25 ม.ค. เวลา 14:20 • สุขภาพ

เมื่อ "ฝุ่นจิ๋ว" กลายเป็น "ฆาตกรเงียบ" คุกคามสมอง: เรื่องเล่าจากงานวิจัยไทย ไขปริศนาภัยร้ายใกล้ตัว

ท่านผู้อ่านเคยสังเกตไหมครับว่า ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ คำว่า "ฝุ่น PM2.5" กลายเป็นคำที่เราได้ยินกันบ่อยขึ้นเรื่อยๆ เหมือนเป็นเพื่อนบ้านที่ไม่ได้รับเชิญ แต่กลับเข้ามาวนเวียนในชีวิตประจำวันของเราอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เราอาจจะเคยได้ยินข่าวว่ามันอันตรายต่อปอด ต่อระบบหายใจ แต่ท่านทราบหรือไม่ครับว่า เจ้าฝุ่นละอองขนาดจิ๋วพวกนี้ ไม่ได้เป็นแค่นักก่อกวนระบบทางเดินหายใจเท่านั้น แต่มันยังเป็นเหมือน "ฆาตกรเงียบ" ที่ค่อยๆ คืบคลานเข้าไปทำร้าย "สมอง" อวัยวะที่สำคัญที่สุดของเราอย่างไม่ทันตั้งตัว
วันนี้ ผมจะพาทุกท่านไปฟังเรื่องเล่าจากงานวิจัยชิ้นหนึ่งที่น่าสนใจมากๆ ครับ เป็นงานวิจัยที่ทำในประเทศไทยบ้านเรานี่เอง โดยทีมแพทย์และนักวิจัยจากโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พวกเขาได้ลงพื้นที่ศึกษาผลกระทบของ "ฝุ่น PM2.5" และ "PM10" ต่อผู้ป่วยโรคระบบประสาทส่วนกลาง โดยเฉพาะโรคที่ชื่อยาวๆ อย่าง "ปลอกประสาทเสื่อมแข็ง" (Multiple Sclerosis หรือ MS) และ "โรคเอ็นเอ็มโอ" (Neuromyelitis Optica Spectrum Disorder หรือ NMOSD) ซึ่งเป็นโรคที่หลายคนอาจจะไม่คุ้นชื่อ แต่ส่งผลกระทบต่อชีวิตของผู้ป่วยอย่างมหาศาล
เรื่องราวที่ผมจะเล่าต่อไปนี้ ไม่ใช่แค่ข้อมูลทางวิชาการที่อ่านยากๆ นะครับ แต่เป็นเหมือน "บันทึกจากสนามรบ" ที่บอกเล่าถึงภัยร้ายที่มองไม่เห็น และวิธีที่เราจะ "เอาตัวรอด" จากมันได้ครับ
เปิดโปง "ฝุ่นจิ๋ว" นักฆ่าที่มาในอากาศ
ลองจินตนาการถึง "ฝุ่น" ในความคิดของท่านดูนะครับ หลายคนอาจจะนึกถึงฝุ่นผงที่เกาะตามเฟอร์นิเจอร์ หรือฝุ่นดินที่เราเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่ "ฝุ่น PM2.5" และ "PM10" นั้นแตกต่างออกไปครับ พวกมันเล็กมากๆ เล็กจนเรามองด้วยตาเปล่าแทบไม่เห็น เปรียบเหมือน "นินจา" ที่แฝงตัวอยู่ในอากาศ รอบตัวเรา
"PM" ย่อมาจาก Particulate Matter หรือ "อนุภาคขนาดเล็ก" ครับ เลข 2.5 และ 10 ที่ต่อท้าย คือขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของมัน หน่วยเป็นไมโครเมตร (µm) ซึ่งเล็กกว่าเส้นผมของเราหลายสิบเท่า! เจ้าฝุ่นจิ๋วพวกนี้ เกิดจากการเผาไหม้ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นจากรถยนต์ โรงงานอุตสาหกรรม หรือแม้แต่การเผาป่า เผาไร่นา ที่เป็นปัญหาใหญ่ในบ้านเรา
สิ่งที่น่ากลัวคือ ขนาดที่เล็กจิ๋วของมันนี่แหละครับ ที่ทำให้มันสามารถ "แทรกซึม" เข้าสู่ร่างกายของเราได้ง่ายดาย เหมือน "สายลับ" ที่แทรกซึมเข้าไปในฐานทัพ ฝุ่น PM2.5 สามารถเดินทางผ่านระบบทางเดินหายใจของเรา ลงลึกไปถึง "ถุงลมปอด" และที่สำคัญ มันยังสามารถ "บุก" เข้าไปใน "กระแสเลือด" เดินทางไปยังอวัยวะต่างๆ ทั่วร่างกาย รวมถึง "สมอง" ของเราได้ด้วย
งานวิจัยที่ผมกล่าวถึงในตอนต้น ชี้ให้เห็นว่า สมองของเรามีความพิเศษอย่างหนึ่งครับ คือมันสามารถ "ดูดซับ" ฝุ่นละอองขนาดเล็กผ่าน "เยื่อบุโพรงจมูก" ได้โดยตรง เหมือนมี "ประตู" ที่เปิดรับมลพิษเหล่านี้เข้าสู่ระบบประสาทส่วนกลางได้ง่ายกว่าอวัยวะอื่นๆ ทำให้สมองของเรากลายเป็น "เป้าหมาย" ที่สำคัญของฝุ่น PM2.5 ครับ
เมื่อ "ฝุ่นจิ๋ว" จุดชนวน "พายุ" ในสมอง ผลการศึกษาช็อกวงการแพทย์
ทีมนักวิจัยจากเชียงใหม่ ได้ทำการศึกษาผู้ป่วยโรค MS และ NMOSD ในภาคเหนือของประเทศไทย เป็นเวลานานถึง 10 ปี พวกเขาเก็บข้อมูลจาก "ทะเบียนผู้ป่วย" ของโรงพยาบาล และแบ่งผู้ป่วยออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกคือ "กลุ่มที่สัมผัสฝุ่น" (คนที่อยู่ในพื้นที่ที่มีค่าฝุ่น PM2.5 และ PM10 เกินมาตรฐาน) และกลุ่มที่สองคือ "กลุ่มที่ไม่สัมผัสฝุ่น" จากนั้น พวกเขาได้เปรียบเทียบอาการของโรค ความรุนแรง และผลการรักษาของทั้งสองกลุ่ม
ผลลัพธ์ที่ได้ ทำให้นักวิจัยถึงกับ "ตกใจ" ครับ เพราะมันชี้ให้เห็นความเชื่อมโยงที่ชัดเจนระหว่าง "ฝุ่น PM2.5" กับ "อาการกำเริบ" ของโรค MS และ NMOSD ในแบบที่ไม่เคยมีใครเห็นมาก่อน
สิ่งที่พวกเขาค้นพบคือ
"อาการกำเริบ" รุนแรงกว่าเดิม ผู้ป่วยที่อยู่ในกลุ่มที่สัมผัสฝุ่น PM2.5 มีอาการกำเริบของโรคที่ "รุนแรงกว่า" กลุ่มที่ไม่สัมผัสอย่างเห็นได้ชัด อาการแย่ลงทั้งในตอนที่โรคกำเริบ และหลังจากนั้นไปอีก 90 วัน เหมือน "พายุ" ที่โหมกระหน่ำในสมองนานกว่าและรุนแรงกว่า
"สมองอักเสบ" มากขึ้น เมื่อส่องดูสมองด้วยเครื่อง MRI พบว่า กลุ่มที่สัมผัสฝุ่น PM2.5 มีร่องรอยของ "การอักเสบ" ในสมองมากกว่ากลุ่มที่ไม่สัมผัส เหมือน "ไฟ" ที่ลุกไหม้ในสมองมากกว่า
"รักษายาก" ขึ้น ผู้ป่วยกลุ่มที่สัมผัสฝุ่น PM2.5 มีโอกาสต้องใช้ยา "Plasma exchange" ซึ่งเป็นการรักษาขั้นสูง ที่ใช้เมื่อการรักษาเบื้องต้นไม่ได้ผล มากกว่ากลุ่มที่ไม่สัมผัส เหมือนโรค "ดื้อยา" มากขึ้น ทำให้การรักษายากขึ้นไปอีก
"นอนโรงพยาบาลนาน" ขึ้น ผู้ป่วยกลุ่มที่สัมผัสฝุ่น PM2.5 มีแนวโน้มที่จะต้องนอนโรงพยาบาลนานกว่ากลุ่มที่ไม่สัมผัส เหมือนการต่อสู้กับโรคที่ยาวนานและยากลำบากกว่า
ที่น่าสนใจคือ งานวิจัยนี้พบว่า "ฝุ่น PM2.5" ดูเหมือนจะเป็น "ตัวร้าย" มากกว่า "ฝุ่น PM10" อาจเป็นเพราะ PM2.5 มีขนาดเล็กกว่า ทำให้มันสามารถแทรกซึมเข้าไปในสมอง และก่อให้เกิด "ความเสียหาย" ได้มากกว่า
"กลไก" ลับที่ฝุ่นจิ๋วทำร้ายสมอง ปริศนาที่รอการไข
ถึงแม้ว่างานวิจัยนี้จะไม่ได้ลงลึกถึง "กลไก" การทำงานของฝุ่น PM2.5 ในสมอง แต่จากงานวิจัยอื่นๆ เราพอจะเข้าใจได้ว่า ฝุ่นจิ๋วพวกนี้ อาจจะทำร้ายสมองของเราได้หลายวิธี เช่น
"จุดชนวน" การอักเสบ ฝุ่น PM2.5 อาจจะไปกระตุ้นให้เกิด "การอักเสบ" ในสมอง เหมือนไป "ปลุก" ระบบภูมิคุ้มกันในสมองให้ทำงานผิดปกติ และหันมาทำร้ายเซลล์ประสาทและปลอกประสาทของตัวเอง ซึ่งเป็นกลไกหลักของโรค MS และ NMOSD
"สร้าง" ความเครียดออกซิเดชัน ฝุ่น PM2.5 อาจจะไปเพิ่มการสร้าง "อนุมูลอิสระ" ในสมอง ซึ่งเป็นเหมือน "ของเสีย" ที่เกิดจากกระบวนการเผาผลาญในร่างกาย สารเหล่านี้สามารถทำลายเซลล์และเนื้อเยื่อต่างๆ ในสมองได้
"รบกวน" ระบบภูมิคุ้มกัน ฝุ่น PM2.5 อาจจะไป "ป่วน" การทำงานของระบบภูมิคุ้มกันในสมอง ทำให้ระบบภูมิคุ้มกัน "สับสน" และหันมาทำลายเซลล์ประสาทของตัวเอง
"ทางรอด" จากภัยเงียบ เราจะ "สู้" ฝุ่นจิ๋วได้อย่างไร?
จากเรื่องเล่าที่ผมนำมาถ่ายทอดในวันนี้ ทำให้เราเห็นแล้วว่า "ฝุ่น PM2.5" ไม่ใช่แค่เรื่องไกลตัว ไม่ใช่แค่ปัญหาสิ่งแวดล้อม แต่เป็น "ภัยคุกคาม" ต่อสุขภาพสมองของเราทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ป่วยโรค MS และ NMOSD ที่ต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่สูงขึ้น
แต่ข่าวดีก็คือ เราไม่ได้ "ไร้ทางสู้" ครับ เราสามารถ "ป้องกัน" ตัวเองและคนที่เรารักจากภัยร้ายนี้ได้ ด้วยวิธีง่ายๆ ดังนี้
1. "เฝ้าระวัง" สถานการณ์ฝุ่น ติดตาม "ข่าวสาร" และ "แอปพลิเคชัน" ที่รายงานค่าฝุ่น PM2.5 และ PM10 เป็นประจำ โดยเฉพาะในช่วงฤดูที่มีมลพิษสูง
2. "หลีกเลี่ยง" การสัมผัสฝุ่น ถ้าค่าฝุ่นสูง ควร "งด" ทำกิจกรรมกลางแจ้ง หรือ "สวมหน้ากาก" ที่กรองฝุ่น PM2.5 ได้ เช่น หน้ากาก N95
3. "ดูแล" สุขภาพให้แข็งแรง กินอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อ "สร้างเกราะ" ป้องกันร่างกายให้แข็งแรง
4. "สนับสนุน" นโยบายควบคุมมลพิษ ร่วมกัน "เรียกร้อง" ให้ภาครัฐและภาคเอกชน ดำเนินมาตรการที่เข้มงวดในการควบคุมและลดมลพิษทางอากาศ เพื่อให้เรามีอากาศที่สะอาดและปลอดภัย
บทส่งท้าย "ลมหายใจ" ที่สะอาด คือ "ของขวัญ" ที่เราต้องร่วมกันรักษา
เรื่องราวของ "ฝุ่นจิ๋ว" กับ "สมอง" เป็นเหมือน "กระจก" ที่สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมโยงระหว่าง "สุขภาพ" ของเรา กับ "สิ่งแวดล้อม" ที่เราอาศัยอยู่ เราไม่สามารถแยกตัวออกจากโลกภายนอกได้ อากาศที่เราหายใจเข้าไปทุกวัน มีผลต่อสุขภาพของเราอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ผมหวังว่าเรื่องเล่าในวันนี้ จะเป็น "แรงกระตุ้น" ให้ทุกท่านหันมาใส่ใจสุขภาพสมอง และตระหนักถึงความสำคัญของ "อากาศที่สะอาด" มากยิ่งขึ้น "ลมหายใจ" ที่บริสุทธิ์ คือ "ของขวัญ" ที่ล้ำค่าที่สุดที่เราควรจะได้รับ และเป็นหน้าที่ของพวกเราทุกคนที่จะต้องร่วมกัน "รักษา" ของขวัญชิ้นนี้ไว้ เพื่อตัวเราเอง และเพื่ออนาคตของลูกหลานของเราครับ
เอกสารอ่านเพิมเติม
โฆษณา