21 ม.ค. เวลา 11:12 • กีฬา

ลิเวอร์พูลเข้าใกล้แชมป์พรีเมียร์ลีกแค่ไหน?

ไม่ได้เขียน RECAP ในเกมล่าสุด รวมถึงเกมก่อนหน้านั้น เพราะตั้งแต่ต้นปีทั้งป่วย และงานยุ่งในเวลาเดียวกัน แต่หลังจากพ้นสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมว่าเด็กหงส์เห็นสัญญาณดีๆ รออยู่
มันเป็นสัปดาห์ที่เรียกได้ว่า “ตัดสิน” สำหรับผมโดยส่วนตัวเลย ผมคุยกับเพื่อนในกลุ่มไว้ตั้งแต่ก่อนเกม จริงๆ ตั้งแต่ก่อนเจอฟอเรสต์ว่าผมให้เกมกับฟอเรสต์อีกเกมได้เลยที่เราจะอยู่ในช่วง “คูลดาวน์”
แม้หลายคนอาจจะหงุดหงิดกับผลเสมอกับแมนฯ ยูไนเต็ด และฟอเรสต์ แต่ผมเขียนเรื่องเกมที่ซิตี้ กราวนด์ไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่ามันไม่เคยเป็นเกมที่ง่ายไม่ว่าตำนานผู้จัดการทีมลิเวอร์พูลคนไหนคุมทีม
แต่เกมกับเบรนฟอร์ดนั้นแตกต่างมาก ถ้าใครสังเกตโปรแกรมช่วงนี้เราจะต้องเล่นนอกนั้นต่อเนื่อง ไปจนถึงเกมตกค้าง อาจจะมีเกมในบ้านกับอิปสวิชเท่านั้นที่ดูง่ายที่สุด แต่ผมบอกกับเพื่อน(จริงๆ อยากเขียนบทความก่อนเกม แต่ผมไม่มีเวลา และสภาพเลย)
เกมกับเบรนท์ฟอร์ดไม่ได้ตัดสินขนาดว่าลิเวอร์พูลจะได้แชมป์ หรือไม่ได้แชมป์ แต่มันจะเป็นเกมแบบที่ว่าจะทำให้ฤดูกาลง่ายขึ้น หรือยากสุดๆ คือมันเทียบเกมกับแมนฯ ยูไนเต็ด หรือฟอเรสต์ไม่ได้ในแง่ความยาก
สองทีมก่อนหน้านั้นเล่นเกมรับได้ดี และตั้งใจเล่นเกมรับ แต่เบรนท์ฟอร์ดไม่ใช่ทีมสไตล์นั้น ดังนั้นมันควรเป็นเกมที่เปิดกว้างสำหรับลิเวอร์พูล ผมบอกกับเพื่อนว่าลิเวอร์พูลควรจะหันหันขึ้น(กราฟ, แต้ม หรือโมเมนตัม)
กลับกันถ้าเราเสมอ การคว้าแชมป์ยังอยู่ในมือ แต่ความยากจะตามมา แม้จะแพ้ไปแค่เกมเดียว แต่ถ้าเสมอมากเกินไปก็ไม่ใช่เรื่องดี
สุดท้ายมันเป็นเกมที่น่าอึดอัดมากตลอด 90 นาที โดยเฉพาะการใช้โอกาสไม่ได้จากจังหวะเตะมุมที่มากมาย เป็นจุดเดียวในฤดูกาลนี้ควรต้องแก้ แม้ก่อนหน้านั้นจะได้ประตูจากโชต้า แต่ลิเวอร์พูลอยู่อันดับ 19 ในการทำประตูจากลูกแบบนี้
เล่าเรื่องในเกมคงช้าไปหลายวัน แต่ประตูของดาร์วิน นูนเญซ เชื่อว่าคงทำให้ข้างบ้านหลายคนสะดุ้ง! เสียงเฮจากประตูแรก และประตูที่สองตามมาหลังจากนั้นไม่นาน
วันนั้นผมทำงานอื่นไปด้วย และมีสมาธิดูจริงๆ ประมาณครึ่งชม. สุดท้าย ถ้านูนเญซไม่ได้สองประตูนั้น เขาก็คงจะโดนวิจารณ์หนักอยู่ (ตอนนี้ยังไม่ได้รับความเชื่อใจมาก แต่ก็เริ่มมีกำลังใจ)
นอกจากนูนเญซคนที่ควรได้รับคำชมมากๆ คือฮาร์วีย์ เอลเลียตต์ ที่ได้โอกาสในสนามไม่กี่นาที อีกคนที่น่าจับตามองคือ เอ็นริโก้ เคียซ่า ที่น่าจะได้โอกาสเยอะขึ้นในเกมบอลถ้วย หรือแชมเปียนส์ลีก นัดที่เหลือ
ประตู 3-1 เคียซ่ามีสัญชาตญาณตัวรุกมาก เขาไม่ได้รีบวิ่งกลับ และเป็นคนอ่านจังหวะพาบอลขึ้นมา แต่ที่สำคัญที่สุด และแซวกันเล่นๆ คือเป็นคนรั้งไม่ให้นูนเญซถอดเสื้อครั้งที่ 2!
อาจจะมีคนได้อ่านแล้วว่าอาร์เน่อบอกว่านานๆ จะโชคดีกับกรรมการด้วย เพราะนูนเญซไปทำแบบเสี่ยงใบเหลืองที่สองท้ายเกมด้วย รวมถึงเกือบแฮตทริก เรียกว่าเป็นกองหน้าที่เด็กหงส์ทั้งรักทั้งเกลียดในเวลาเดียวกัน
แต่ถ้ามองเวลาในสนาม หรือเหลือบมองกองหน้าคู่แข่งหลายๆ ผมว่าเราพอจะเบาใจได้ นูนเญซก็ไม่ได้แย่นะถ้ารวมสองประตูล่าสุด และแน่นอนว่าเด็กหงส์หวังว่าเขาจะต่อยอดทำได้ดีหลังจากนี้ เหมือนกับฤดูกาลที่แล้วที่เขามั่นใจหลังยิงนิวคาสเซิลท้ายเกม
แม้จะผ่านไป 2-3 วัน แต่ความรู้สึกยังอุ่นๆ โดยเฉพาะประตูของนูนเญซนี่แหล่ะ ทำให้มันกระทบกับเกมที่ตามมาอย่างอาร์เซนอล - แอสตัน วิลล่า
ผมสังเกตตั้งแต่เริ่มเกมคู่ดึกวันอาทิตย์แล้วว่าแฟนปืน(ในสนามนะ ไม่ได้หมายถึงในโซเซียล) ดูจะหงอยๆ ที่ขำหน่อยคือช่วงหนึ่งของเกมถ้าฟังไม่ผิด มีเสียงเชียร์ของแฟนบอลวิลล่าว่า “allez allez” เพลงเชียร์ของลิเวอร์พูลนั่นแหล่ะ
มันเป็นปกติของแฟนบอลอังกฤษ ที่บางช่วงที่ได้ในเห็นในวันต่อมาเมื่อแฟนบอลไบรท์ตันร้องเพลง You’ll never walk alone” นั่นแหล่ะ
พูดเรื่องนี้ก็ย้อนกลับไปที่เบรนท์ฟอร์ดไปล้อนูนเญซว่าเป็น “แอนดี แคร์โรล์ กากๆ” แล้วโดนไปสองเม็ด มันจึงเป็นสัปดาห์ที่สมบูรณ์แบบของแฟนบอลลิเวอร์พูล
แต่นั่นมีจุดเริ่มต้นมาจากเกมวันเสาร์คู่หงส์แดงนั่นแหล่ะ ผมหวังว่าเราจะชนะท้ายเกมแบบนั้น แอบคิดถึงการชนะ 1-0 ในนาทีหลัง 90 (เพราะถ้าดูมาถึง 70-80 ยิงไม่ได้ไปยิงตอนนั้นมัน impact มากกว่า)
อาจจะฟังดูเป็นความคิดแปลกๆ แต่ผมเชื่อว่านี่แหล่ะคือสิ่งที่กองแช่ง หรือแฟนบอลทีมอื่นๆ ไม่ชอบที่สุด ลองคิดกลับกันว่าถ้าลิเวอร์พูลแข่งกับแมนฯ ซิตี้อยู่ แมนฯ ซิตี้แข่งกับทีมใดทีมหนึ่งแล้วเสมอมาถึง 90 นาทีแล้ว
แต่รอบนี้มันตามมาถึง 2 ประตู เกินคาดไปนิดหน่อยจริงๆ แต่ก็เหมือน “กวน...” กลับหลังจากอาหมัดยิงสอง(รวม 3) ประตูท้ายเกมกับเซาท์แฮมป์ตัน บางทีโลกมันก็กลม หลายอย่างก็บังเอิญ อาจจะไม่ท้ายเกมขนาดลิเวอร์พูล แต่มันก็แสดงให้เห็นว่าผีทำได้เราก็ทำได้
และอย่างที่บอกในเกมกับฟอเรสต์ที่สำคัญคือลิเวอร์พูลต้องแสดงความมุ่งมั่นจะเป็นผู้ชนะ เราเห็นตั้งแต่เกมกับฟอเรสต์แล้วว่า ฟอเรสต์พอใจกับผลเสมอ พวกเขาไม่ได้หวังจะเป็นผู้ไล่ล่า
พอนูนเญซยิงได้แบบนั้น มันกระทบกับทีมไหนที่สุด? ผมมั่นใจว่าเป็นอาร์เซนอล โดยเฉพาะคู่แข่งของพวกเขาเป็นแอสตัน วิลล่า
อาร์เซนอลคุมเกมได้เหมือนลิเวอร์พูลเจอเบรนท์ฟอร์ด(แต่โอกาสไม่เยอะเท่า และเวลาเตะมุมพวกเขาดูอันตรายกว่า!) อย่างไรก็ตามผมเห็นสัญญาณแห่งความกดดันตั้งแต่อาร์เตต้นโดนใบเหลือง
จริงๆ แล้วการนำก่อน 1 ลูกในครึ่งแรก และนำ 2 ประตูในครึ่งหลัง พวกเขาก็น่าจะปิดเกมได้ มีเพื่อนทักมาว่าปิดไฟนอนได้แล้ว แต่ผมยังมีงานอื่นต้องทำก็เลยเปิดไว้เพลินๆ และสุดท้ายวิลล่าก็กลับมาตีเสมอได้ ที่แย่กว่านั้นท้ายเกมปืนใหญ่โดนริบ 1 ประตูจาก VAR
ไค ฮาแวร์ซต์น่าจะรู้ทั้งรู้ว่าบอลโดนมือ แต่ก็เฮให้เพื่อนเฮเก้อ เหมือนกับลืมไปว่ามีกล้อง ซึ่งประเด็นนี้ใน x ก็มีเด็กปืนหลายที่มองไม่เห็นว่าบอลโดนมือ ก็แล้วแต่สายตาแต่ละคนละกัน แต่เอาเป็นว่าจบแบบนี้ส่งผลเสียทางจิตวิทยามากที่สุด
หลังเกมมีควันหลง อาร์เตต้าตอบคำถามนักข่าวพูดว่าการเปลี่ยนตัวของลิเวอร์พูลดีกว่า... ความจริงผมเข้าใจเรื่องการมีนักข่าวถาม เข้าใจตอนตอบเรื่องบอลหนักไม่เท่ากันในเกมกับนิวคาสเซิลด้วย แต่น่าจะมีวิธีการตอบที่ดีกว่านี้
คืออาร์เซนอลแข่งกับแอสตัน วิลล่า แต่ดูเหมือนใจของอาร์เตต้ายังอยู่ในเกมของลิเวอร์พูล ถ้าจำไม่ผิด คล็อปป์จะพยายามไม่ให้ลูกทีมรู้ผลของคู่แข่งที่แข่งก่อนจบไปครึ่งชม. แบบนี้ แม้คล็อปป์จะยอมรับว่ายุคที่สมาร์ทโฟนสื่อสารได้ไวแค่ไหน แต่ส่วนตัวเขาจะโฟกัสกับทีมที่กำลังจะแข่ง
อาร์เตต้ารู้ขนาดว่านูนเญซเป็นตัวสำรองลงไปยิง ผมจะบอกว่าไม่แปลกใจว่าทำไมทีมของเขาเสียสมาธิในหลายๆ ครั้ง เอาง่ายๆ เทียบกับคล็อปป์ หรือเป็บ ผมไม่แน่ใจว่าเคยเห็น หรือมีสักกี่ครั้งที่จะพูดถึงเกมของอีกฝ่าย
เอาที่พอจำได้อาจจะเป็นวันที่ลิเวอร์พูลไม่ลงเตะ แต่คล็อปป์ได้ช็อกคาตาตอนที่แวงต์ซ็อง กอมปานียิงประตูชัยท้ายเกมให้ซิตี้ แต่วันนั้นคือลิเวอร์พูลไม่มีแข่ง และรอผลอีกคู่ แถมสถานการณ์ก็ท้ายฤดูกาลไปแล้ว
ไม่เหมือนอาร์เตต้า หรือลูกทีมที่ดูเหมือนตั้งหน้าตั้งตาเช็กผลลิเวอร์พูลขนาดนั้น อาจจะคิดเองคนเดียว แต่ผมคิดว่ามันมีส่วนที่สร้างความแตกต่างระหว่างกุนซือที่เก่ง กับกุนซืออีกระดับ ซึ่งถ้าอาร์เตต้าผ่านจุดนี้ไปได้เขาอาจจะน่ากลัวมากก็ได้ แต่ ณ จุดนี้ ผมคิดว่ายังมีข้อสงสัยอยู่หลายเรื่อง
นั่นจึงกลับมาสู่การพูดถึงการเป็นแชมป์ของลิเวอร์พูล ถ้าเอามุมมองความเป็นแฟนบอลมาจับ ก็ต้องบอกว่ายังอีกไกล ใจเย็นๆ แต่ถ้ามองในฐานะคอลัมนิสต์ที่ดูบอลตั้งแต่จำความได้ ลิเวอร์พูลเข้าใกล้มากๆ
แมนฯ ซิตี้ยังดูน่ากลัว พวกเขาเป็นทีมเดียวที่สามารถชนะต่อเนื่องได้แบบยาวๆ ครึ่งฤดูกาล แต่ผลเสมอกลางสัปดาห์ที่แล้วทำให้ช่องว่างมันไกลมากๆ
อาร์เซนอลยังน่ากลัว แต่กับ 6 แต้ม ตอนนี้ และเท่าที่ดูสภาพ และการทำทีมของอาร์เตต้า พวกเขายังไม่ผ่านด่านสภาพจิตใจเท่าไหร่ การเสียแต้มจากสถานการณ์ที่ขึ้นนำ 12 แต้มมากที่สุดในลีกถ้าจำไม่ผิด น่าจะบ่งบอกชัดเจน ไม่อย่างนั้นพวกเขาอาจจะนำจ่าฝูงในตอนนี้
เกมก็กำลังจะน้อยลงเรื่อยๆ นอกจากลุ้นให้ลิเวอร์พูลพลาด ที่ยากกว่านั้นคืออาร์เซนอลต้องชนะให้มากที่สุด ซึ่งรวมกับปัญหาการบาดเจ็บที่พวกเขาชอบพูดกันแล้ว (เอียน ไรท์ตำนานปืนพูดถึงนูนเญซว่าเป็นสำรอง 80 ล้านปอนด์ แต่ปืนมีปัญหาอยู่ในตอนนี้)
 
พวกเขาต้องชนะเกมเจอซิตี้ และเชลซี ซึ่งโอเคลิเวอร์พูลก็มีโอกาสพลาดด้วย แต่อาร์เซนอลต้องไม่พลาดไง และที่สำคัญที่สุด คือเกมที่เจอกันเองด้วย
มันเล่นที่แอนฟิลด์ ถ้าเกมนั้นอาร์เซนอลไม่ชนะก็แทบจบ ดังนั้นโจทย์สำหรับทีมที่ไล่ตามกับการไปกลับ 4 แต้มในสัปดาห์ที่ผ่านมานั้นใหญ่มาก
ผมเห็นเพจปืนเล่นเรื่องว่าหงส์แดงต้องไปเยือนมากกว่าปืนในเกมที่เหลือ ซึ่งใช่ แต่พวกเขาลืมดูไปมั้งว่าลิเวอร์พูลเก็บแต้มนอกบ้านมากกว่าในบ้านในฤดูกาลนี้! และ 17 เกมที่เหลือ ยังไกล แต่ลิเวอร์พูลจะทิ้งไกลกว่าเดิม เท่าเดิม หรือห่างน้อยลงลิเวอร์พูลยังดูได้เปรียบอยู่ดี
ที่สำคัญช่วงที่แฟนๆ บ่น ลิเวอร์พูลฟอร์มตก อาถรรพ์มกราฯ ใดๆ ก็ตาม ขนาดแพ้ไปแค่นัดเดียว แฟนบอลยังมีไม่พอใจขนาดนี้ แปลว่าเด็กหงส์มีมาตรฐานในใจสูงมาก ต่างจากบางทีมที่ก็เข้าใจสถานการณ์ของพวกเขาว่าเสมอเราก็ดี นัดล่าสุดพวกเขาเสมอไบรท์ตันได้ก็น่าจะดีใจ(แต่ก็ไม่ได้)
ตราบใดที่ลิเวอร์พูลเล่นแบบกระหายชนะ อาจจะมีใช้โอกาสเปลืองบ้าง แต่มันก็ดีกว่าสร้างโอกาสไม่ได้แน่ๆ ไปเรื่อยๆ แบบนี้ โอกาสที่จะถูกไล่ทันกับความได้เปรียบที่มีอยู่
ซูเปอร์คอมพิวเตอร์บอกไว้ที่ 91กว่าเปอร์เซ็นต์ และแน่นอนว่าไม่มีอะไรร้อยเปอร์เซ็นต์ในเวลานี้ แต่ความรู้สึกผม อาจจะไม่ใช่ถึงระดับภัยพิบัติที่มนุษย์ต่างดาวมาบุกโลก หรือสงครามโลกอุบัติที่จะเปลี่ยนแปลงความเป็นไปได้นี้
ลิเวอร์พูลขึ้นแท่นไปแล้ว อยู่ที่จะจบให้สวยๆ หรือบีบหัวใจ แต่สัปดาห์ที่ผ่านมา มันมีสัญญาณอย่างที่บอก ถ้าเราพลาดบางทีเกมคู่หลังอาจจะไม่จบด้วยผลเสมอ อะไรใดๆ ก็ตาม แต่เมื่อผ่านมาในสัปดาห์ล่าสุด
ถามว่าใกล้แค่ไหน ก็ต้องบอกว่าใกล้มากๆ เปรียบเป็นหนัง ก็คงเป็นหนังโรง แม้จะข้ามไปดูตอนจบทันทีไม่ได้ ต้องค่อยๆ ดูไป แต่เหมือนเราเห็นสปอย หรือใกล้จะเห็นตอนจบแล้ว...
จินตะปัญญา
โฆษณา