26 ม.ค. เวลา 10:18 • ข่าว

ตำนานไม่เคยเก่า สมพงษ์ เลือดทหาร

.
“ไม่คิดว่ามันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่”
.
วันที่ 1 สิงหาคม ปี 2540 หรือราวเกือบ 1 เดือนที่ประเทศไทย ประกาศลดค่าเงินบาท จากผลกรรมแห่งปัญหาเศรษฐกิจ ที่จะรู้จักกันในเวลาต่อมาว่า “วิกฤตต้มยำกุ้ง” ประชาชนตกงาน บริษัทล้มหาย ทุกอย่างพังพินาศ สังคมไทยอยู่ในความอัปจนสิ้นหวัง
.
ช่วงสายของวันดังกล่าว รายการวิทยุ ร่วมด้วยช่วยกัน รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของสนามบินดอนเมือง นาม วิโรจน์ บอกว่า มีแท็กซี่ทำความดี นำเงินสดเฉียด 20 ล้านพร้อมโฉนดที่ดิน ซึ่งผู้โดยสารชาวต่างชาติลืมไว้ในรถ โดยได้เอาไปคืนที่สนามบิน จนกอดกันกลม เป็นที่ตื่นตาแก่ประชาชนเป็นอย่างมาก
.
ราวพลุแตก มันกลายเป็นข่าวอย่างรวดเร็ว ในยุคที่อินเทอร์เน็ต ยังเป็นอะไรที่สะกดยาก แทบไม่มีใครรู้จัก สื่อนำเสนอข่าวอย่างฉับพลัน มีการประกาศตามหาแท็กซี่คนดีในยามที่ประเทศหดหู่
.
ช่วงเวลานั้น สมพงษ์ เลือดทหาร โชเฟอร์แท็กซี่ กำลังขับรถไปส่งผู้โดยสารที่ตลาดมีนบุรี พอได้ยินเรื่องราว เลยรีบโทรศัพท์กลับไปยืนยันว่า ผมนี่แหละคือผู้ทำความดี
.
ผ่านไปหลายปี ชายเจ้าของชื่อ เปิดเผยว่า ทีแรกเขาแค่คิดแกล้งเล่นทำอะไรสนุกๆ แต่ไม่นึกว่า มันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้
เรื่องราวของสมพงษ์ ถูกเล่าว่า เมื่อช่วงเวลา 7 โมงเช้า ของวันที่ 1 สิงหาคม เขารับผู้โดยสารชื่อว่านายจอห์น ที่ขึ้นรถ พร้อมกระเป๋าใบใหญ่ 2 ใบ และมีกระเป๋าถืออีก 2 ใบ หน้าโรงแรมแอมบาสซาเดอร์ ย่านสุขุมวิท เพื่อพาไปส่งที่สนามบินดอนเมือง
.
เมื่อถึงที่หมาย นายจอห์นก็ลงจากรถไป สมพงษ์รับชาวต่างชาติคนใหม่ไปส่งย่านราชเทวี
.
ระหว่างนั้นผู้โดยสารพบกระเป๋าอยู่ใต้เบาะที่นั่ง จึงพยายามสื่อสารกับสมพงษ์ อย่างยากลำบาก ถามว่านี่คือกระเป๋าของใคร
.
นั่นทำให้โชเฟอร์รู้อย่างว่องไวว่า นี่คงเป็นกระเป๋าของนายจอห์นอย่างแน่นอน เมื่อไปถึงราชเทวี ส่งผู้โดยสารจบ เขาก็เปิดกระเป๋าดู พบเงินสดและโฉนดที่ดินเป็นจำนวนมาก นั่นทำให้สมพงษ์รีบขับรถไปยังสนามบินดอนเมือง
.
โชเฟอร์แท็กซี่พบเจ้าของกระเป๋านั่งอย่างหมองตรม ที่หน้าอาคารผู้โดยสารในประเทศ เมื่อสมพงษ์เจอนายจอห์น เขาได้เอากระเป๋ามาคืน ทำเอาฝรั่งโผกอดยกร่างหนุ่มไทยด้วยความดีใจ ท่ามกลางสายตาประชาชนที่จ้องมอง รวมถึงยามที่ชื่อว่าวิโรจน์ ซึ่งได้โทร.เข้าไปเล่าเรื่องราวนี้ในรายการวิทยุด้วย
.
คนดีทำความดี ยามเศรษฐกิจสิ้นหวัง กลายเป็นเรื่องราวสร้างแรงบันดาลใจ ทำให้สังคมไทยยิ้มได้ สื่อเชิดชู นักการเมือง และหน่วยงานราชการยกย่อง เปรียบเสมือนการกู้หน้าประเทศ เขาได้รับรางวัลในฐานะคนดีมากมาย ได้โล่เชิดชูเกียรติ บัตรรักษาพยาบาลฟรีตลอดชีวิต
รายการโทรทัศน์แย่งกันสัมภาษณ์
.
ทุกคนยกย่องโชเฟอร์แท็กซี่คนนี้
.
กินเวลาไม่ถึง 10 วัน
.
จากวีรบุรุษ ฮีโร่ของสังคม สมพงษ์ เลือดทหาร จะกลายเป็น ผู้ต้องหาในคดีฉ้อโกงประชาชนไปได้
.
หลังเป็นข่าว มีคนเริ่มสงสัย พวกเขาพยายามตามหายามหนุ่มของสนามบินดอนเมือง ที่ชื่อว่าวิโรจน์ แต่ไม่มีใครพบ ไม่มีใครรู้จัก เพื่อนร่วมงานต่างงงงวย ไม่เคยมีบุรุษชื่อดังกล่าวในสนามบินแห่งนี้
.
นั่นสร้างความสงสัยมากมาย การขุดคุ้ยในยุคไร้โลกออนไลน์ ไม่มีโซเชี่ยลมีเดียจึงเกิดขึ้น กินเวลาสักพัก ความจริงก็ปรากฎ
เมื่อมีพิรุธมากมาย ไม่พบยามวิโรจน์ ไม่มีใครจำได้ว่า เกิดเหตุการณ์ฝรั่งกอดกับคนไทยในวันดังกล่าว ทำให้ตำรวจลงมือสืบสวน ทีแรกพวกเขาระงับโล่ประกาศเกียรติคุณในวันที่ 10 สิงหาคมก่อน
.
เมื่อตรวจวงจรปิดในวันที่ 1 สิงหาคม ไม่พบจอห์นกับสมพงษ์กอดกัน เมื่อตรวจรายชื่อผู้โดยสาร ก็ไม่ปรากฎนายจอห์นเดินทางออกจากสนามบิน ไม่มีเขาอยู่ในลิสต์ผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศ
.
เจ้าหน้าที่ขอข้อมูลเสียงยามวิโรจน์ เมื่อนำไปตรวจเทียบกับเสียงสมพงษ์ ทางการพบว่ามีความคล้ายกันอย่างมาก นั่นจึงนำไปสู่การสอบปากคำโชเฟอร์คนดี
.
กินเวลาไม่นาน ความดีก็สูญสิ้น สมพงษ์ เลือดทหารรับสารภาพสิ้นว่า เขากับวิโรจน์คือคนเดียวกัน โดยตอนโทรศัพท์ไปยังรายการนั้น เจ้าตัวได้ใช้มืออีกข้างบีบจมูก เพื่อปั้นน้ำเป็นตัว อ้างว่าตัวเองเป็นยามสนามบินดอนเมือง
.
ไม่มีวิโรจน์ ไม่มีจอห์น ไม่มีเงินสดมหาศาล ไม่มีกระเป๋า ไม่มีการสวมกอด ไม่มีความดี ไม่มีอะไรทั้งสิ้น
.
ทุกอย่างเป็นเรื่องโกหก
.
จากคนดีศรีสังคม กลายเป็นคนร้ายแห่งประเทศในบัดดล
.
เมื่อความจริงปรากฏ ตำรวจแจ้งข้อหาฉ้อโกงประชาชน เงินรางวัลและโล่เชิดชูถูกยึดคืน สื่อหน้าแตก รายการทีวีหน้าแหก กลายเป็นบทเรียนล้ำค่าต่อองค์กรข่าว อย่าเผลองับเหยื่อ จนกว่าจะตรวจสอบข้อมูลก่อน
.
สมพงษ์ถูกประณาม ภรรยาที่รักกันมากว่า 10 ปี และลูก 2 คน ถูกนักข่าวรุมล้อมที่บ้านพักย่านประเวศ สร้างความกดดันให้กับครอบครัวเป็นอย่างมาก
.
ระหว่างนั้นเมียสมพงษ์ถูกญาติยุให้เลิก ส่วนตัวเขานั้น ก็เครียดหนัก กับเรื่องที่ก่อ ความผิดที่เป็นนั้นราวกับฆาตกรในคดีอุกฉกรรจ์ จนเกือบจะจบชีวิตไปแล้ว เขาผูกเชือกไว้แล้ว หวังจะจบทุกปัญหา
.
ดีที่ภรรยาขึ้นไปตาม เขาจึงไม่ชะตาขาด 4 ชีวิตได้โอบกอดกันร้องไห้
.
“ตัวเองคิดให้ดีนะ ถ้าทำไปแล้ว จะไม่มีโอกาสเห็นหน้าลูกเมียอีก” คำเตือนสติของเมียรักบอกแก่สมพงษ์
.
นั่นทำให้ชายหนุ่มคิดได้ “กล้าได้ก็กล้ารับ” ยอมเข้าคุก หวังแค่ว่าติดไม่กี่ปี ก็จะได้ออกมา
.
สมพงษ์ เลือดทหาร จึงสู้ต่อ เขาติดต่อผู้กำกับการโรงพักประเวศ ขอมอบตัว แล้วเดินทางไปกองบัญชาการตำรวจนครบาล เพื่อสารภาพสิ่งที่กระทำ เดินหน้าเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
.
วันที่ 29 กันยายน ปี 2540 เกือบ 1 เดือน หลังวีรกรรมความดีเก๊ ศาลพิพากษาสมพงษ์ เลือดทหาร ในความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน 1 ปี 6 เดือน เขาติดจริงแค่ 1 ปี 2 เดือน เพราะเป็นนักโทษชั้นดี จึงพ้นคุกออกมา ความผิดตามกฎหมายถูกชดใช้ไปแล้ว หลังเรือนจำกำแพงสูง
แต่เรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันที่ 1 สิงหาคม 2540 ไม่เคยถูกลบล้าง และอยู่ในความทรงจำของสังคมไทยตลอดมา
.
หลังออกจากคุก สมพงษ์ล้มลุกคลุกคลาน เคยไปทำนากุ้ง เคยไปเป็นนักร้องตามห้องอาหาร แต่ก็ต้องดิ้นรนอย่างยากลำบากในโลกกลมๆ ใบนี้ พร้อมกับชื่อเสียงด่างพร้อยติดตัวเสมอ
.
ทุกครั้งที่มีเรื่องราวบุคคลลวงโลก สื่อจะไปสัมภาษณ์เขา เพื่อให้ชายคนนี้ได้สอน เตือนสติ ว่าผลกรรมจากสิ่งที่สมพงษ์บอกว่า ทำเล่นๆ จะนำไปสู่อะไรบ้าง
.
ในปี 2540 ประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560 ซึ่งมีโทษของการนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จในโลกออนไลน์ ตามมาตรา 14 วงเล็บ 1 และวงเล็บ 2 ซึ่งมีโทษอาญาติดคุกหนักกว่าสมัยสมพงษ์เป็นอย่างมาก
.
ดังนั้นความคึกคะนองบางอย่างที่มองดูเป็นเรื่องเล่นๆ อาจนำไปสู่ปลายทางที่ไม่น่าพิศมัยได้
.
นี่คือบทเรียนแก่ฮีโร่ผู้อยากเป็นทั้งหลาย รวมไปถึงสื่อมวลชน ในยุคออนไลน์ที่ว่องไว เรื่องนี้จะไม่หยุดเพียงแค่นี้ สมพงษ์ไม่ใช่กรณีสุดท้าย เช่นเดียวกับคนดีแตกทั้งหลาย พวกเขาจะสร้างเรื่องเท็จมากมาย เพื่อบอกโลกว่าข้าเป็นคนดี
.
แต่ตั้งแต่ปี 2540 ถึงปัจจุบัน เรารู้ดีกันว่า คนดีและความดีบางอย่าง มันถูกสร้างถูกอุปโลกน์ขึ้นมา โดยที่สังคมไม่ได้อะไรเลย นอกจากความเจ็บปวด บอบช้ำแก่ประเทศนี้เสมอ
.
นี่คืออุทาหรณ์ที่น่าสนใจ ตามคำที่สมพงษ์ปิดท้ายเรื่องราวนี้แก่นักข่าว ถึงความหลังแสนตื่นตะลึงว่า
.
“ก่อนเป็นข่าว ไม่มีใครรู้จักคนชื่อสมพงษ์ เหมือนเราได้ตำแหน่งขึ้นมา แต่ว่าความรู้สึกมันดีไหม มันไม่ดีหรอก..มาทำแบบนี้ มันฆ่าตัวเอง ฆ่าครอบครัว ฆ่าพี่น้อง
สู้เราอยู่กันแบบสมพงษ์คนเดิม สมัยก่อน...น่าจะดีกว่า”
///
โฆษณา