วิธีการตั้ง Stop Loss และ Take Profit เพื่อปกป้องกำไร
การตั้ง Stop Loss และ Take Profit เป็นเครื่องมือสำคัญในการบริหารความเสี่ยงและปกป้องกำไรในตลาดการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นหุ้น ทองคำ หรือคริปโต ต่อไปนี้เป็นวิธีการตั้งค่าทั้งสองแบบอย่างละเอียด:
---
1. การตั้ง Stop Loss
Stop Loss คือการกำหนดจุดขาดทุนสูงสุดที่เรายอมรับได้ หากราคาของสินทรัพย์เคลื่อนที่ไปในทิศทางตรงข้ามกับการคาดการณ์ เพื่อจำกัดความเสียหาย
หลักการตั้ง Stop Loss:
1. วิเคราะห์แนวรับและแนวต้าน (Support & Resistance):
วางจุด Stop Loss ไว้ต่ำกว่าแนวรับสำหรับคำสั่งซื้อ (Buy) และสูงกว่าแนวต้านสำหรับคำสั่งขาย (Sell) เล็กน้อย
ตัวอย่าง: หากแนวรับอยู่ที่ 1,500 บาท คุณอาจตั้ง Stop Loss ที่ 1,490 บาท
2. กำหนดระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ (Risk Tolerance):
คำนวณจากเปอร์เซ็นต์ของเงินทุนที่คุณพร้อมจะเสียในแต่ละคำสั่ง เช่น ยอมรับการขาดทุน 2-3% ของเงินลงทุนทั้งหมด
ตัวอย่าง: หากเงินทุนคือ 100,000 บาท และคุณยอมรับความเสี่ยง 3% จุด Stop Loss จะถูกตั้งให้ขาดทุนไม่เกิน 3,000 บาท
3. ใช้ค่า ATR (Average True Range):
ใช้ ATR เพื่อวัดความผันผวนของราคาสินทรัพย์ และตั้ง Stop Loss ห่างจากจุดเข้าในระดับที่เหมาะสม
ตัวอย่าง: หาก ATR อยู่ที่ 50 บาท คุณอาจตั้ง Stop Loss ที่ห่างจากราคาปัจจุบัน 1.5 เท่าของ ATR (75 บาท)
4. ปรับตามกรอบเวลา (Time Frame):
สำหรับเทรดระยะสั้น อาจตั้ง Stop Loss ใกล้จุดเข้ามากขึ้น
สำหรับเทรดระยะยาว อาจตั้ง Stop Loss ห่างออกไปเพื่อรองรับความผันผวน
---
2. การตั้ง Take Profit
Take Profit คือการกำหนดจุดทำกำไรสูงสุดที่คุณพอใจ หากราคาสินทรัพย์เคลื่อนที่ไปในทิศทางที่คุณคาดการณ์
หลักการตั้ง Take Profit:
1. กำหนดเป้าหมายกำไร (Profit Target):
วางเป้าหมายกำไรที่เป็นไปได้ เช่น 2-3 เท่าของความเสี่ยงที่ยอมรับ (Risk/Reward Ratio)
ตัวอย่าง: หากคุณเสี่ยง 1,000 บาทใน Stop Loss คุณอาจตั้ง Take Profit ไว้ที่ 2,000-3,000 บาท
2. พิจารณาแนวต้านและแนวรับสำคัญ:
หากราคาอยู่ใกล้แนวต้านสำคัญ คุณอาจตั้ง Take Profit ไว้ก่อนถึงแนวต้านเล็กน้อยเพื่อให้มีโอกาสทำกำไรสูงขึ้น
ตัวอย่าง: หากแนวต้านอยู่ที่ 1,600 บาท คุณอาจตั้ง Take Profit ที่ 1,590 บาท
3. ใช้ Fibonacci Retracement/Extension:
ใช้เครื่องมือ Fibonacci เพื่อหาเป้าหมาย Take Profit ในระดับที่เหมาะสม เช่น ระดับ 161.8% หรือ 261.8%
4. ติดตามแนวโน้มและวอลุ่ม:
หากแนวโน้มแข็งแกร่ง อาจพิจารณาปรับ Take Profit ให้สูงขึ้นตามพฤติกรรมราคาที่เปลี่ยนแปลง
---
3. วิธีการปกป้องกำไร
1. เลื่อน Stop Loss (Trailing Stop):
ใช้ Trailing Stop เพื่อล็อกกำไร โดยปรับ Stop Loss ขยับตามเมื่อราคาสินทรัพย์เคลื่อนที่ในทิศทางที่คุณคาดการณ์
ตัวอย่าง: หากคุณซื้อที่ 1,500 บาท และราคาขึ้นไปที่ 1,600 บาท คุณอาจปรับ Stop Loss ขึ้นมาเป็น 1,550 บาท
2. แบ่งขายบางส่วน (Partial Take Profit):
ขายสินทรัพย์บางส่วนเมื่อถึงเป้าหมายกำไรแรก และปล่อยส่วนที่เหลือให้วิ่งต่อในแนวโน้ม
3. เฝ้าติดตามข่าวสารและสภาวะตลาด:
หากมีข่าวหรือเหตุการณ์ที่อาจกระทบตลาด คุณอาจปรับ Take Profit และ Stop Loss ให้สอดคล้องกับสถานการณ์
---
4. ตัวอย่างการตั้ง Stop Loss และ Take Profit
สมมติว่าคุณซื้อ BTCUSDT ที่ราคา 30,000 USD:
Stop Loss: ตั้งไว้ที่ 29,000 USD (ขาดทุน 1,000 USD)
Take Profit: ตั้งไว้ที่ 33,000 USD (กำไร 3,000 USD, Risk/Reward Ratio = 1:3)
---
5. เคล็ดลับเพิ่มเติม
อย่าลังเลที่จะปิดคำสั่ง: หากตลาดเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การปิดคำสั่งก่อนถึงจุด Stop Loss หรือ Take Profit อาจช่วยปกป้องกำไรหรือลดความเสียหาย
ทดสอบแผนการเทรดก่อนใช้จริง: ลองใช้บัญชีทดลอง (Demo Account) เพื่อฝึกตั้ง Stop Loss และ Take Profit
การตั้ง Stop Loss และ Take Profit อย่างเหมาะสมช่วยให้คุณบริหารความเสี่ยงได้ดีขึ้น และเพิ่มโอกาสทำกำไรในระยะยาว!
การลงทุนที่ดีที่สุดคือการลงทุนในตัวคุณเอง!
เรียนรู้การตั้ง Stop Loss และ Take Profit อย่างมืออาชีพเพื่อปกป้องกำไรและลดความเสี่ยงในตลาดการเงิน
สมัครเปิดบัญชีเทรดกับ Exness ได้ที่นี่:
เปิดบัญชี Exness
รีเบทสูงสุด:
บัญชี Standard และ Cent: สูงสุด $0.72
บัญชี Pro, Zero และ Raw: สูงสุด $0.5625
📺 วิธีการเปิดบัญชี Exness: ดูวิธีการที่นี่
ติดตามบทวิเคราะห์และความรู้เพิ่มเติมได้ที่:
YouTube: ช่องตามผมลงทุนคริปโต
Facebook: เพจตามผมลงทุนคริปโต
TikTok: @ตามผมลงทุนคริปโต
LINE: สอบถามเพิ่มเติมที่ LINE Link
#StopLoss #TakeProfit #บริหารความเสี่ยง #เทคนิคการเทรด #Exness #ลงทุนออนไลน์ #เปิดบัญชีเทรด #วิเคราะห์กราฟ #การลงทุน #ตามผมลงทุนคริปโต
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2025 Blockdit
