27 ม.ค. เวลา 15:41 • ความคิดเห็น
เรื่องราวหนึ่ง ที่อยากจะเรียนรู้จัก เรื่องที่ว่า ทำไมต้องเกิด เกิดแล้วมันมีอะไรบ้าง ก็ไม่รู้จัก ว่าเกิดมาทำอะไร มาทำมาหากิน มีเงินมีทอง เห็นปู่ย่าตายาย แก่เฒ่าชรา ก็เจ็บป่วย เดินช้าลงไป ร่างกายเหี่ยวย่น ก็รู้อยู่แค่นั้น เห็นปู่ยายตายาย ทำบุญ เราก็ไม่รู้จักว่า บุญนั้นเป็นอย่างไร เห็นคน เห็นหนังสือ เรื่องราวสมาธิ เรื่องราวการประพฤติปฏิบัติธรรม ก็หาอ่านบ้าง ก็ยังไม่ได้ฝึกหัดปฏิบัติ ..
พอมาเจอะเจอ พระองค์หนึ่ง ท่านบอกว่า ให้มาเรียน เรียนแล้วจะสนุก ..คนเราอยู่กับกรรม ก็ไม่รู้จักกรรม อยู่กับอารมณ์ ก็ไม่รู้จักอารมณ์ ส่วนมากเราก็ ไปทำบุญกับท่าน ดูแลสังขารท่านบ้าง ก็ได้ฟังเรื่องราวที่ท่านเล่าเรื่องราวแปลกๆให้ฟัง .เรื่ิองการขึ้นไปชั้นดาวดึงส์ ชั้นดุสิต ท่านก็เล่าให้ฟัง เราก็ฟังท่านไป เรื่องป่าหิมพานต์ เมืองบาดาล ฟังแล้ว ก็สนุกเหมือนนิทาน เราก็ได้แต่ฟัง ไม่เคยไปเห็นเหมือนกัน ..ท่านบอกว่า หากโยมขึ้นไปได้ โยมก็ไม่อยากกลับมามีกายมนุษย์อีก
ท่านบอกว่า ชาตินี้ ฉันขอแค่เป็นพระโสดาบันก็พอละ ..เราก็ฟังท่าน ท่านมักพูดเสมอว่า ธรรมนั้นต้องการคนจริง เราก็ได้แต่ฟัง บางที่เราก็บอกว่า ไม่ได้สวด ..ท่านก็ไปว่าไม่สวดมนต์ เราก็แย่ ..ก็พยายามฝึกหัด สวดมนต์ ปฏิบัติธรรม ..นั่งสมาธิ ก็มีแต่อารมณ์ ..มันฟุ้งซ่าน อุปโลกน์อย่างนั้นอย่างนี้ พอไปคุย ..ถามท่านเรื่องราวว่า วิปัสสนาเป็นอย่างไร ท่านก็บอกว่า กายยังไม่นิ่ง จิตก็ยังไม่นิ่ง จะไปวิปัสสนาละ นั่นมันมีแต่อารมณ์ เป็นอารมณ์นึกคิดทั้งนั่น ท่านก็บอกให้ทำกายนิ่ง จิตนิ่ง ฝึกหัดตรงนี้ไปก่อน .
พอท่าน..มาสอนให้รู้จัก .รอยทั้งสี่ ยืนเดินนั่งนอน ไม่มีอารมณ์ ..ก็ได้พอรู้จักบ้างว่า กว่าจิตจะรู้จักจิต สติของจิต ไปจนเรื่ิองราวรู้จักอารมณ์กรรมตัวกระทำ นั่นมายากแสนเข็น ยิ่งเรื่องการเอาจิตมากราบพระ มาสร้างบุญกุศล เพื่อบันทึกไว้กับธาตุทั่งสี่ของจิต ก็ยากลำบาก กว่าจะได้บุญ บุญที่เกิดแสงรัตนะขึ้นมา หนุนนำให้แก่จิตกระจายบุญกุศล
หากถามว่า จิตออกจากสังขาร ปรารถนาจะไปที่ใด ก็อยากไปที่สูงเหมือนกัน ..แต่พอปฏิบัติไป สร้างบุญกุศล รู้จักกรรมบ้าง ก็ขอให้ชาติต่อไป พ้นห่วงอบายภูมิละกัน หากเป็นไปได้แค่นี้ ก็พอใจแล้ว
โฆษณา