5 ชั่วโมงที่แล้ว • กีฬา

💨HAIR DRYER TREATMENT จากตำนานเฟอร์กี้ถึงอโมริม

ควันหลงหลังจบเกมส์ แหล่งข่าวใกล้ชิดของสโมสร รายงานตรงกันว่า รูเบน อาโมริม ผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แสดงความไม่พอใจอย่างรุนแรงต่อผลงานของทีม หลังจากพ่ายแพ้ให้กับไบรท์ตัน 3-1 ในบ้าน เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา 
โดยอาโมริมไม่เพียงแค่ตำหนิลูกทีมด้วยวาจาเท่านั้น แต่ยังแสดงความโกรธด้วยการทำลายทรัพย์สินในห้องแต่งตัว โดยเฉพาะหน้าจอโทรทัศน์ขนาดใหญ่ 
ความพ่ายแพ้ครั้งนี้นับเป็นการแพ้ครั้งที่ 10 ในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ ทำให้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อยู่ในอันดับที่ 13 ของตารางคะแนน ซึ่งเป็นผลงานที่ย่ำแย่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของสโมสร 
เป็นธรรมดา ของทีมฟุตบอลอาชีพ ที่ หลังเกมส์ที่พ่ายแพ้
จะมีการเข้าไปฟังเทศนาจากโค้ช หนักบ้าง เขาบ้าง ก็แล้วแต่สไตล์ของโค้ชแต่ละคน ซึ่งของพวกนี้เกิดขึ้นเป็นประจำ และส่วนใหญ่ มักจะจบกันในห้องแต่งตัว ไม่ค่อยมีใคแพร่งพรายเรื่องราวออกมาสู่ภายนอกเพราะถือเป็นความลับสุดยอด
แต่การการแสดงออกของอโมริม ในครั้งนี้ ที่มีรายงานว่าโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง ถึงขั้น ด่ากราดและ ทำลายข้างของนั้น
ก็ดันมีข่าวเล็ดลอดออกมา ถามว่าแปลกใจไหม ก็ไม่ได้แปลกอะไรมากมาย เพราะเรื่องแนวๆ นี้ กับทีมแมนยู มันหลุดมาอยู่เรื่อย และยังจับมือใครดมไม่ได้ ไม่รู้ว่าจะมาจากนักเตะ เจ้าหน้าที่ หรือหูตาของนักข่าวเอง ที่ “จ้อง” จะเล่นให้เป็นประเด็น ซึ่งของแบบนี้ชาวบ้านชอบกันนัก เรียกได้ว่ามัน “ขายได้”
หลายคนเปรียบเทียบปฏิกิริยาของรูเบน อาโมริมกับพฤติกรรมการตำหนินักเตะในห้องแต่งตัวอย่างรุนแรงของเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ซึ่งเป็นที่รู้จักในนาม “Hairdryer Treatment” เนื่องจากความดุดันในการตำหนิผู้เล่นที่ทำผิดพลาด หลายครั้งที่การใช้วิธีนี้ช่วยกระตุ้นให้นักเตะที่เล่นไม่ดีในครึ่งแรกกลับมามีความกระตือรือร้นและสามารถคว้าชัยชนะในครึ่งหลังได้
เฟอร์กูสันขึ้นชื่อในเรื่องความเข้มงวด ไม่ยอมให้นักเตะแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมหรือแสดงตนว่าใหญ่กว่าเขาในห้องแต่งตัว หลังจากรีไทร์ เฟอร์กูสันได้กล่าวถึงพฤติกรรมการใช้ “Hairdryer Treatment” ว่า เมื่อเขาเห็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม เขาจะเข้าไปพูดคุยกับนักเตะคนนั้นทันที
จ็อค สไตน์ อดีตผู้จัดการทีมชาติสกอตแลนด์ ซึ่งเฟอร์กูสันเคยเป็นผู้ช่วย จะเคยแนะนำให้เขารอจนถึงวันจันทร์ให้อารมณ์สงบลงก่อนค่อยพูดคุยกับผู้เล่น แต่เฟอร์กูสันรู้สึกว่ารอไม่ไหว ดังนั้นหลังเกมเขาจะบอกความรู้สึกของเขาอย่างตรงไปตรงมา เขาบอกความจริงกับผู้เล่นเสมอ และความจริงนั้นได้ผล ผู้เล่นทุกคนเข้าใจและไม่เคยถือโทษโกรธเคืองเขา วันถัดไปเรื่องที่เกิดขึ้นก็ถูกลืมไป และเขาพร้อมที่จะชนะอีกครั้ง เขาไม่เคยปกครองด้วยความกลัว
แม้ตัวเฟอร์กี้ ยังยืนยันว่าไม่เคยปกครองด้วยความกลัว แต่นักเตะในคาถาของเขาหลายต่อหลายคนเจอปรากฏการณ์ Hair Dryer แล้ว ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “กลัว”
เรามาไล่เรียง ประสบการณ์ ของเหล่าอดีตนักเตะที่เคย ถูก
เครื่องเป่าผมของ เฟอร์กี้จนได้ดิบได้ดี
1️⃣ ปีเตอร์ ชไมเคิล ยอดนายทวารตำนานของยูไนเต็ด
เปิดเผยว่า เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เคยอยากไล่เขาออกจากทีม เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหลังเกมที่เสมอกับลิเวอร์พูล 3-3 ในปี 1994 ซึ่งยูไนเต็ดนำก่อนถึง 3-0 ในครึ่งแรก หลังจบเกม เฟอร์กี้ปรี่เข้ามาตำหนิชไมเคิลอย่างรุนแรงเกี่ยวกับการเตะเปิดเกมที่มักไปเข้าทางนีล ‘เรเซอร์’ รัดด็อก ของลิเวอร์พูล ซึ่งอยู่ห่างออกไปถึง 80 หลา
ชไมเคิลรู้สึกว่าตัวเองถูกตำหนิอย่างไม่เป็นธรรม เนื่องจากเขาเซฟประตูหลายครั้งในครึ่งหลังและคิดว่าตนเองช่วยทีมไว้ได้ เขายอมรับว่านี่เป็นความเสียใจที่สุดในอาชีพการเล่นฟุตบอลของเขา
ต่อมาในเช้าวันจันทร์ เฟอร์กูสันเรียกชไมเคิลเข้าพบในห้องทำงานและบอกว่า “ผมจะไล่คุณออก ผมไม่สามารถมีนักเตะที่ทำแบบนี้ได้”
ชไมเคิลตอบรับและขอโทษเฟอร์กูสัน จากนั้น เฟอร์กูสันเรียกประชุมในห้องแต่งตัวและแสดงความโกรธอย่างรุนแรง ซึ่งชไมเคิลกล่าวว่านั่นเป็นครั้งที่เขาเห็นเฟอร์กูสันโกรธที่สุด
นอกจากนั้น
เขายอมรับว่าการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างเฟอร์กูสันกับนักเตะอาวุโสบางครั้งอาจดูรุนแรง แต่เฟอร์กูสันต้องการให้นักเตะตอบโต้ในบางครั้ง และเลือกการเผชิญหน้าโดยมีแผนการ
ชไมเคิลเสริมว่า เขาเรียนรู้ว่า 95% ของสิ่งที่เฟอร์กูสันพูดนั้นมีการวางแผนไว้ล่วงหน้า เฟอร์กูสันจะเลือกช่วงเวลาที่เหมาะสมในการพูด และเมื่อพูดแล้ว เรื่องนั้นก็จบไป
2️⃣พอล สโคลส์ ผู้ที่ได้ชื่อว่าลูกรักของเฟอร์กี้
กล่่าวว่า “ทุกคนบอกว่าผมเป็นเหมือนลูกรักของผู้จัดการทีม และไม่เคยโดน ‘ไดร์เป่าผม’ แต่จริงๆ แล้วผมเคยโดน ผมจำได้ครั้งหนึ่งที่นิวคาสเซิล เราแพ้ 3-0 ในครึ่งแรก เขาส่งผมลงสนามในช่วง 20 นาทีสุดท้าย เรากลับมาที่ 3-2 ผมพยายามเล่นลูกส้นในวงกลมกลางสนาม แต่พลาดและพวกเขาทำประตูได้ อลัน เชียเรอร์ยิงให้เป็น 4-2 เราไม่สามารถกลับมาได้ และเขาโกรธมาก
ปกติแล้วเมื่อผมโดนตำหนิ หรือ ‘ไดร์เป่าผม’ ผมจะรับฟังและไม่ตอบโต้ แต่วันนั้นผมกลับตอบโต้ ซึ่งไม่ใช่นิสัยของผม เขาบอกว่าผมจะไม่ได้เล่นให้สโมสรนี้อีก
คืนนั้นผมคิดว่าผมคงต้องย้ายทีมแล้ว แต่วันจันทร์เขาเรียกผมไปพบ และขอโทษที่ตำหนิผม เขาบอกว่าผมมีส่วนช่วยในเกมนั้น”
เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงความเข้มงวดของเฟอร์กูสันในการจัดการทีม และความสามารถของเขาในการยอมรับความผิดพลาดและขอโทษเมื่อจำเป็น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ในยุคนั้น
3️⃣เดวิด แบคแฮม ซุปเปอร์สตาร์อันดับ 1 ขอบทีม
เล่าว่า : เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหลังจากแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดพ่ายแพ้ต่ออาร์เซนอลในเอฟเอคัพ เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2003 ในห้องแต่งตัว เฟอร์กูสันได้เตะรองเท้าฟุตบอลด้วยความโกรธ ซึ่งบังเอิญไปโดนเบ็คแฮมที่บริเวณเหนือดวงตา ทำให้ต้องเย็บแผล
“ผมทำผิดพลาดสองสามครั้งในเกมนั้น และเขาเข้ามาในห้องแต่งตัวและมีการแลกเปลี่ยนคำพูดที่รุนแรง เขาเริ่มเดินมาทางผมและเตะกองเสื้อผ้าบนพื้น”
หลังจากเหตุการณ์นี้ ความสัมพันธ์ระหว่างเบ็คแฮมและเฟอร์กูสันก็เสื่อมลง และในเดือนมิถุนายน 2003 เบ็คแฮมก็ย้ายไปเรอัล มาดริด
4️⃣ปาทริซ เอวร่า อดีตดาวเตะทีมชาติฝรั่งเศส ซึ่งค้าแข้งอยู่ในโอลด์แทรฟฟอร์ด ตั้งแต่ปี 2006-2014
เล่าย้อนเหตุการณ์ว่า “ระหว่างทัวร์ช่วงปรีซีซั่น หลังเซ้อมเสร็จก่อนที่เราจะเดินมาที่รถบัส ผมพูดตามตรงเลยว่าพวกเราเหนื่อยมาก และก็มีแฟนบอลยืนต่อคิวกันอยู่ยาวเลย”
“พวกเราก็พูดกันทำนองว่าไม่ต้องเซ็นให้ใครเลยนะ แล้วเราก็ตรงดิ่งขึ้นรถบัสกันไปเลย แต่พอมองออกไปที่หน้าต่าง ผมเห็นเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ยืนแจกลายเซ็นให้แฟนบอลแต่ละคน”
“สาบานเลยว่า เขายืนเซ็นอยู่ประมาณ 45 นาที เขาเซ็นให้ทุกคนจริงๆ แล้วพอเขาขึ้นมาบนรถบัสเท่านั้นแหละ เขาจัดไดร์เป่าผมใส่พวกเราเลย ‘พวกแกคิดอะไรกันอยู่? แฟนพวกนี้เป็นคนจ่ายเงินเดือนพวกแกนะ พวกเขามารอดูพวกแก รีบลงไปเซ็นให้พวกเขาเดี๋ยวนี้เลย!’ จากนั้นพวกเราถึงได้ลงไปแจกลายเซ็นให้แฟนบอลแต่ละคน"
5️⃣ แกรี่ เนวิลล์ อดีตกัปตันทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เล่าถึงประสบการณ์ที่เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน มอบ “ไดร์เป่าผม” ให้เขาอย่างไม่คาดคิด
กล่าวว่า: “บางครั้งคุณก็รู้ว่ามันกำลังจะมา คุณรู้ว่าคุณเล่นไม่ดีในครึ่งแรก หรือทำพลาดจนเสียประตู หรือเล่นไม่เต็มที่ แต่ที่ช็อกคือครั้งที่คุณไม่คาดคิด! คุณเข้าไปในห้องแต่งตัว ดื่มน้ำ แล้วนั่งลง แล้วคุณก็ได้รับสายตานั้นจากเขา คุณมองไปที่เขาและเขาพูดว่า ‘หยุดมองฉันเหมือนฉันมีเขาบนหัว!’ เพราะคุณกำลังคิดว่า ‘ผมเหรอ? วันนี้เหรอ? ไม่ใช่วันนี้นะ เมื่อสัปดาห์ที่แล้วอาจจะใช่!’”
เนวิลล์ยังเสริมว่า แม้การเห็นเพื่อนร่วมทีมได้รับ “ไดร์เป่าผม” จะทำให้รู้สึกโล่งใจที่ไม่ใช่ตัวเอง แต่ก็ไม่เคยเป็นเรื่องที่น่ายินดีเลย 
6️⃣ แม้แต่ คริสเตียโน โรนัลโด ก็ไม่รอด
ริโอ เฟอร์ดินานด์ อดีตกองหลังของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เล่าถึงเหตุการณ์ที่เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสันทำให้คริสเตียโน โรนัลโดถึงกับร้องไห้ในห้องแต่งตัว 
เฟอร์ดินานด์กล่าวว่า: “เรามีโปรแกรมไปโปรตุเกสและเล่นสองสามเกม คริสเตียโนไม่ได้เล่นดีนัก เพราะเขายังเด็กและพยายามมากเกินไป ผมจำได้ว่าเราเล่นกับเบนฟิก้า และผู้จัดการทีมตำหนิคริสเตียโนอย่างหนักว่า ‘คุณคิดว่าคุณเป็นใคร? คุณเข้ามาที่นี่พยายามพิสูจน์ตัวเองว่าเป็นซูเปอร์สตาร์หรือไง?’”
เขาเสริมว่า: “ผมจำได้ว่าคริสเตียโนร้องไห้ในห้องแต่งตัว และผมคิดว่า ‘ผู้จัดการทีมคนนี้ไม่สนใจหรอกว่าใครจะเป็นใคร’ แต่ดูสิว่าคริสเตียโนกลายเป็นนักเตะแบบไหน เขาต้องการช่วงเวลาแบบนั้น และผู้จัดการทีมรู้ว่าเขาต้องเข้มงวดเพื่อพาเขาไปสู่การเป็นนักเตะที่ดีที่สุดในโลก”
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหลังจากการแข่งขันกับเบนฟิก้าในปี 2005 ซึ่งแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดแพ้และตกรอบยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก 
การใช้ “Hairdryer Treatment” ของเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เป็นหนึ่งในหลายวิธีที่เขาใช้ในการบริหารจัดการทีม เมื่อใช้อย่างเหมาะสมและในเวลาที่จำเป็น สามารถกระตุ้นให้นักเตะปรับปรุงและพัฒนาตนเองได้ อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของเขาไม่ได้มาจากการตำหนิอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงการสนับสนุน การพัฒนานักเตะรุ่นใหม่ และการสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในทีมด้วย
ในกรณีของรูเบน อาโมริม ซึ่งเคยมีบุคลิกเป็นคนใจเย็นและเน้นการพูดคุยกับนักเตะ  การที่เขาแสดงอารมณ์โกรธและทำลายข้าวของในห้องแต่งตัว อาจเป็นวิธีการใหม่ในการกระตุ้นให้นักเตะปรับปรุงฟอร์มการเล่นที่ย่ำแย่กลับมาเข้ารูปเข้ารอย
อย่างไรก็ตาม การใช้วิธีการดังกล่าว ต้องชั่งน้ำหนักให้จงหนัก เนื่องจากอาโมริมมีสไตล์การบริหารทีมที่แตกต่างจากเฟอร์กูสัน อำนาจบารมี ก็แตกต่างกันสิ้นเชิง
การแสดงอารมณ์รุนแรงอาจส่งผลกระทบต่อบรรยากาศในทีมและความสัมพันธ์กับนักเตะ
แฟนๆ อย่างเรา ก็ลุ้นกันเสียจริงว่าการเสี่ยงครั้งนี้ จะออกหัวหรือออกก้อยกันแน่
โฆษณา