23 ม.ค. เวลา 08:20 • ข่าว

จัดงบบัตรทอง 145 ล้านบ. ดูแล "คนข้ามเพศ" ครอบคลุม "ยาฮอร์โมน" รองรับสมรสเท่าเทียม

พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. 2567 หรือ พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันนี้ คือ 23 ม.ค. 2568 และเป็นวันแรกที่มีการเปิดให้จดทะเบียนสมรสของคู่รักหลากหลายทางเพศ หรือกลุ่ม LGBTQA+
สำหรับสิทธิประโยชน์ของการดูแลสุขภาพในกลุ่มคนหลากหลายทางเพศ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ในฐานะประธานกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) เปิดเผยว่า
ภายใต้กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติหรือบัตรทอง 30 บาท ได้ให้ความสำคัญในการดูแลสุขภาพทางกายและคุ้มครองสิทธิสุขภาพทางใจ รวมถึงประชากรผู้มีความหลากหลายทางเพศ โดยปัจจุบันด้วยความเข้าใจและเปิดกว้างของสังคม ส่งผลให้สภาวะเพศในวันนี้ไม่ได้ถูกจำกัดแค่เพียงเพศชายหรือเพศหญิงเท่านั้น แต่ผู้คนต่างให้การยอมรับเพศที่แตกต่างมากขึ้น
ทั้งนี้ กลุ่มบุคคลผู้มีความหลากหลายทางเพศ มีจำนวนหนึ่งที่เป็น “กลุ่มคนข้ามเพศ” และมีความจำเป็นต้องได้รับยาฮอร์โมน เพื่อทำให้ร่างกายมีความสอดคล้องกับสภาพจิตใจที่เป็นอยู่ ถือเป็นการบำบัดหรือรักษา ดังนั้น การพิจารณางบประมาณหลักประกันสุขภาพแห่งชาติปี 2568 บอร์ด สปสช.เมื่อเดือนก.ค.2567  จึงเห็นชอบให้ สปสช.จัดสรรงบประมาณเพื่อสนับสนุนบริการสิทธิประโยชน์ใหม่ คือ
บริการด้านสุขภาพสำหรับกลุ่มคนข้ามเพศ จำนวน 145.63 ล้านบาท เพื่อดูแลกลุ่มเป้าหมายจำนวน 200,000 ราย โดยรวมถึงบริการยาฮอร์โมนบำบัดด้วย
สิทธิประโยชน์นี้จะเป็นการช่วยลดความเหลื่อมล้ำสุขภาพ ซึ่งเดิมทีคนที่จะรับยาฮอร์โมนจะต้องจ่ายเงินเองเท่านั้น ทำให้มีส่วนหนึ่งไม่สามารถเข้าถึงการรักษา และมีความเสี่ยงต่อสุขภาพ เพราะมีจำนวนหนึ่งที่ไปหาซื้อยาฮอร์โมนมากินเองที่อาจเป็นอันตรายได้ นอกจากนี้ ยังเป็นการดูและทางด้านจิตใจ ทำให้ให้ร่างกายอยู่ในสภาวะเดียวกับจิตที่เป็นอยู่
“ขณะนี้ได้มอบ สปสช. เร่งดำเนินการสิทธิประโยชน์ยาฮอร์โมนสำหรับกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศโดยเร็วที่สุด ซึ่งในเร็วๆ นี้ สธ. ราชวิทยาลัยแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้อง ภาคประชาสังคม และ สปสช. จะมีประชุมร่วมกันเพื่อวางแนวทางให้บริการอย่างครบวงจร” นายสมศักดิ์ กล่าว
นอกจากบริการยาฮอร์โมนแล้ว ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติยังมีสิทธิประโยชน์การรักษาพยาบาลและบริการสาธารณสุขที่ครอบคลุมดูแลกลุ่มบุคคคลที่มีความหลากหลายทางเพศที่ไม่ต่างจากประชากรทั่วไป ซึ่งครอบคลุมทั้งบริการรักษาพยาบาล บริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค และบริการฟื้นฟูสมรรถภาพ เพื่อให้เกิดการเข้าถึงบริการอย่างเท่าเทียม ซึ่งสามารถรับบริการนี้ได้
“กฎหมายสมรสเท่าเทียมมีผลบังคับใช้แล้ว นับเป็นอีกก้าวหนึ่งของสังคมไทย ที่มีความหลากหลาย ภายใต้การดูแลและให้บริการต่างๆ ของภาครัฐที่ไม่แตกต่าง ซึ่งรวมถึงหลักประกันสุขภาพแห่งชาตินี้ด้วย” รมว.สาธารณสุข กล่าว
โฆษณา