีมีปัญหาทางจิตบ้าง เป็นเรื่องธรรมดา” แต่หลังฉาก “ทีมงานสารคาม” หน้าตึงทุกคน
ต้องยอมรับว่า ความแค้นของ “คนเสื้อแดง” บางส่วน ที่มีต่อ “ทักษิณ” มีหลากหลายบริบท บางคนต้องติดคุก เนื่องจากเข้าร่วมชุมนุม บางคนต้องสูญเสียคนรัก-คนในครอบครัว ผ่านมาถึงวันนี้ เมื่อ“ทักษิณ” จับมือ “หัวขบวนอนุรักษนิยม” จึงไม่แปลก ที่เกิดเหตุการณ์ระบายความอึดอัดออกมา
เวลานี้ “ทักษิณ”กลับมาเป็นศูนย์รวมอำนาจทางการเมือง ขณะที่บรรดา “คู่แข่ง-คู่แค้น” ก็มีความแข็งแกร่งกว่าในอดีต
สวนทางกับสถานการณ์ของทักษิณ แม้จะมีจุดแข็ง จากจุดยืน“หัวหอกฝั่งประชาธิปไตย” แต่ก็ลดน้อยลง และหากกอบกู้เศรษฐกิจกลับมาไม่ได้ จุดขายทางการเมือง อาจไม่เหลือเครดิต ให้ไปต่อ
โฆษณา