28 ม.ค. เวลา 10:41 • ข่าวรอบโลก

จากกันดั้มสู่ความจริง…

ในอดีต โลกฝั่งตะวันตกมีนักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์หลายคน
ที่มีอิทธิพลและเป็นเจ้าของไอเดียอาวุธในปัจจุบัน
เช่น จูลล์ เวิร์ด , ไอแซค อาชิมอฟ ฯ
แต่น่าสนใจว่าปัจจุบัน อาวุธที่ถูกพัฒนาขึ้น
มันมีแนวคิดมาจากการ์ตูนญี่ปุ่นเรื่องหนึ่งมากกว่า
…ซึ่งก็คือ กันดั้ม…
มันดูเป็นต้นแนวคิดของอะไรหลายอย่าง
ทั้ง เครื่องบินล่องหน สงครามอิเล็กทรอนิกส์ ปืนพลาสมา
หรือปืนเรียลกัน ที่หลายชาติกำลังพยายามพัฒนาอยู่
ซึ่งก็น่าแปลก ที่ไม่ใช่ Star Wars ของตะวันตกเอง
…และล่าสุด คือแนวคิด “ฟิเนล” (Finale) จากซีรี่ย์นิวกันดัม
ที่กำลังจะเป็นความจริง จากการพัฒนาของสหรัฐ…
คงต้องอธิบายก่อน ว่า Finale คืออะไร
เพราะหลายท่านอาจไม่เคยดูกันดั้มมาก่อน
ในการ์ตูน ไอ้เจ้า Finale นี่คือการปล่อยวัตถุบินได้ออกมา
จากยานอวกาศหรือหุ่นยนต์หลัก เพื่อโจมตีศัตรู
(ไอ้ครีบๆที่อยู่หลังหุ่นยนต์ในรูปนั่นแหละครับ)
คือ เหมือนเอาเครื่องบินใหญ่ ปล่อยลำเล็กไปโจมตี
ศัตรูต่อนั่นแหละ และไอ้ลำเล็กนี่ จะควบคุมได้
ไม่ใช่แบบจรวดที่ยิงแล้วทิ้งไป
ในการ์ตูน ไอ้เจ้าเครื่องบินเล็กๆ หรือ Finale จะถูกควบคุม
โดยคอมพิวเตอร์และพลังจิตของคนขับ
ในอดีตตอนที่กันดั้มเขียนออกมา มันจึงไม่มีทางเป็นไปได้
เพราะคงไม่มีใครมีพลังจิตจริงๆ
แต่ปัจจุบัน มันเป็นไปได้แล้ว เพราะพลังจิตในการ์ตูน
ถูกทดแทนด้วยปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ร่วมกับนักบิน
…และไอ้ตัวที่จะเป็น Finale นี่ ก็คือโดรนนั่นเอง…
ข่าวจาก Lockheat Martin ที่เป็นผู้ผลิตอาวุธสหรัฐ
ได้ยืนยันแล้วว่า มีการพัฒนาอาวุธลักษณะนี้จริง
โดยจะให้ F-35 และ F-22 เป็นเครื่องบินแบบหลัก
ที่จะเอามาพัฒนาให้ตรงคอนเซ็ปท์
และล่าสุด มีการเปิดให้ชมการทดสอบจริง
ถึงระบบควบคุมแล้ว ซึ่งประสบความสำเร็จ
แต่ยังต้องพัฒนาอีกเล็กน้อยเพื่อลงสนามจริง
และเปิดตัวกับสื่อ
มันทำให้เราเห็นแนวทางที่ชัดเจนขึ้นของสหรัฐ
กับความหมายของ generation 6 ของพวกเขา
ว่าน่าจะแตกต่างออกไป จากแนวทางของจีนและรัสเซีย
ซึ่งยังเน้นการพัฒนาที่ตัวเครื่องบินโดยตรง
ในการถกเถียงกันเกี่ยวกับ Gen6 ของสหรัฐก่อนหน้านี้นั้น
มีการตั้งคำถามถึงการใช้เครื่องบินรบประสิทธิสูงแบบดั้งเดิม
ว่ามีความคุ้มค่าหรือไม่ และความสามารถในการผลิต
ให้พอใช้งาน ตามกรอบงบประมาณ
เพราะโดยคอนเซ็ปท์การพัฒนาแบบดั้งเดิม ที่จีนและรัสเซีย
ยังยึดถืออยู่นั้น คือการพัฒนาที่ตัวเครื่องบิน ให้มีศักยภาพ
สูงขึ้นเรื่อยๆ มันใช้งบประมาณที่ค่อนข้างสูง และผลิตได้ช้ากว่าจะได้สักฝูงบินหนึ่ง
และสหรัฐคิดว่า…
แม้จะพัฒนาตัวเครื่องบินให้มีประสิทธิภาพสูงได้
แต่มันก็จะเกินขีดความสามารถที่ร่างกายมนุษย์
หรือนักบินจะรับได้ ทำให้ไม่มีประโยชน์นัก
กล่าวคือ อย่างอากาศยานลึกลับของจีน และ Gen6
ของรัสเซียนั้น มีการคาดการณ์ถึงความเร็วในระดับ
3 เกือบ 4 มัค
ทางสหรัฐมองว่าสิ่งเหล่านี้ไม่มีประโยชน์นักในสนามรบ
เมือร่างกายของคน จะทนต่อแรง G ในระดับนี้ได้ไม่นานนัก
และสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงมากจนเกินไปจนเสียพิสัยที่ต้องการ
และถ้าเป็นแบบ SU 57 และ J 35 คือมันต้องใช้น้ำมัน
ชนิดพิเศษ เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพตามที่เคลม
มันจะผิดคอนเซ็ปท์ของกองทัพสหรัฐ ที่น้ำมันต้องเป็น
หนึ่งเดียวทุกอากาศยานอย่างมาก
…อันนี้หลายคนอาจไม่ทราบนะครับ ไว้จะมาเล่าให้ฟัง
แต่จะบอกว่า ยุทธศาสตร์เชื้อเพลิงหนึ่งเดียวของสหรัฐนี่แหละ
ทำให้กองทัพของพวกเขาเหนือกว่าใคร และไม่มีใครทำได้
อย่างเครื่องทิ้งระเบิดรัสเซียรหัส TU หรือหงส์ขาวนั้น
ต้องใช้น้ำมันพิเศษ ทำให้มีปัญหามากในปัจจุบัน ….
โดยรวม คือทางสหรัฐมีแนวคิดที่ต่างออกไปจากจีน รัสเซีย
พวกเขาเชื่อว่าการพัฒนาโดรน ที่จะติดไปกับเครื่องบิน
นั้นมีประโยชน์กว่า และประหยัดกว่า จึงเอามาเป็นแนวหลัก
ส่วนการพัฒนาแบบดั้งเดิมในโครงการ NGAD จะเป็นแนวรอง
แต่ก็ไม่ได้ตัดทิ้งไปเลย…
แนวคิดเครื่องบินปล่อยโดรนมาช่วยนั้น
ถูกทดสอบในยูเครน โดยการใช้โดรนแม่ ไปปล่อยโดรน
เล็กแบบต่างๆ เพื่อปฏิบัติภารกิจ ทั้งแบบโดรนพลีชีพ
หรือโดรนติดปืนกลในการจัดการทหารราบ
มันประสบผลสำเร็จ ทางสหรัฐจึงเอามันมาขยายสเกล
ให้เป็นเครื่องบินรบกับการปล่อยโดรนประสิทธิภาพสูง
โดรนเหล่านี้ จะมีหลากหลายแบบ ทั้งติดปืนใหญ่อากาศ
และเป็นโดรนปล่อยจรวดโจมตี หรือ E-Bomb เพื่อสงคราม
อิเล็กทรอนิกส์
ก่อนที่ตัวโดรน จะทำหน้าที่เป็นมิไซล์พลีชีพไปอีกทอด
ทั้งยังทำหน้าที่ในการป้องกันได้ คือการใช้โดรนเข้าปะทะ
กับจรวดจากศัตรูแทนเครื่องบิน เมื่อทำท่าว่าจะหลบไม่พ้น
มันจึงเป็นทั้งการยืดพิสัยโจมตีให้ไกลขึ้น
และเพื่อเซฟเครื่องบินหลักราคาสูง ผลิตได้ช้า
ให้อยู่ไกลจากพื้นที่เสี่ยงให้มากที่สุด
มันอาจฟังดูไม่ต่างกับเครื่องบินติดมิไซล์ ถ้ามองแบบเผินๆ
แต่ลองคิดดูสิว่า ถ้าเครื่องบินลำแม่ ห่างออกมาจากพื้นที่ปะทะ
ได้สักร้อยกิโลเมตร แล้วให้โดรนทำหน้าที่ต่อตีแทน
และยิงจรวดที่มีพิสัยราว 200 กิโลเมตรออกมาแทนในแนวหน้า
มันจะทำให้ได้เปรียบศัตรูแค่ไหน
คาดว่า หนึ่งลำของเครื่องบินแม่ น่าจะแบกโดรนพวกนี้
ในขั้นต้นได้ 2-4 ลูก และตัวเครื่องแม่เอง ก็ยังเหลือมิไซล์
ไว้กับตัวอีก จำนวนหนึ่ง ตามลักษณะของภารกิจ
ในสภาพแบบนี้ ต่อให้เครื่องบินศัตรู จะดีกว่า
พวกสหรัฐก็จะไม่เสียเปรียบเลย และถึงโดรนพลาด
ก็ยังรักษานักบิน ซึ่งเป็นสิ่งมีค่าที่สุดกลับฐานได้
โดรนพวกนี้ จะถูกควบคุมด้วย AI เป็นหลัก โดยมีมนุษย์
ช่วยเสริมและตัดสินใจในภาพรวม ซึ่งส่วนของมนุษย์นั้น
อาจทำจากระยะไกลมากๆ อย่างในสหรัฐเอง หรือเรือบรรทุก
เครื่องบิน ทำให้ไม่ต้องเอานักบินไปเสี่ยงเลย
…ลองคิดสภาพ สหรัฐซึ่งมีเครื่องบินรบมากที่สุดในโลกอยู่แล้ว
แบกโดรนออกไปช่วยล่าศัตรูอีกลำละสี่หน่วยสิ ว่าศัตรูต้องเจอกับอะไรบ้าง และจะทำอย่างไร …
…มันแทบไม่ต่างกับโดนผึ้งรุมต่อยเลย รอดยากมาก….
โครงการนี้ ใกล้สำเร็จมากแล้ว และจะประจำการในอีกไม่ช้า
และแนวคิดนี้ จะหมายรวมถึงการใช้กับอาวุธประเภทอื่นด้วย
เช่น เรือรบ เรือดำน้ำ ที่สามารถปล่อยโดรนทะเลได้
โดยคอนเซ็ปท์ มันไม่ได้ต่างอะไรกับเรือบรรทุกเครื่องบิน
ที่ปล่อยเครื่องบินออกมาสู้รบ
แต่มันล้ำไปกว่านั้น และปลอดภัย ประหยัดกว่ามาก
เมื่อใช้โดรนที่มีราคาถูกกว่าไปจัดการเป้าหมาย
มันเป็นยุทธศาสตร์ที่ต่างจากรัสเซียและจีน
ก็ด้วยบริบทของสหรัฐเอง ที่มีข้อได้เปรียบเรื่องการสื่อสาร
มากกว่า พวกเขาจึงใช้สิ่งเหล่านี้ให้เป็นประโยชน์
และยาก ที่ใครจะทำได้แบบพวกเขา เพราะเครือข่ายการสื่อสารของทั้งจีนและรัสเซีย ยังมีข้อจำกัดกว่ามาก
แต่ที่น่าเสียดาย คือ เราอาจได้เห็นเครื่องบิน
ประสิทธิภาพสูงกว่า F35 และ 22 จากสหรัฐช้าออกไปมาก
ถ้ายุทธศาสตร์การพัฒนาลักษณะนี้ ใช้จริงๆแล้ว
ประสบความสำเร็จ
…ไม่รู้เหมือนกัน ว่าใครจะเป็นเหยื่อรายแรกของอาวุธนี้…
แต่ถ้าให้เดา จากสถานการณ์โลกและวิธีคิดของทรัมป์
ที่ให้ความสำคัญกับตะวันออกกลาง …
…ก็คงเป็นอิหร่านนั่นแหละ เพราะฮูตี ไม่มีกองทัพอากาศ
ให้พวกเขาทดลองนั่นเอง….
จินตนาการสำคัญกว่าความรู้หรือไม่ ผมไม่แน่ใจ
แต่จินตนาการที่จับต้องได้ เมื่ออิงกับองค์ความรู้
มันมีโอกาสประสบความสำเร็จได้
มันจึงมีแนวคิดจากนิยายวิทยาศาสตร์มากมาย
ที่กลายมาเป็นของจริงในทุกวันนี้
เมื่อเวลาเปลี่ยนไป เทคโนโลยีดีขึ้น มนุษย์ก็ข้ามขีดจำกัด
ของนิยาย สู่อะไรที่เพ้อฝันกว่า คือ การ์ตูน
สำหรับแฟนการ์ตูนกันดั้มตัวยง มันน่าสนใจมาก
ที่แนวคิดจากการ์ตูนโปรดจะกลายเป็นความจริง…
และส่วนตัว ผมก็ชอบนิวกันดั้มตัวในรูปมากที่สุด
ในบรรดากันดั้มอยู่แล้ว
…ก็รอชมด้วยความตื่นเต้นล่ะครับ ….
ข่าว
โฆษณา