6 ชั่วโมงที่แล้ว • ข่าวรอบโลก

ถอยหลังอีกครั้ง (?) ทรัมป์ถอนสหรัฐฯ จากข้อตกลงปารีส

พลันเมื่อ โดนัลด์ ทรัมป์ เข้าพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการในวันที่ 20 มกราคม 2025 ประธานาธิบดีลำดับที่ 47 ก็เริ่มดำเนินแผนการอันทะเยอทะยานของเขาในทันที
หนึ่งในวาระสำคัญระดับโลก คือ การถอนสหรัฐฯ ออกจาก ‘ข้อตกลงปารีส’ ซึ่งเป็นสนธิสัญญาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศระหว่างประเทศ
อันเป็นข้อตกลงที่ประเทศต่างๆ เกือบ 200 ประเทศสัญญาจะทำงานร่วมกันเพื่อสู้กับวิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่มนุษย์เป็นผู้ก่อ
ที่ปัจจุบันเต็มไปด้วยความเสี่ยงอันยากจะรับมือ และมากด้วยต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากภัยพิบัติที่เกี่ยวข้องกับสภาพอากาศอันบิดเบี้ยว
ดังเช่นเหตุการณ์ไฟป่าที่ลุกลามอย่างหนักในบางพื้นที่ของลอสแอนเจลิสในต้นปีนี้
และมีผู้เชี่ยวชาญให้ความเห็นว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกำลังเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดไฟป่าให้โถมรุนแรงยิ่งขึ้น
ซ้ำในปีที่ผ่านมา (พ.ศ. 2567) โลกได้ก้าวข้ามขีดจำกัด 1.5 องศาเซลเซียส - ตามข้อมูลขององค์การอุตุนิยมวิทยาโลก - อันเป็น ‘เส้นตาย‘ ที่ตั้งไว้
ข้อตกลงปารีสคืออะไร
ในปี พ.ศ. 2558 ประเทศต่างๆ กว่า 190 ประเทศได้รวมตัวกันที่การประชุมสุดยอดด้านสภาพภูมิอากาศขององค์การสหประชาชาติที่กรุงปารีส ฝรั่งเศส และเห็นชอบกับสิ่งที่ต่อมาเรียกว่า ‘ข้อตกลงปารีส’
หรือข้อตกลงว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อจำกัดภาวะโลกร้อนให้อยู่ต่ำกว่า 2 องศาเซลเซียส
แต่จะดีกว่าหากรักษาไว้ให้ต่ำกว่า 1.5
อย่างไรก็ดี แม้ว่าการยอมรับข้อตกลงปารีสจะเป็นช่วงเวลาสำคัญและกำหนดทิศทางของโลกที่นักวิทยาศาสตร์สนับสนุน แต่ข้อตกลงดังกล่าวไม่ได้ระบุเจาะจงว่าประเทศต่างๆ ควรบรรลุเป้าหมายอย่างไร
แต่เป็นการให้ประเทศต่างๆ กำหนดเป้าหมายและวิธีการลดมลภาวะของตนเองเพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าว
สำหรับสหรัฐ ในช่วงก่อนหมดวาระรัฐบาลของ โจ ไบเดน ได้กำหนดมาตรการให้ประเทศลดก๊าซเรือนกระจกลง 66 เปอร์เซ็นต์ จากระดับปี พ.ศ. 2548 ภายในปี พ.ศ. 2578
ซึ่งถือเป็นเป้าหมายที่หลายคนมองว่าเป็นความหวัง
โดยคาดกันว่า อดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน รับรู้ว่าในเลือกตั้งครั้งต่อไป ทรัมป์ตั้งใจที่จะถอนสหรัฐฯ ออกจากข้อตกลงปารีสอีกครั้ง
ดังนั้น การตั้งเป้าหมายจึงเป็นการประกาศเชิงสัญลักษณ์ถึงเส้นทางที่ประเทศจะสามารถดำเนินการได้หากชาวอเมริกันเลือกประธานาธิบดีที่เป็นมิตรต่อสภาพภูมิอากาศ
1
ซึ่งมีนักวิทยาศาสตร์ด้านวิทยาศาสตร์สภาพภูมิอากาศคอยให้การสนับสนุนและย้ำว่าเป็นเส้นทางที่ควรเดิน
เคท ลาร์สัน (Kate Larsen) หัวหน้าฝ่ายวิจัยพลังงานและสภาพอากาศระหว่างประเทศของ Rhodium Group สถาบันอิสระด้านนโยบายและเศรษฐกิจที่เชื่อมโยงกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลกและระบบพลังงาน กล่าวว่า เป้าหมายของ โจ ไบเดน มีความน่าสนใจ แม้ว่าสหรัฐฯ อาจยังไม่ได้อยู่บนเส้นทางที่จะช่วยโลกได้ดีสักเท่าไหร่
และยังกล่าวอีกว่า “แต่เราจะยิ่งหลงทางมากขึ้นภายใต้การบริหารของทรัมป์”
โดยเมื่อครั้งที่ โดนัลด์ ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรก ตัวเขาได้ถอนสหรัฐฯ ออกจากข้อตกลงปารีสไปแล้วครั้งหนึ่ง ในปี พ.ศ. 2560 และกลับมาย้ำถึงเจตจำนงค์ของตัวเองอีกครั้งในวาระที่สอง
พร้อมกันนี้ยังได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินด้านพลังงานแห่งชาติ เพื่อขยายการขุดเจาะในอเมริกาซึ่งเป็นผู้นำการผลิตก๊าซและน้ำมันของโลก
ทรัมป์ให้เหตุผลว่าข้อตกลงปารีสกำหนดภาระทางเศรษฐกิจที่ไม่เป็นธรรมต่อสหรัฐ
และขัดขวางความเป็นอิสระด้านพลังงานของประเทศ เพราะแนวทางของทรัมป์ต่อความยั่งยืนมีรากฐานมาจากการส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจ และรักษาความเป็นอิสระด้านพลังงาน
ทรัมป์เคยกล่าวไว้ว่า “สหรัฐจะไม่ทำลายอุตสาหกรรมของตนเอง ในขณะที่จีนปล่อยมลพิษอย่างไม่ต้องรับโทษ”
เพราะจีนจัดอยู่ในกลุ่ม ‘ประเทศกำลังพัฒนา’ จึงมีภาระการเงินภายใต้ข้อตกลงปารีสที่ต่างจากประเทศพัฒนาแล้ว และจีนไม่จำเป็นต้องชำระเงินในแบบเดียวกัน
ปัจจุบัน สหรัฐอมเมริกา เป็นประเทศที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากเป็นอันดับสองของโลก
ประเทศที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุดในโลก คือ จีนที่ปล่อยสูงถึง 32 เปอร์เซ็นต์ ของการปล่อยก๊าซทั้งหมดในโลก ตามมาด้วยสหรัฐในอันดับ 2 ที่ 13เปอร์เซ็นต์
ส่วนอันดับ 3 คือ อินเดีย ด้วยระดับ 8 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่อันดับ 4 เป็นของสหภาพยุโรป ปล่อยก๊าซเรือนกระจก 6 เปอร์เซ็นต์
ทั้งนี้ สหรัฐ ต้องแจ้ง อันโตนิโอ กูเตอร์เรส (António Guterres) เลขาธิการสหประชาชาติ (United Nations) อย่างเป็นทางการเกี่ยวกับการถอนตัว ซึ่งภายใต้เงื่อนไขของข้อตกลง จะมีผลบังคับใช้อีกหนึ่งปีข้างหน้า
โดยผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าการถอนตัวของสหรัฐ อาจขัดขวางความก้าวหน้าระหว่างประเทศในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
และทำให้ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศรุนแรงขึ้น
โฆษณา